Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เสียงร้องครางจากเปลผ้า

    เสียงร้องครางจากเปลผ้า

    ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สลัมคลองเตยจะผ่านมานานนับยี่สิบปีแล้วก็ตาม  แต่เสียงร้องครวญครางของน้องชายวัยสองเดือนที่นอนอยู่ในเปลผ้ายังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมตลอดมา  ผมเฝ้าโทษตัวเองอยู่เสมอว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องชายตาย  ถึงแม้ว่าคนรอบข้างจะบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุและเป็นคราวเคราะห์ของน้องชายผมก็ตามที  แต่ถ้าวันนั้นผมทำตามคำสั่งของแม่อย่างเคร่งครัด ไม่แอบออกไปวิ่งเล่นข้างนอกบ้านกับเพื่อนๆ แล้วล่ะก็  ผมก็คงจะอุ้มน้องให้ออกมาจากเปลเด็กและวิ่งออกมาก่อนที่กองเพลิงจะลุกไหม้ลามเลียมาถึงบ้านของผมได้  

    หลังจากที่น้องชายเสียชีวิตไปได้ไม่นาน  แม่ของผมก็ถูกโรคมะเร็งร้ายคร่าชีวิตตายจากผมไปอีกคนหนึ่ง  จึงทำให้ผมซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 5 ขวบ ได้ถูกเจ้าหน้าที่พามาไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เพื่อรอคอยผู้ใจบุญที่จะมารับเลี้ยงดูอุปการะต่อ  ซึ่งพ่อแม่ใหม่ของผมก็ได้พาผมไปอยู่ในบ้านหลังใหม่แถวฝั่งธนซึ่งห่างไกลจากบ้านหลังเดิมที่เคยอยู่มากมาย  จึงทำให้ผมไม่มีโอกาสได้แวะเวียนกลับมาแถบคลองเตยเลย  จนกระทั่ง...

    “เฮ้ย!! พรุ่งนี้นายว่างรึเปล่าวะ”  โอ๊ต-อัครินทร์ เพื่อนสนิทจอมเจ้าชู้โทรมาหาผมเมื่อตอนบ่ายวานนี้

    “ก็ว่างนะ ไม่มีโปรแกรมไปไหน”  

    “งั้นไปเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพลกซ์กันไหม เขาเปิดใหม่ตรงย่านคลองเตยน่ะ”  เมื่อผมได้ยินคำว่า ‘คลองเตย’ จากปากเพื่อนสนิท ผมก็หูผึ่งทันที  ชุมชมแออัดที่เคยเป็นแหล่งทำมาค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าเมื่อสมัยก่อน  บัดเดี๋ยวนี้ ถูกแปลเปลี่ยนเป็นแหล่งศูนย์รวมความบันเทิงไปแล้วหรือนี่

    “หา!!  ไม่ยักรู้ว่าชุมชนคลองเตยจะมีศูนย์บันเทิงครบวงจรมาตั้งอยู่ด้วย”

    “นายนี่ก็ยังเต่าเหมือนเดิมนะ โผล่หัวออกมาจากกระดองได้แล้ว”  ผมมักจะโดนเพื่อนในกลุ่มว่าว่าเป็นคนที่รับรู้เรื่องราวความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ช้ากว่าคนอื่นๆ อยู่เสมอ

    “ว่าแต่นาย จะไปทำอะไรที่นั่น”  ผมก็ถามโอ๊ตไปอย่างนั้นเอง  ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์หลักของเพื่อนสนิทคนนี้คืออะไร

    “ไปดูหนัง  โยนโบว์  กินข้าว  เหล่หญิง”  โอ๊ตลงน้ำหนักเสียงในวลีสุดท้ายซึ่งเป็นสิ่งที่โอ๊ตจะขาดเสียไม่ได้  แต่สำหรับผม ผมอยากจะทำในวลีแรกมากกว่า

    “ฉันอยากไปดูหนังอยู่เหมือนกัน  ไม่ได้ดูมานานมากแล้ว”

    “อืม!! งั้นพรุ่งนี้เจอกันตรงทางออกหมายเลข 1 ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินคลองเตยตอนสิบเอ็ดโมง  โอเค.นะ”   โอ๊ตพูดสรุปจบเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็วางสายไป


    และด้วยเหตุนั้นเอง จึงทำให้วันนี้ผมถึงต้องมายืนรอเพื่อนชายตัวดีอยู่ที่ทางออกหมายเลขหนึ่ง  เวลาล่วงเลยผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววว่าพ่อตัวดีจะมาเลย  ถ้าผมคาดเดาไม่ผิดนะ  ผมว่าเพื่อนของผมคนนี้จะต้องมีผิดนัดอีกแหงๆ  ซึ่งมันก็เป็นไปอย่างที่ผมคิดจริงๆ เสียด้วย  เมื่อนายโอ๊ตส่งแมสเสจมาบอกว่าเขามีธุระมาไม่ได้  ให้ผมเดินเที่ยวคนเดียวให้สนุกแล้วกัน  มันน่าคงจะสนุกมากเลยเนอะกับการที่ผมต้องมาเดินเที่ยวคนเดียวเนี่ย  แต่เอาน่ะ  ไหนๆ ก็มาถึงคลองเตยนี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองเข้าไปสัมผัสสถานบันเทิงแห่งใหม่นี่ซะหน่อย

    เมื่อผมเข้าไปถึงสถานบันเทิงแห่งนั้น ผมก็เดินไปสอบถามที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงชั้นที่ตั้งของโรงหนัง  เมื่อได้ความแล้ว ผมก็จัดแจงกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 4  ภายในลิฟท์นั้นมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอด  ผมมองดูเด็กน้อยที่ถูกห่อตัวด้วยผ้าผืนบาง เขาช่างมีใบหน้าคล้ายน้องชายของผมเหลือเกิน  แต่ถ้าน้องชายของผมยังชีวิตอยู่ป่านนี้ก็คงอายุยี่สิบปีแล้วล่ะ

    ติ๊ง....  ประตูลิฟท์เปิดออก  ผมก้าวเท้าออกไปจากลิฟท์ตัวนั้นเพียงลำพัง  ในขณะที่คุณแม่ลูกอ่อนยังโอบตระกองกอดลูกน้อยไว้แนบอกขึ้นลิฟท์ต่อไปชั้นบน  ผมละลายสายจากคุณแม่ลูกอ่อนเมื่อประตูลิฟท์ปิดเข้าหากัน  ผมหมุนตัวเดินไปมองป้ายที่บอกรอบเวลาของหนังแต่ละเรื่อง  เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมจึงเดินไปจองตั๋วหนังที่เคาท์เตอร์  พนักงานขายตั๋วซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้หน้ากากสีดำถามผมด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า

    “จะดูหนังเรื่องอะไรดีครับ”

    “ดูเรื่อง The Black Mask ครับ”  ผมตอบพนักงานขายตั๋ว ก่อนจะก็เอานิ้วชี้จิ้มไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เลือกที่นั่ง D4  จากนั้นผมก็ยื่นส่งธนบัตรใบสีแดงและสีเขียวเพื่อแลกกับตั๋วหนังใบสีขาวแผ่นเล็กๆ

    ระหว่างทางเดินเข้าสู่โรงหนังโรงที่ 4  ผมรู้สึกว่ามันมีลมพัดเย็นๆ ไล่แผ่วพริ้วมาปะทะแผ่นหลังผมเป็นระลอกๆ จนทำเอาขนแขนของผมมันลุกตั้งขึ้นมา  ผมพยายามนึกปลอบใจตัวเองว่ามันไม่มีอะไรหรอก  มันก็เป็นแค่ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาได้รู้สึกเย็นสบายก็เท่านั้น  แต่เมื่อผมเดินเข้ามามาถึงในโรงหนังแล้ว  ผมก็รู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศที่เงียบผิดปกติ  มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมานั่งดูเลยแม้สักคน  ทั้งๆ ที่ตอนที่จองตั๋ว ผมก็เห็นว่ามันมีที่นั่งที่ถูกจองไว้แล้วตั้งมากมาย สักพักหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงเรียกที่เย็นยะเยือกเหมือนกับตอนที่ผมไปจองตั๋วหนังดังขึ้นที่ด้านหลังของผม

    “สวัสดีพี่ชาย...”  ผมขวับไปมองยังคนที่กล่าวคำทักทายนั้นทันที

    ชายหนุ่มร่างสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าถกแขนเสื้อเชิ้ตขาวขึ้นเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่เหมือนถูกไฟลวกจนพุพองเป็นทางยาวตลอดแขน  เขายกมือขึ้นถอดหน้ากากสีดำออกเผยให้เห็นใบหน้าที่พุพองจนไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลาเหมือนตอนแรกเกิด

    “ไม่จริง!!  น้องชายของฉันตายไปแล้ว  นายไม่ใช่น้องชายของฉัน”  ผมปฏิเสธที่จะยอมรับบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งห่างกันเพียงวาเดียว

    “ผมรอคอยวันนี้มานานแล้ว  วันที่จะชำระความแค้นกับพี่ ที่ถูกพี่ปล่อยทิ้งให้นอนจมอยู่ภายใต้กองเพลิง”  หนุ่มร่างสูงที่อ้างตัวเป็นน้องชายของผมกำลังดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากทางด้านหลัง  ผมจึงตัดสินใจผลักเขาให้ล้มลงก่อนที่เขาจะหยิบอะไรบางอย่างมาทำร้ายผม จากนั้นก็รีบวิ่งลงไปยังประตูทางออกทันที

    - - - ผลั่วะ - - -

    ทันทีที่ผลักประตูบานนั้นออกไปได้  ผมก็เจอแสงสปอร์ตไลท์สว่างวาบส่องตรงมาที่ใบหน้าของผม พร้อมกับเสียงเป่าปากหวีดหวิวดังขึ้นพร้อมกันด้วย ผมหันไปมองยังทิศทางของเสียงเป่าปากโห่ร้องนั้นจึงได้เห็นว่ามีเจ้าเพื่อนจอมเจ้าชู้แสนแสบของผมรวมอยู่ด้วย

    “พวกเรามาจากรายการล้อกันเล่นครับ  เพื่อนของคุณคนนี้เขาต้องการจะหยอกล้อคุณเล่น ทางรายการของเราจึงจัดให้”  เสียงพิธีกรดูเริงร่าเป็นพิเศษ  นี่คงสนุกสนานกันมากสินะ  ที่มาหยอกล้อกับความรู้สึกของคนอื่นเนี่ย

    “เฮ้ย  ฉันขอโทษนะเว่ย  คราวหลัง ฉันจะ...ฉันจะทำอีกว่ะ ฮ่าๆๆๆ”  ดูเจ้าเพื่อนตัวแสบของผมมันพูดเข้าสิครับ  มันน่าต่อยปากไหมล่ะเนี่ย

    หลังจากที่ผู้กำกับรายการสั่งคัต กล้องทุกตัวปิดหมดแล้ว ผมจึงกระซิบถามโอ๊ตว่า...

    “นายจ้างเจ้าหน้ากากดำนั่นเท่าไหร่อ่ะ”

    “หน้ากากดำไหน  ไม่มี  ฉันไม่ได้จ้าง  ฉันแค่เช่าสถานที่โรงหนังโรงที่ 4 เพื่อให้แกมายืนเอ๋อแค่นั้นเอง”

    “งั้นหน้ากากดำที่ฉันเห็นเมื่อกี้ก็เป็น...”

    “ผีน้องชายของนายมั้ง อิอิ”

    “ไม่ต้องมาหัวเราะเลย  ฉันรู้ว่ามันอยู่ในแผนของนาย  อย่ามาหลอกฉันเสียให้ยาก  ฉันไม่ยอมเป็นควายซ้ำสองหรอก  เจ้าโอ๊ต!! มานี่เลย  มาให้ฉันเตะซะดีๆ”  

    ผมวิ่งไล่ตามโอ๊ตไป พร้อมกับลมที่พัดเย็นๆ แผ่วพริ้วมาปะทะกับแผ่นหลังของผมอีกระลอก...

    @@@@@@@@@@@@@@@@

    ผู้เขียนคิดว่าจะต่อยอดเรื่องนี้ เป็นนิยาย เรื่อง "แค้นซ่อนตาย"  แต่ขอให้มีเวลาว่างๆ ก่อน แล้วจะลำดับเรียบเรียงเรื่องนี้ใหม่

    ผู้อ่าน อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ ติชมได้ค่ะ

    จากคุณ : comicclubs - [ 5 มี.ค. 52 15:32:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com