แม่เคยบอกอย่างภูมิใจเสมอว่า
" แม่น่ะจำวันเกิดของลูก ๆได้ทุกคน
แต่ลูกมันคงจำวันเกิดแม่ไม่ได้หรอกมั้ง "
ตอนนั้น ฉันฟังแล้วสะอึกในใจเลยนะ
ว่า ขนาดแม่มีลูกหลายคน
แม่ยังมีปัญญาจำวันเกิดของลูกทุกคนได้
แต่ชั้น ดิ ร่ำเรียนมาก็ตั้งสูง จบเภสัชมา
หยูกยาสารพัด จำได้ทุกตัว
ยาอะไรใช้ทำอะไร ข้อห้าม อาการข้างเคียง
ร้อยแปดพันประการทั้งหลายทั้งปวงนั้น ฉัน จำได้โม๊ด
ทว่า...กะอีแค่วันเกิดของผู้หญิงคนเดียว
ที่เบ่งฉันออกมา ฉันกลับจำไม่ได้
ตั้งแต่วันที่ได้ยินแม่พูดประโยคนั้น
ฉันก็เลยแอบไปดูในทะเบียนบ้าน
แล้วก็จดจำวันเกิดแม่ไว้ในใจเงียบ ๆ มาโดยตลอด
จากนั้น เมื่อ สบโอกาส ก็เลยนั่งเขียนเรื่องสั้น
เตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิด ให้แม่
ตอนนั้นยังเรียนอยู่ ปี 2 ยังไม่ได้ทำงาน ( ยังเกาะแม่กินอยู่ ) เลยมั้ง
ไม่รู้จะเอาอะไรให้เป็นของขวัญวันเกิดกะแม่
เพราะถ้าใช้เงินซื้อก็คงเป็นเงินที่แม่ส่งมาให้ นั่นแหล่ะ
ซึ่งก็คงไม่น่าภูมิใจเอาซะเลยถ้าจะใช้วิธี อัฐยายซื้อขนมยายอย่างนั้น
สุดท้ายก็ใช้เวลา 2 อาทิตย์มาคิดพล็อตเรื่อง
เขียนเรื่องสั้นเป็นของขวัญวันเกิดให้แม่
และพอถึง วันเกิดแม่ ในเดือนถัดมา
ก็เอาไปโพสที่ ถนนนักเขียน ในเวบพันธุ์ทิพย์
เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แม่...
พร้อมกับ print ไปอ่านให้แม่ฟัง
รู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่
ตอนที่ได้เรื่องสั้นนั้น เป็นของขวัญวันเกิด
ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 7 ปีได้แล้วมั้ง
ถึงเรื่องสั้นเรื่องนั้นจะหายไปจากเวบที่เคยโพส
แต่ก็ยังมีชาวบ้านชาวช่อง
ช่วยเอาเรื่องนี้ไปโพสต่อให้เห็นบ้างประปราย ในเวบอื่น
เวลาฉันนึกครึ้ม ๆ แล้วไปนั่ง search คำว่า มือของแม่ ใน google
ก็มักจะเจอเรื่องที่เคยเขียนไว้เสมอ อย่างเช่น ที่
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003323.htm
แถม เวลาท่าน ๆทั้งหลาย เอางานเขียนของฉันไปโพส
ก็เอาไปเฉพาะตัวเรื่อง อ่ะ
ไม่ได้เอาที่มาของเรื่องที่ฉันเขียนไว้ไปโพสด้วย
ผลก็คือ ฉันเลยโดนประณาม เสียยับ
ด้วยข้อหา ชวนป๋วยฯไม่ปลื้ม อ่ะนะ เฮ้อ
ซึ่ง พอได้อ่านข้อความที่ชาวบ้านโพสทิ้งไว้
ก็อึ้ง นะ เพราะไม่คิดว่า หลายคน
จะ อิน กับเรื่องที่ฉันแต่งขึ้นมา ได้ขนาดนี้
และสำหรับ 12 สิงหา นี้ เป็นวันดี ๆ อีกวัน
ที่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องสั้น ที่เคยแต่งไว้
...เรื่อง เขียนให้แม่ ... มือของแม่ ...
เฮ้อ มันเป็นเวลาเนิ่นนานนักหนา แล้วที่ฉันเขียนเรื่องนั้น
ซึ่ง ... มือของแม่ ...มันก็เป็น ผลงานชิ้นโบว์แดงของฉัน เชียวแหล่ะ
เป็นงานเขียนที่ทำให้คนอ่าน อ่านแล้วน้ำตาซึมออกมาเลยทีเดียว
หลาย ๆ คนถึงกับโพสข้อความชื่นชม เมื่ออ่านจบ
ยังความภาคภูมิใจแก่ คนเขียนเป็นเอนกอนันต์ ^ - ^
จนเกิดความฮึกเหิม ประมาณว่า
แหม ๆ ขนาดชาวบ้านอ่านแล้วยังน้ำตาตก
แสดงว่า สูข้าก็เขียนเก่ง เหมือนกันเว๊ย
( อย่างงี้ โนเบลก็อยู่แค่เอื้อมแหง๋ ๆ แหะ...แหะ...)
แต่ระหว่างที่ ฉันกะลังตีปีกพั่บๆหน้าบานเป็นกะโล่ อยู่นั้น
ใครคนหนึ่งกลับบอกฉันว่า
เขาชอบเรื่อง สาวไร่แห้ว ( ที่อยู่ใน my blog )
ที่ฉันเขียนมากกว่าเรื่องมือของแม่
เพราะไอ้เจ้า เรื่องมือของแม่
ที่ฉันบรรจงปั้นน้ำ(หมึก)เป็นตัว( หนังสือ )นี้
ช่างขาดชีวิต ไร้เสน่ห์ เป็นงานของราชการ
นิทานของพระ การบ้านของเด็กมัธยม
หากมองว่าเป็นแบบฝึกหัดหนึ่งของฉัน
นับว่าเป็น งานเขียนที่มีคุณค่าทีเดียว
แต่ถ้าเป็นงานที่เขียนให้แม่ มันบอกว่า ฉัน สอบตก!?!
แล้ว ก็ย้อนถามฉันว่า ตอนที่ฉันเขียนเรื่องนี้จบ
ฉันมีความรู้สึกว่า ได้เขียนมันจนเสร็จแล้วจริง ๆ หรือ ?
แถม ไอ้หมอนั่น มันยัง ( อุตส่าห์ )แนะนำสั่งสอนฉันฉอด ๆ อีกว่า
ฉันน่าจะสร้างงานเขียนที่กินใจได้อย่างวิเศษ
ถ้าฉันเปลี่ยนจากการพยามที่จะสรรหาถ้อยคำ
มาทำให้คนอื่นสะเทือนใจ
มาเป็นการผสมผสานเรื่องราว
จากความประทับใจส่วนตัวจริง ๆ ของฉันกับรื่องที่แต่งขึ้น
อุแหม่ ? ตอนนั้นฟังมันพูดแล้วก็ทั้งขำทั้งฉิวอ่ะนะ
แต่ก็รู้สึกว่าถูกตีแสกหน้า ขึ้นมาตะหงิด ๆ ไงไม่รู้แฮะ
ในขณะที่ รัวแป้นพิมพิ์ จิ้มดีด เรื่องสาวไร่แห้ว นั้น
ฉันรู้สึกสนุกกับมันมากเพราะมันเหมือนการเม้าส์ชีวิตตัวเองให้ชาวบ้านฟัง
ในมุมมองของตัวเองแบบที่ฉันมักจะทำเป็นประจำ
( ตั้งแต่สมัยอยู่ มน. ยัน มาทำงานที่ รพ. )
แต่เรื่องมือของแม่ นี่ มันไม่ใช่อ่ะเขียนแล้วรู้สึกตื้อในหัวเลยล่ะ
ตอนที่นั่งเขียนเรื่อง มือของแม่ ฉันรู้สึกอึดอัด นะ
แม้ว่าฉันมักจะบอกกับคนที่รู้จักเสมอ
ว่า ตัวละคร " ผม" ในเรื่องมือของแม่นั้น
มันเขียนขึ้นมาจาก ตัวตนที่ซ่อนอยู่ลึก ๆในจิตใต้สำนึกของฉัน
แต่การที่จะให้คนที่ชอบใช้ชีวิตแบบ ยิ้มแล้วขำกลิ้ง
หัวเราะได้แม้กระทั่งตอนที่ร้องไห้ซิก ๆ อย่างฉัน
มาเขียนอะไรที่มันรันทดอย่างนั้น มันก็มึนตึ้บ อยู่นานทีเดียว
ยามที่เขียน เรื่องมือ ของแม่ ไป ก็สงสาร(ตัวเอง)ไป
จนต้องบ่นไปเขียนไป ว่า
ทำไมตูต้องมาเขียนเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา งี้ด้วยฟะ
มันช่างไม่เหมาะกับ ตำแหน่งสาวซ่าส์ประจำไร่แห้ว อย่างตูเลยวุ้ย
แล้ว ยายแม่ในเรื่องนั่นก็เหลือเกิน ช่างเป็นผู้หญิงที่ อาภัพเสียนี่กระไร
โอ๊ย ยิ่งเขียนยิ่งหดหู่โว๊ย ! ทำไมชีวิตคนเป็นแม่ ( ในเรื่อง )มันช่างน่าเวทนานักวะ ฯลฯ
แต่ก็ทู้ซี้กัดฟันเขียนจนจบทั้ง ๆ ที่รู้สึกตึง ๆ ในหัวนั่นแหล่ะ
แถมเขียนไปบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิก (เหมือนคนพี้กัญชา )
อย่างตอนที่ฉันเขียน ให้ ตัวละครแม่
เป็นผู้หญิงเงียบ ๆ ชอบทำมากว่าพูดอ่ะนะ
โธ่ ก็แม่ของฉัน ( ยัยแก้วดี ตัวจริงเสียงจริง ) น่ะ
เป็นงั้นที่ไหนกันเล๊า
เจ้าหล่อน เป็น ผู้หญิงขี้บ่นที่น่าเอ็นดู จะตายไป
เรื่องคุยนี่ขอให้บอกเถอะ เจื้อยแจ้ว
จนนกแก้วนกขุนทองยังอายเลยแหล่ะ ยัยแก้วดีน่ะ
แล้วงี้ เวลา เขียนให้แม่ เรื่องมือของแม่
จะไม่ให้ฉันรู้สึกคันคะเยอในหัวใจได้ไงล่ะ
ก็ในเมื่อ หญิงชราผมสีดอกเลา
ที่แสนเศร้า ในเรื่องนั่น ไม่ใช่แม่ฉันนี่หว่า
แต่เป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่ง ที่ถูกฉันสร้างขึ้นมาจากตัวหนังสือเท่านั้น
อาจจะมีบ้างที่เก็บเล็กผสมน้อยจากประสบการณ์ที่เคยพบเจอ
หรือ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาใช้บรรยายเหตุการณ์ในเรื่อง
งานเขียนที่ได้อาจทำให้คนอ่านสะเทือนอารมณ์ ซาบซึ้งจนน้ำตาซึม
เแต่ มันก็ช่างขาดชีวิต ไร้เสน่ห์ ไม่ต่างอะไรกับงานของราชการ
นิทานของพระ การบ้านของเด็กมัธยม
แบบที่ไอ้เพื่อนนั่นมันวิจารณ์ จริง ๆ นั่นแหล่ะ
เคยถามตัวเอง เหมือนกันนะ ว่า นี่ฉันเขียนอะไรให้แม่ กันแน่ (วะ )เนี่ย
นี่มันไม่ใช่ภาพแม่ที่อยู่ในใจฉันเลย
คำถามต่อมาก็คือ
แล้วทำไม ฉันไม่เขียนถึงความรู้สึกดี ๆ
ที่ฉันประทับใจในตัวแม่บ้างล่ะ
ฉันไม่อยากเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ให้ชาวบ้านฟังมั่งหรือ
ถึงมันจะไม่ซาบซึ้ง สะเทือนซาง แบบ เรื่อง มือของแม่
แต่มันก็เป็นการเขียนถึงตัวตนของแม่จริง ๆ
แบบนี้แหล่ะถึงจะเรียกว่า " เขียนให้แม่" จริง ๆ
เอาล่ะ งั้นวันนี้เป็นวันแม่ ฉันจะ "เขียนให้แม่" อีก ครั้ง
จะเขียนเรื่องมือของแม่
แล้วก็แถมเรื่อง ปากของแม่ ( และ หัวใจของแม่ ) ให้อ่านด้วย
ลองอ่านดูนะ ^ 0 ^
แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 52 17:01:57