เรื่องเล่าสยองของข้าพเจ้า
ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (หลอนครั้งแรก)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7555350/W7555350.html
ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (ฝูงผีบุก)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7561061/W7561061.html
ตอน ผีทวงสมอง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7569912/W7569912.html
ตอน ช่วยด้วย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7575674/W7575674.html
ตอน หัวใคร ในทะเล
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7581096/W7581096.html
ตอน ทำไมพี่ถึงไม่ช่วยผม!
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7589318/W7589318.html
เรื่องที่ 7 ดวงไฟที่ริมรั้ว
เรื่องผีครั้งนี้ออกแนวย้อนยุคไปไกลสักหน่อย ว่ากันสมัยที่ยังใช้ทีวีขาวดำแบบบิดเปลี่ยนช่อง ตอนนั้นพี่อายุได้ราวเก้าหรือสิบขวบเห็นจะได้ อย่าถามปีพ.ศ.เพราะพี่ก็จำไม่ได้ ถึงจำได้ก็ไม่บอกหรอกเดี๋ยวรู้อายุจริง
สมัยเด็กบ้านพี่อยู่ที่ดอนเมือง ซึ่งตอนนั้นแม้จะอยู่ใกล้สนามบินและสถานีรถไฟแต่ก็จัดว่าค่อนข้างห่างไกลชุมชนพอควร ชนิดที่ถ้าวันไหนพ่อขับรถไปสะพานควายเพื่อซื้อซาลาเปาเจ้าเด็ดแล้วล่ะก็ ตื่นเต้นกันทั้งบ้านยิ่งกว่าได้ไปเที่ยวฮ่องกงในสมัยนี้เสียอีก
บริเวณที่บ้านพี่ตั้งอยู่จะใกล้สะพานปูน ซึ่งเป็นสะพานดินจากฝั่งดอนเมืองข้ามคลองเปรมประชากรไปยังอีกฝั่ง สะพานนี้สูงมากๆ ถ้าเดินขึ้นไปยืนตรงกลางแล้วมองออกไปอีกด้าน เหมือนกำลังมองโลกอีกโลกหนึ่งเลย เพราะอีกฝั่งน่ะทั้งกันดารและแทบไม่มีบ้านคนเลยล่ะ ส่วนตัวบ้านจะเป็นสองชั้น ชั้นบนปูพื้นกระดานทำด้วยไม้สักขัดมัน แต่วางต่อกันจนเกือบชิดชนิดแหย่ได้แค่นิ้วก้อยเท่านั้น เลยไม่ต้องคอยนั่งระวังเรื่องโดนแหย่ก้นเวลาฟังเรื่องผี โดยเฉพาะรายการคณะนกฮูก ซึ่งเป็นรายการวิทยุดังในสมัยนั้น ชั้นล่างเกือบโล่ง เทปูนขัดมันอย่างดีและก่อปูนไว้แค่ครึ่งเดียว ข้างบ้านด้านหนึ่งจะเป็นรั้วสังกะสีส่วนอีกด้านจะเป็นรั้วระแนงติดกับบ่อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งด้านนี้จะใช้เป็นที่ซักล้าง มีทั้งกะละมัง ถัง โอ่งวางเรียงเต็มไปหมด อ้อ เกือบลืม ศาลพระภูมิก็ตั้งอยู่ด้านนี้ด้วย
เหตุการณ์ระทึกขวัญมันเกิดขึ้นตอนที่แม่คลอดน้องสาวคนสุดท้องและต้องทำหมัน ซึ่งการทำหมันในสมัยก่อนเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นแม่จึงขึ้นลงบันไดซึ่งค่อนข้างสูงไม่ได้ พ่อซึ่งตอนนั้นเป็นทหารอากาศเลยจัดแจงย้ายเตียงและที่นอนหมอนมุ้งลงมาชั้นล่าง ทำที่กันลมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้แม่อย่างดี พวกพี่ก็แห่ลงมานอนกับแม่ด้วยโดยตัวพี่กับน้องสาวคนรองจะนอนที่พื้นชิดด้านใน ส่วนน้องชายสองคนซึ่งยังเล็กจะนอนบนเตียงกับแม่และเจ้าตัวเล็กซึ่งยังแดงๆอยู่เลย
เมื่อก่อนนี้หลังคลอดคนไทยยังนิยมการนั่งกระโจม ใช้หม้อเกลือประคบเพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น แม่มีหมอ(น่าจะเป็นหมอพื้นบ้าน)รู้จักกันซึ่งเก่งมากๆมาคอยดูแลทำกระโจมให้ ขออธิบายเรื่องกระโจมกันสักนิด เอาเท่าที่พี่จำได้นะ คือเขาจะใช้สุ่มไก่นี่แหละแล้วเอาผ้าหนาๆคลุมให้มิด
จากนั้นก็เอาหม้อไฟที่นึ่งพวกสมุนไพรจนร้อนจัดควันฉุยไปวางไว้ข้างในแล้วให้คนเพิ่งคลอดเข้าไปนั่งสักวันละหนึ่งชั่วโมง ส่วนการประคบหม้อเกลือก็คือนำหม้อดินมาใส่เกลือเม็ดลงไปจนเกือบเต็มแล้วตั้งบนไฟอ่อนๆ พอเกลือร้อนก็เอาลงมาใช้ผ้าหุ้มแล้วนำไปวางไปที่ท้องน้อย ท้องจะยุบ ขับน้ำคาวปลาได้ดีมาก
นอกเรื่องไปไกลพอควร หันหัวเรือกลับมาซักที ระหว่างที่แม่นั่งกระโจมและประคบหม้อเกลือในวันเกือบสุดท้าย(เขาทำเจ็ดวัน) อยู่ๆป้าหมอก็ถามแม่ว่า ระยะนี้มีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า แม่นึกว่าหมายถึงเรื่องแผลทำหมันในตอนนั้นก็เลยตอบไปว่า ไม่มี ป้าหมอทำหน้าหนักใจแล้วจดอะไรบางอย่างให้ บอกว่าถ้ามีอะไรแปลกๆให้เอาคาถานี้ไปท่อง ตกกลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก อย่ามองเด็ดขาด ระวังเจ้าตัวเล็กให้ดีด้วย แม่ก็รับปากแบบงงๆ จากนั้นป้าหมอก็กลับบ้าน ส่วนพี่กับน้องๆก็เล่นกันตามหน้าที่ของลูกที่ซนเป็นลิง ตอนบ่ายน้องชายคนที่สามเดินไปล้างมือ เขามองข้ามบ่อน้ำไปที่บ้านอีกหลังแล้วมาคุยให้ฟังว่าสงสัยพี่หน่อยใหญ่ทำดอกไม้ไฟเล่นอีกแล้วเพราะเขาเห็นแสงสว่างจ้าอยู่ตรงที่วางเครื่องครัว พอตกเย็นกินข้าวกินปลาเสร็จพวกพี่ก็ช่วยกันเก็บถ้วยชาม แม่มองไปที่รั้วแล้วทำหน้าเครียดไล่พวกพี่ให้เข้ามุ้งนอนทันที พอหัวถึงหมอนพวกพี่ก็หลับปุ๋ย มาตกใจตื่นอีกตอนดึก แม่ลุกขึ้นมานั่งส่งเสียงร้องโวยวายดังลั่น และดึงดันจะขึ้นบ้านให้ได้ โชคดีที่ตอนนั้นพ่อออกเวรกลับมาพอดีเลยช่วยประคองแม่ขึ้นไปชั้นบน ถามว่ามีอะไรแม่ก็ไม่ยอมบอก พ่อเลยต้องนั่งเฝ้าแม่จนสว่างคาตา
เช้าวันรุ่งขึ้นพอป้าหมอมาถึงแกก็ถามแม่เลยว่าเมื่อคืนนี้มีอะไรไหม แม่เลยเล่าให้ฟังว่าตอนหัวค่ำแม่เห็นรั้วไม้สะท้อนไฟดวงโตเท่าจานข้าว พอวางจานแล้วเงยหน้าขึ้นอีกทีไอ้ดวงไฟดวงนั้นก็เลื่อนมาอยู่ที่กล่องผงซักฟอกแล้ว แม่คิดถึงคำเตือนของป้าหมอเลยไล่ลุกเข้านอน หลับไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงเหมือนใครกำลังหายใจ แล้วก็มีเสียงคล้ายคนลากไม้กวาดทางมะพร้าวดัง
แซ่ก
แซ่ก
แซ่ก
แค่สามครั้งเท่านั้นก็มีลมเป่าอยู่บนหัวดังอู้ไปหมด แม่บอกว่าตอนนั้นขยับตัวไม่ได้ ร้องไม่ออก ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นึกถึงพระนึกถึงอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ลมมันยังเป่าไม่ยอมหยุดจนมุ้งทำท่าจะเปิด แม่ใจหายวาบเพราะนึกถึงคำเตือนเรื่องน้องสาวคนเล็ก ความเป็นห่วงลูกแม่รวบรวมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดเลื่อนมือมากุมพระสมเด็จนางพญาที่ห้อยคอ ลมที่เป่าอู้หายไปทันที แม่บอกว่าเหมือนเห็นดวงไฟวิ่งออกจากบ้านหายไปทางบ่อน้ำ จากนั้นก็ลุกขึ้นร้องตะโกนเรียกคนให้ช่วย ป้าหมอฟังแล้วถอนใจบอกว่าเมื่อวานตอนเข้าบ้านแกได้กลิ่นคาวที่ริมรั้วเลยคิดว่ากระสือมันคงมาดูลาดเลาเลยเตือนไว้ โชคดีทีแม่มีสติไม่งั้นมันคงกินทั้งแม่ทั้งลูก แม่ตกใจมากถามว่ามันจะย้อนกลับมาอีกไหม ป้าบอกว่าคงไม่แล้วเพราะพระที่ห้อยคอแม่ทำมันเจ็บมาก ท่าทางป้าหมอเหมือนจะรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครแต่แกไม่ยอมพูด บอกว่าเป็นบาป แต่คืนนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีอะไรจริงๆ ส่วนพี่ก็เลยได้รู้ว่าผีกระสือไม่ได้มีหัวกับไส้เหมือนในหนัง แต่มันเป็นดวงไฟและจิตวิญญาณซึ่งน่ากลัวกว่าหลายร้อยเท่า
อ้อ....เกือบลืมไป ทิศทางที่กระสือเข้าบ้างคือจุดที่ตั้งศาลพระภูมิ หลังเกิดเหตุการณ์นั้นแม่เลยอัญเชิญท่านไปไว้หลังบ้าน โทษฐานที่ปล่อยผีให้เข้ามาทำร้ายลูกหลานจนเกือบตาย
*/*/*/*
จากคุณ :
Moony_Lupin
- [
7 มี.ค. 52 15:35:45
]