ข้อคิดของอาม้า
อาม้าหรือหม่าม้าหรืออีกอย่างก็คือแม่ผู้ให้บังเกิดเกล้าของผมถือกำเนิดจากบิดามารดาที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วมาตั้งรกรากในประเทศไทยย่านเยาวราชเหมือนที่ใครๆ บอกไว้ว่าเสื่อผืนหมอนใบ
ท่านจบจากโรงเรียนจีนย่านนั้นในระดับประถมศึกษาปีที่สี่ก่อนจะออกมาเรียนตัดเสื้อและพบรักกับอาป๊าหรือป่าป๊าหรือพ่อของผมซึ่งถือกำเนิดจากบิดามารดาชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
แต่เรื่องเล่าเรื่องนี้ไม่ได้จะมาเล่าถึงประวัติของท่านทั้งสองแต่อย่างใด หากแต่ผมอยากจะเล่าถึงคำพูดหรือแง่คิดที่ได้จากคำพูดของอาม้า ซึ่งหลายๆ คำที่ผมได้ฟังผมอดรู้สึกประทับใจและทึ่งในความคิดของท่านไม่ได้
ดังนั้นผมจึงอยากจะถ่ายทอดความน่ารักและช่างคิดในคำพูดเหล่านั้นให้ทุกท่านได้อ่านกัน
......................................................
เมื่อนานมาแล้วมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านตึกแถวที่เร้นตัวอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
พี่ชายของเด็กชายซึ่งเพิ่งเริ่มจะเป็นหนุ่มกำลังตกหลุมรักสาวข้างบ้าน แต่เนื่องจากพี่ชายเป็นคนขี้อายดังนั้นจึงดูเหมือนจะยากลำบากเสียเหลือเกินกับสิ่งที่อยากจะให้เกิดจากนี้ต่อไป
แต่เนื่องจากพี่ชายเป็นคนที่ถือได้ว่ามีดีอยู่พอตัวดังนั้นญาติของหญิงสาวที่เธอมาอาศัยอยู่ด้วยจึงให้การสนับสนุนในการคบหากันในครั้งนี้ของคนทั้งสอง
พี่ชายและหญิงสาวไปเที่ยวกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นานคนทั้งสองก็ต้องยุติการสานสัมพันธ์ลงด้วยเหตุผลบางประการ
เด็กชายรู้ดีว่าพี่ชายเป็นคนขี้อายเกินปกติ ก็อาจเป็นได้ที่หญิงสาวจะเบื่อกับอาการถามคำตอบคำและความไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ตอนนั้นเด็กชายก็ยังไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ดีพอเกินกว่าที่จะทำอะไรได้
แต่ทว่านอกจากเด็กชายแล้ว ในเวลานั้นดูเหมือนจะมีอีกบุคคลหนึ่งที่รับรู้ถึงเหตุการณ์นั้นและอาจจะสังเหตเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของพี่ชาย
ในคืนที่ฟ้ายามค่ำคืนใสกระจ่าง อาม้าเดินจับบ่าพี่ชายออกไปที่หน้าประตูก่อนจะชี้นิ้วไปที่รอยโหว่อันเนื่องจากความเก่าแก่ของผ้าใบบังแดดพลาสติกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีฟ้าสด
เด็กชายที่กำลังเล่นหยุดมือสีหน้างุนงง พี่ชายก็ไม่ต่างกันแต่กระนั้นก็ยังมองตามนิ้วของแม่ไปยังรูโหว่นั้น
ถ้าเอ็งยืนอยู่ตรงนี้ เอ็งจะเห็นดาวสวยอยู่แค่ดวงเดียว แต่ถ้าเอ็งออกไปยืนนอกบ้าน นอกผืนผ้าใบนี่ เอ็งจะเห็นดาวสวยอยู่เต็มฟ้าไปหมด
พี่ชายซึ่งอาจจะยังไม่เคยออกไปท่องเที่ยวใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่เลยแม้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าจึงทำให้หลงคิดไปว่านั่นสวยงามและเหมาะสมกับตนเองที่สุด
ในเวลานั้นเด็กชายเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดนี้สักเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นเมื่อเด็กชายโตพอที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น ทุกครั้งที่เด็กชายย้อนกลับมานึกถึงประโยคปลอบใจของแม่ในวันนั้นเด็กชายก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้ทุกครั้ง
......................................................
หลายปีต่อจากนั้นพี่ชายพบดาวที่สวยงามและเหมาะสมกับตนเองก่อนที่ทั้งคู่จะสร้างครอบครัวด้วยกันที่บ้านหลังเดิมหลังนั้น
เด็กชายเองก็เติบใหญ่จนกลายเป็นกำลังหลักกำลังหนึ่งในครอบครัวซึ่งประกอบด้วย อาป๊า อาม้า พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานสาว
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเก็บเงินเก็บทองเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่สำหรับครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น สิ่งอันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ระยะห่างจะต้นเพลิงแปดหลังของบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนสภาพทรุดโทรมไม่อาจต้านทานความพิโรธจากเปลวอันร้อนแรงได้
ชายหนุ่มรับโทรศัพท์หลังจากมันดังขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะได้รับข่าวร้ายนั้น เขาเดินทางออกจากที่ทำงานกลับบ้านด้วยอาการมึนงง ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวและความกังวลต่างๆ นานา
เมื่อชายหนุ่มเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุเขาพบหลานสาวอายุสามขวบวิ่งเล่นอยู่ปากซอยโดยมีกางเกงขาสั้นนุ่งอยู่เพียงตัวเดียว รอยยิ้มไร้เดียงสานั้นไม่รับรู้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
อาม๊าเองก็เช่นกัน ท่านยังคงพูดคุยหัวเราะยิ้มหัวกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น
ในคืนนั้นชายหนุ่มนอนไม่หลับ ในสมองคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อจากนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถจะทำให้ทุกคนในครอบครัวได้
นี่ก็เรียกว่าดีแล้วที่ยังคุยเล่น ยังหัวเราะ ยังเล่าถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปได้ ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้ามีใครเป็นอะไรไปสักคน แค่คุยเล่นก็ยังทำไม่ได้เลย
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มหลงลืมไป ความจริงจากคำพูดประโยคนั้นของอาม้าทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกและหลับตาลงได้ในที่สุด
......................................................
ค่าแรงอันน้อยนิดของชายหนุ่มทำให้เขาคิดหนักทีเดียวสำหรับบ้านหลังใหม่ บ้านที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อรองรับครอบครัวที่อาจจะใหญ่ขึ้นในอนาคต
แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ชายหนุ่มเองแค่คิดก็ท้อแท้แล้ว
เขาคิดคำนวณครั้งแล้วครั้งเล่าหวังว่าจะให้สิ่งที่ได้รับเพียงพอกับสิ่งที่จะต้องจ่ายออกไปทั้งๆ ที่มันก็คือรายได้ก้อนเดิมที่เขาเองก็รู้ว่ามันไม่มีทางจะเพิ่มขึ้นได้
จากบ้านในกรุงเทพฯ ก็ค่อยๆ ถอยห่างออกมาทุกที แต่เหลือเชื่อที่ราคาบ้านแฝดในขณะนั้นมันดูเกินเอื้อมจริงๆ สำหรับชายหนุ่ม
ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องต่างๆ...
เงินที่ได้มาจากค่าประกันอัคคีภัยคงร่อยหรอลงเรื่อยๆ จนอาจจะไม่พอค่าดาวน์บ้านหากปล่อยให้นานกว่านี้
เงินประกันที่ยังได้ไม่ครบทำให้ไม่อาจรวมเป็นก้อนใหญ่พอจะทำอะไรมากมายได้
ปัญหาต่างๆ อีกมากมายที่ชายหนุ่มเองก็คาดไม่ถึงหากไม่ได้ประสบด้วยตนเองค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
อาม้าว่าอยู่บ้านหลังเล็กๆ แล้วกินไก่กันดีกว่า ดีกว่าอยู่บ้านใหญ่ๆ แล้วต้องนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันทุกมื้อ
ก็ในเมื่อที่เก่ามันเล็กกว่าบ้านทาวน์เฮ้าส์ตั้งเยอะเราก็ยังอยู่กันมาได้ตั้งหลายสิบปี แล้วทำไมเราจะอยู่ทาวน์เฮ้าส์กันไม่ได้ล่ะในเมื่อมันใหญ่กว่าเดิมตั้งเยอะ
จากคำพูดประโยคนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่ลังเลและคิดมากอีกต่อไป เป็นอีกครั้งที่เขายิ้มให้กับคำพูดของอาม้า และหลังจากนั้นทุกคนในครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ยังบ้านหลังใหม่ที่ถึงแม้จะเล็กแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเรื่องราวมากมายของครอบครัว
......................................................
นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำพูดที่ผมมักจะได้ฟังและทำให้ได้คิดมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ บ่อยครั้งที่คำพูดเหล่านี้จะคอยเตือนสติและช่วยทำให้เกิดกำลังใจ
กับคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่า อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียว มีด้านร้ายก็ต้องมีด้านดีอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองด้านไหนเท่านั้นเอง
...กับข้อคิดของอาม้า...
จากคุณ :
KTH
- [
3 มี.ค. 52 22:05:54
A:61.91.160.189 X: TicketID:187608
]