บทที่ 26
น้า...นี่ไงแม่หนู
พรพรรณพินิจดูผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันที่ออกประตูมาพร้อมหญิงสาวอย่างอนาถใจ เรือนร่างหล่อนผอมจนเกร็ง แม้จะอยู่ในชุดเสื้อและผ้านุ่งลวดลายสีสด หากก็ยังเห็นชัดถึงความทรุดโทรม ผมหยิกแห้งกรอบรวบไว้ที่ท้ายทอย มีเน็ตผมคลุมไว้อีกชั้น นัยน์ตาแห้งแล้ง โหลลึก ขอบตาดำคล้ำ ขับให้โหนกแก้มดูสูงกว่าปกติ แก้มหล่อนตอบ ริมฝีปากแห้งผาก มีร่องรอยตกสะเก็ดแตกร่อน
เก้ๆ กังๆ กันทั้งคู่เพราะต่างก็ไม่แน่ใจว่าใครแก่อ่อนกว่าใคร จึงได้แต่ยิ้มให้กันเป็นการทักทาย
นั่งก่อนนะคุณ ขอสั่งงานเด็กก่อน จะได้ไม่ต้องห่วงทางนี้เขา
หล่อนเข้ามาจับแขนอย่างเป็นกันเอง ยิ่งเห็นใกล้ๆ ผลจากโรคร้ายที่คุกคามหล่อนอยู่ก็ยิ่งประจักษ์ชัด
'แม่แกไม่ค่อยแข็งแรงอะ น้า เห็นแกบอกว่าเป็นโน่นเป็นนี่อยู่เรื่อยเลย' ภารณีเกริ่นเมื่ออยู่บนเครื่องบินด้วยกัน
'แกมาอยู่ปีนังก็ซักสิบปีได้แล้วมั้ง แกได้กับคนมาเลย์ ตอนนั้นเราอยู่กันที่หาดใหญ่ นี่เห็นว่าผัวแกตาย แกก็เลยไปอยู่ประจำที่โรงพยาบาลอะไรก็ไม่รู้ แกเป็นแม่บ้านอยู่ที่นั่น'
หล่อนเล่าตรงไปตรงมาตามนิสัย ไม่มีขัดเขินเมื่อพูดถึง ผัวของแม่ ซึ่งไม่ใช่พ่อของตัวเอง จากนั้นก็กระโดดไปอีกเรื่องแทบจะในประโยคเดียวกัน
'แม่ทำกับข้าวเก่งนะน้า แม่ทำกับข้าวเก่งน่าดูเลย'
แล้วก็กลับไปเรื่องเดิมอีกครั้ง
'ตอนนี้แม่ก็ไม่มีใครแล้ว กับผัวคนสุดท้ายของแกก็ไม่มีลูกด้วยกัน หล่อนว่าหน้าตาเฉย ราวกับว่า แม่ มี ผัว มาแล้วหลายคน
ยังไงน้าช่วยพูดกับแม่หน่อยนะ หนูเคยลองชวนแกให้มาอยู่ด้วยกันครั้งนึงแล้ว แกไม่ยอมท่าเดียว แกว่าอยู่ที่นั่นก็สบายดีอยู่แล้ว เขามีที่พักให้ เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็อยู่ใกล้หมอใกล้พยาบาล ค่ายาค่าหมอก็ไม่ต้องเสีย'
พรพรรณเคยถามถึงบิดาของหล่อน คำตอบมีเพียง
'พ่อหนูเป็นใครหนูไม่รู้หรอก แม่เคยบอกแค่ว่าพ่อหนูทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แม่ว่าพ่อเขาเป็นคนรวย บางทีถ้าโชคดี วันหนึ่งหนูคงได้รู้จักพ่อ เผื่อพ่อจะทิ้งมรดกไว้ให้บ้างไง น้า หล่อนหัวเราะเสียงใสเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้
แต่นี่หนูอายุยี่สิบหกแล้ว ยังไม่เคยเจอพ่อเลย ยังไม่รู้ด้วยว่าพ่อเป็นใคร บางทีพ่อเขาคงไม่อยากรู้ว่าหนูเป็นลูกเขานะน้า'
คงเป็นคำพูดซื่อๆ ลักษณะนั้นของหญิงสาวกระมังที่ทำให้พรพรรณเอ็นดูหล่อนเสมอมา ยิ่งสนิทกัน ก็ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนภารณีเป็นลูกสาวอีกคน เป็นลูกสาวซึ่งมีความคิดความอ่านในหลายๆ เรื่องที่ยังไม่โตตามอายุสักเท่าไรนัก ลูกสาวแท้ๆ ซึ่งมีวัยอ่อนกว่ายังดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ
และยิ่งใกล้ชิดกันก็ยิ่งเห็นว่าโดยเนื้อแท้แล้วภารณีเป็นคนดีใช้ได้ทีเดียว คงเป็นเพราะพื้นเพและสภาพแวดล้อมที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดมาแต่ยังเล็ก แถมยังมีความงามเป็นสมบัติ ชีวิตจึงต้องมาลงเอยแบบนี้
'หนูมีแม่คนเดียวก็พอแล้วนะ น้าว่าไหม'
เมื่อพูดถึงแม่ หล่อนสรุปว่าอย่างนั้น
วรรณี
มารดาของภารณี
หายเข้าไปภายในอาคารโรงอาหารเพียงไม่นานก็กลับออกมาอีกครั้ง ร่างผอมๆทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หินขัดฝั่งตรงข้ามโต๊ะ ชุดโต๊ะทรงกลม มีเก้าอี้ล้อมโดยรอบนี้ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้หลังตึกคนไข้ อากาศร้อนจัด หากความร่มรื่นใต้ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ประกอบกับลมจากทะเลที่พัดมาไม่ขาดระยะ ช่วยให้บริเวณนี้เย็นสบาย น่านั่งพักผ่อนนานๆ
ที่จริงฉันก็อยากไปอยู่กับลูกนะพี่
หลังจากได้พูดคุยกันได้พักใหญ่ หล่อนสรุปเอาเองว่าอีกฝ่ายคงมีอายุมากกว่า จึงเปลี่ยนจากเรียก คุณ มาเป็น พี่ ได้อย่างไม่ขัดเขิน
แต่อยู่ที่นี่ก็สบายดีอยู่แล้ว อย่างฉัน ไปอยู่พัทยากับลูกจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ กลัวจะเป็นภาระของลูกไปเสียเปล่าๆ คนไม่ค่อยแข็งแรงก็อย่างนี้แหละ จะไปอยู่ไหน อยู่กับใคร ก็ต้องคิดหนักหน่อย หยูกยาสมัยนี้มันแพง ค่าหมอก็แพง อยู่ที่นี่ฉันไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลยนี่พี่
เมื่อลงนั่งคุยกันใกล้ๆ แบบนี้ พรพรรณพอมองเห็นความงามซึ่งยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้างบนใบหน้าซูบตอบนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ของหล่อน แม้เวลานี้จะแห้งผาก หากถ้าครั้งหนึ่งเคยแจ่มใสเหมือนลูกสาว ก็จะเป็นดวงตาคู่ที่สวยมากทีเดียว จมูกได้รูปพอเหมาะ ริมฝีปากหยักงาม ผิวพรรณแม้จะกร้านไปหน่อย แต่ก็ไร้ตำหนิ
หล่อนเป็นโรคร้ายอะไรกัน ทำไมจึงได้ดึงเอาความงดงามไปจนหมดสิ้นเช่นนี้
เห็นมั้ย...น้า แม่แกดื้อ คนอ่อนวัยที่สุดในที่นั้นฟ้อง
พรพรรณได้แต่ยิ้ม
ก็อย่างที่บอกไง...แม่ เราเปิดร้านอาหารกันก็ได้ถ้าแม่ไม่อยากอยู่เฉยๆ
แล้วจะเอาเงินมาจากไหน วรรณีลากเสียงคำสุดท้ายยาวเหยียด เปิดร้านอาหาร
เอาแค่ร้านเล็กๆแค่ห้องเดียว มันก็หลายตังค์แล้ว
ภารณีสบตาคนนั่งข้างๆ เป็นที่เข้าใจกันว่าหมายความว่าอย่างไร จนบัดนี้วรรณีก็ยังไม่รู้ว่าลูกสาวทำมาหากินอะไร
'ถ้าแม่รู้ว่าตอนนี้หนูอยู่ยังไง แม่เสียใจตายเลย แม่เคยว่ารูปร่างหน้าตาอย่างหนูทำอะไรได้มากกว่านี้ตั้งเยอะ แต่ก็อย่างว่านะ...น้า หนูมันเรียนอะไรไม่จบซักอย่าง เส้นสายก็ไม่มี จะไปทำอะไรกับใครเขาได้' หญิงสาวสารภาพเช่นนั้น
'ไม่เหมือนอย่างลูกสาวน้านะ' ยังไม่วายเสริม 'ลูกสาวน้าเรียนตั้งเยอะ ถึงได้มีงานดีๆ ทำ ไม่ต้องมาเป็นอย่างหนู'
และพรพรรณเองก็พูดอะไรไม่ออก เหมือนคนมีชะนักปักหลัง ในเมื่อตัวก็ได้เลือกวิธีสะดวกสบายที่สุดเช่นกัน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าที่ทำไปก็เพื่ออนาคตของลูกมากกว่าคิดถึงตัวเองก็ตาม
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
kdunagin
- [
25 ก.พ. 52 02:10:27
]