Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    แมวดำ


                            “Curiosity can do more things than kill a cat…”
                                                        O. Henry
                             (from Short Story: Schools to Schools, 1909)

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    แม้จะห่างหายไปนาน และมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ในความรู้สึกของผม ตลาดในอำเภอพนัสนิคมยังคงบรรยากาศเดิมที่คุ้นเคยและคิดถึงก่อนที่ผมจะจากบ้านไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร

    วันที่พ่อจับมือผมส่งให้หลวงอาพาไปกรุงเทพฯ นั้น ผมยังนึกตื่นเต้นอยู่ว่า ได้โอกาสไปอยู่เมืองหลวงคราวนี้จะเที่ยวให้หนำใจ แล้วเก็บเรื่องมาเล่าให้ใครต่อใครฟังให้เต็มที่เลยทีเดียว แต่ผมสนุกอยู่ได้อาทิตย์เดียวเท่านั้นก็คิดถึงบ้านจับใจ จะกลับก็กลับไม่ได้ บางวันอ่านหนังสือหนักเข้าก็เกิดอาการน้ำตาตกในเอาเหมือนกัน

    แม้จะอยู่กรุงเทพฯ นานไปจนชินกับชีวิตในเมืองหลวง แต่ผมไม่เคยลืมชีวิตวัยเยาว์ที่บ้านเกิด คิดถึงกลิ่นหอมของพื้นดินและผืนหญ้าหลังฝนที่ไม่มีให้สัมผัสจากถนนลาดยางและตึกรามกลางเมือง คิดถึงอาหารฝีมือแม่ แค่ปลาโอเนื้อแน่นตัวย่อม ๆ นึ่ง แกะเนื้อเป็นก้อนไปผัดแห้งรสเค็มหวาน หอมกระเทียมสับกับพริกไทยกินกับข้าวสวยร้อน ๆ แล้วไหนจะทอดมันแบบพนัสฯ ที่ปั้นเป็นก้อนกลมรสกลมกล่อมมีทั้งหวาน เค็ม เผ็ด ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มตัดเลี่ยนอย่างทอดมันชิ้นแบน เน้นเค็ม เผ็ดเป็นหลักที่ได้กินในกรุงเทพฯ อีกเล่า

    ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังคิดถึงเพื่อนเก่าที่เติบโตมาด้วยกัน โดยเฉพาะเฟื่องฟ้าและเพิ่มพล เพื่อนสนิทที่เคยเล่นหัวกันมาแต่น้อยอีกด้วย

    เฟื่องเป็นลูกร้านของชำในตลาดซึ่งแม่ผมเป็นลูกค้าประจำ และเป็นเพื่อนกับน้องสาวคนสุดท้องของผมมาแต่เล็ก มาเที่ยวเล่น ฟังจานเสียง ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ซึ่งเป็นของฟุ่มเฟือยในสมัยนั้นที่บ้านเราหลายหนจนคุ้นเคย ส่วนเพิ่ม ลูกชายเพื่อนบ้านที่มีอาชีพสานและรับซื้อเครื่องหวายมาขาย เป็นเพื่อนเกลอที่รู้ใจผมกว่าใคร  เรียนห้องเดียวกัน ไปไหนไปกัน อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นแบบแผลง ๆ ของผมที่ทำให้ตัวเขาเองเกือบต้องเดือดร้อนไปด้วยโดยไม่เคยปริปากบ่น เนื่องจากเขามักมาขลุกอยู่ที่บ้านเราบ่อยพอกัน เฟื่องจึงนับเอาเขาทั้งพี่ ทั้งเพื่อนของเธอไปเช่นเดียวกับผมด้วย  

    เดิมทีผมนึกกับเฟื่องแค่พี่น้องโดยไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะกลายเป็นคนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อพบว่าเด็กหญิงแสนซนที่เคยวิ่งปีนต้นไม้ในสวนหลังบ้านของผมเล่นกลายเป็นหญิงสาวที่แม้ไม่สวยจัด แต่ก็มีเสน่ห์จนทำให้ผมสะท้านในหัวอกอย่างประหลาด  

    เมื่อผมได้รับรู้จากปากเพื่อนว่า เขาแอบรักเฟื่องมานานแล้ว และทราบจากน้องสาวผมว่า เฟื่องก็ดูจะชอบเพิ่มอยู่ เพราะตัวเพิ่มเองก็เป็นคนหน้าตาดีอย่างผู้ชายไทยแท้ ๆ ในขณะที่ผมออกไปทางจืด ๆ อย่างคนเชื้อจีนที่ได้จากทางแม่ และเมื่อผมไปเรียนในกรุงเทพฯ ก็ห่างจากพวกเขาไป ไม่สนิทชิดเชื้อกันเท่าเก่า ด้วยค่าที่เห็นเพื่อนซึ่งมีความซื่ออยู่เป็นทุนวางใจยึดผมเป็นที่ปรึกษา ผมจึงได้แต่เก็บคำที่คิดจะบอกชอบเฟื่องเอาไว้ แล้วเอาใจทุ่มให้กับการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ซึ่งวิธีนี้ก็ช่วยผมได้ไม่น้อย

    หลังได้เป็นนักเรียนเตรียมแพทย์สมใจตัวเองและครอบครัวไม่นานก็ได้รับจดหมายจากเพิ่มบอกข่าวมาว่า  เขากับเฟื่องจะแต่งงานกัน ซึ่งสำหรับคนสมัยนี้อาจจะดูไวไปสักหน่อย แต่สำหรับคนบ้านนอกในช่วง พ.ศ. 2508-2509 นั้นยังเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ ข่าวนี้ถือเป็นข่าวมงคล ผมจึงเขียนจดหมายตอบโดยแสดงความยินดีที่เขาทั้งสองจะมีความสุขกัน

    หลังจากงานแต่งที่ผมรับเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้จนถึงวันนี้ก็ร่วมปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะ หลังสอบปลายภาคเสร็จก็เกิดเจ็บป่วยถึงขั้นนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน เพราะความอุตริที่ไปลงเล่นรักบี้กับเขาแล้วโดนแท็กเคิลจนซี่โครงเดาะ กว่าจะหายดีก็เหลือเวลากลับบ้านอีกไม่มากนักเมื่อเทียบกับเวลาที่ผมต้องใช้เตรียมตัวสำหรับการเรียนในภาคเรียนต่อไป ทางพ่อกับแม่ที่มาเยี่ยมหาหลวงอาและผมที่กรุงเทพฯ ก็เห็นตรงกันว่า ผมยังไม่ต้องกลับบ้านก็ได้ ว่างเมื่อใดก็ค่อยกลับ

    ด้วยเหตุนี้ หลังเปิดภาคการศึกษาใหม่มาได้สองสัปดาห์ อะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว แม้จะมีเวลาค้างที่พนัสนิคมเพียงเสาร์อาทิตย์ แต่ผมก็ตัดสินใจกลับบ้านด้วยความคิดถึงใครต่อใครที่ไม่ได้พบกันมานาน นอกจากคนที่บ้านแล้ว ยังมีเพื่อนรักทั้งสองของผมที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่ซึ่งผมอยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับตัวว่าเป็นอย่างไรบ้างด้วย

    “พี่ทิวนี่เอง นึกว่าใคร หรือต้องเรียกว่าคุณหมอธวัชชัยดีล่ะ... กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่บอกกันบ้างเลย”

    เสียงทักแกมหยอกกับคำถามชุดใหญ่ที่ได้ยินทำให้ผมต้องเหลียวไปหาและเรียกชื่อของใครคนหนึ่งซึ่งยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ผมออกมาด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบคนที่ผมกำลังนึกถึงอยู่โดยบังเอิญ  แม้จะดูผอมบางลงกว่าเดิมบ้าง หากเธอยังคงมีท่าทีเป็นมิตรสนิทสนม และเป็นน้องสาวที่น่ารักคนเดิมของผมไม่เปลี่ยนแปลง

    “เรียกพี่แบบเดิมนี่ละ เฟื่อง กว่าพี่จะได้เป็นหมอจริง ๆ ก็อีกปลายปี” ผมหัวเราะ “พี่จับรถเที่ยวเย็นมาถึงพนัสฯ เมื่อค่ำวานนี้นี่เอง แต่มืดมากแล้ว พี่เลยไม่อยากออกไปไหน ว่าบ่าย ๆ รอให้เฟื่องกับเพิ่มกินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้วจะแวะไปหาอยู่ ไม่นึกว่าจะได้เจอที่นี่…”

    “ไม่อยากออกบ้านตอนมืดเพราะกลัวผีก็บอกมาดี ๆ เถอะ” เฟื่องกระเซ้า พร้อมหัวเราะคิก เพราะรู้ดีว่า สมัยเรียนอยู่ประถมห้า ผมเคยชวนเพิ่มไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้

    ในวันนั้น หลังวิ่งเล่น ไปปีนต้นไม้ หาอะไรทำไปตามเรื่อง ก็ชวนกันกลับไปหาของกินเล่นที่บ้านผม เส้นทางลัดที่เราใช้กลับบ้านนั้นตัดผ่านสุสานหลังวัด โดยในสมัยนั้นยังมีโรงทึมสำหรับเก็บศพรอเผา และยังไม่มีเมรุสำหรับเผาศพระบบไฟฟ้าแรงสูงอย่างปัจจุบัน ทั่วไปแล้วจะเอาขึ้นเผาบนเมรุที่เป็นอาคารทึบ มีปล่องระบายควันและใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง แต่สำหรับศพไร้ญาติส่วนใหญ่ ถ้าไม่ฝังไว้รอญาติมาชี้ตัว ก็จะเผากันอย่างง่าย ๆ บน ‘ฐานเผา’ ซึ่งเป็นอิฐก่อขึ้นสองข้างเว้นตรงกลางไว้สำหรับใส่ฟืน ส่วนโลงศพที่จะเผานั้นเอาขึ้นวางบนฐาน

    เด็ก ๆ อย่างเรา ผู้ใหญ่เขาห้ามนักหนาว่าไม่ให้ไปยุ่งย่ามเวลาเขาเผาศพ แต่เผอิญวันนั้น เราผ่านไปเห็นตาชุ่ม สัปเหร่อกับลุงหนอม ผู้ช่วยของแกเตรียมจะเผาศพอยู่พอดี เท่านั้นเอง ความสงสัยที่ผมเก็บไว้ในใจมานานว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงห้าม และอยากรู้ว่าเหตุผลว่า ‘มันไม่น่าดู’ ของเขาหมายความว่าอย่างไรก็ดลใจให้ผมชวนเพิ่มแอบดูตาชุ่มเผาผีในป่าช้า

    แม้จะลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ในที่สุดเพิ่มก็ตกลงใจอยู่แอบดูกับผมด้วย  

    ตลอดเวลาที่ตาชุ่มทำพิธีอะไรต่ออะไรก่อนเอาศพขึ้นวางบนฐานเผา เพิ่มก็นั่งหันรีหันขวางเบียดผมอยู่ไม่ห่าง บอกว่า เห็นแมวดำกระโดดข้ามโลงไป หากผมซึ่งจดจ่ออยู่กับพวกตาชุ่มมากกว่า ไม่ทันสังเกต ตอบกลับไปว่า ไม่เห็น พอสิ้นเสียงผม เพิ่มก็ผวาเข้ามาเกาะหลังผมแจ แต่ไม่ได้หนีไปไหน หรือพูดอะไรออกมาอีก

    หัวใจผมเต้นโครมครามเมื่อเห็นลุงหนอมจ่อไฟเข้ากับกองฟืนจนลุกพรึบขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน  โลงไม้อัดบาง ๆ ที่ถูกขวานจามจนแตกก็ไหม้ทรุดแตกเป็นชิ้น จนเห็นร่างศพที่อยู่ข้างใน กลิ่นเหม็นของเนื้อเจือเปลวมันไหม้ก็โชยเข้าจมูก และภาพที่ปรากฏต่อหน้าก็ทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘ไม่น่าดู’ ที่พ่อเคยบอกไว้ขึ้นมาได้อย่างแจ่มแจ้ง อยากเลิกมองแล้วชวนเพิ่มลุกออกไปเสียเดี๋ยวนั้น หากสายตาของผมกลับจ้องเป๋งอยู่ที่คนตายในกองเพลิงชนิดละไปไหนไม่ได้ ซ้ำร้ายขาสองข้างยังหนักอึ้งจนก้าวไม่ออก

    เมื่อเห็นศพถูกเผาจนกระดูกและเส้นเอ็นหดตัวจนแขนขาที่ปราศจากเชือกตราสังบิดเบี้ยวยื่นชูขึ้นในอากาศ โงนเงนลุกขึ้นนั่งบนกองฟอน ตกใจแทบเป็นลม นึกว่าถูกผีหลอกกลางวันแสก ๆ แต่พอได้สติ ผมก็คว้าแขนเพิ่มให้ลุกขึ้น พากันเผ่นป่าราบ ล้มลุกคลุกคลานกลับบ้านมานอนคลุมโปงจับไข้ไปทั้งคู่

    ลำพังตัวผมนั้นไม่เท่าใด เพราะบังเอิญว่าในวันรุ่งขึ้น หลวงอาซึ่งเรียนบาลีอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายกลับบ้านมาเยี่ยมหาปู่ และมาคุยกับพ่อผมเรื่องที่จะรับผมไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ หลังจบประถมหกพอดีรู้เรื่องเข้า ท่านก็เลยเรียกผมมาฟังคำอธิบายว่าศพลุกขึ้นนั่งได้อย่างไร ผีในใจผมก็เลยถูกพระปราบเสียอยู่หมัดโดยไม่ต้องเข้าวัดวารดน้ำมนต์ใด ๆ ทั้งสิ้นในวันนั้นเอง

    น่าสงสารก็แต่เพิ่มที่ต้องรบกับอาการกลัวผีอยู่คนเดียว มิหนำซ้ำน้าหนูเล็ก แม่ของเขาที่เชื่อถือเรื่องผีสางอยู่เป็นทุนอยู่แล้วช่วยให้กลัวหนักไปกันใหญ่ ซ้ำยังทำให้เพื่อนผมขยาดแมวแถมพกไปด้วยอีกรายการหนึ่ง

    เพิ่มบอกผมว่า น้าหนูเล็กเคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าแมวดำกระโดดข้ามศพ วิญญาณของคนนั้นจะดุร้ายเป็นพิเศษ แล้วในก่อนเผาศพ เขาเห็นแมวดำตัวเขื่องกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนฝาโลงครู่หนึ่งแล้วกระโดดหนีหายไป พอถามผม ผมกลับตอบว่าไม่เห็นเหมือนที่เขาเห็น ทำให้เขาเชื่อว่า แมวดำตัวนั้นต้องเป็นแมวผีแน่ ๆ ยิ่งได้ยินตาชุ่มกับลุงหนอมพูดกันว่าเป็นศพตายโหง ไม่นิยมเก็บกันไว้นาน สวดคืนเดียวแล้วก็เอามาเผาด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัว และพอเอาขึ้นเผา ศพก็เฮี้ยนจัดจนลุกขึ้นนั่งอย่างที่น้าหนูเล็กว่าจริง ๆ

    ถึงผมจะพยายามอธิบายว่า ที่ผมบอกว่าไม่เห็นนั้นเป็นเพราะผมไม่ทันมองจุดที่เขามองอยู่ และแม้หลวงอาที่ผมนิมนต์ให้ไปเยี่ยมเพิ่มด้วยกันจะยืนยันว่า การที่ศพลุกได้นั้นไม่ได้เกิดจากอาถรรพ์วิญญาณอะไรทั้งสิ้น  แต่เพิ่มก็ดูยังไม่ค่อยสบายใจนัก แม้จะตอบรับคำพระสอน แต่ผมคิดว่าเขาคงตอบรับผมไปอย่างนั้นตามประสาคนว่าง่าย โดยลึก ๆ แล้ว เขาคงยังปักใจเชื่อสิ่งที่ตาตัวเองเห็นและใจตัวเองเชื่อมากกว่า โดยเพิ่งจะมายิ้มออกตอนที่หลวงอาเอาเหรียญพิมพ์รูปพระองค์เล็กใส่มือให้ก่อนกลับนั่นเอง  

    นึกถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกผิดกับเพื่อนขึ้นมาครามครัน เพราะผมมีส่วนทำให้เขากลัวทั้งผีและแมวจับใจ หากย้อนเวลากลับไปและรู้ว่าจะทำให้เพื่อนต้องทุกข์กับเรื่องดังกล่าว ผมคงไม่ชวนเพื่อนไปทำอะไรคะนองสนองความใคร่รู้ของตัวเองอย่างนั้น และได้แต่หวังว่า เมื่อเราต่างโตเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม เขาน่าจะเอาชนะความกลัวที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด

    “ตอนเด็กพี่ก็กลัว แต่พอเข้ากรุงเป็นเด็กวัดนานไป แถมมีหลวงอาคอยย้ำให้ฟังทุกวันว่าจะเป็นหมอทั้งทีขืนเอาแต่กลัวผีก็ไม่มีทางเรียนสำเร็จได้ ก็หายกลัวไปเองละ” ผมว่า แล้วถามถึงเพื่อนจากเฟื่องไปเสียด้วย “ว่าแต่ตัวเพิ่มเถอะ ดีขึ้นบ้างไหม”

    “ดีจังนะ ที่พี่ทิวเลิกกลัวได้” เฟื่องบอก จากนั้นก็ส่ายหน้าเหมือนระอาใจ “แต่เพื่อนรักพี่ทิวสิ เรื่องกลัวผีน่ะ พอจะจาง ๆ ไปบ้าง แต่ไอ้โรคเกลียดแมวนี่ ทำยังไงก็ไม่ดีขึ้นเลย”

    แม้จะยิ้มยามตอบคำ หากผมกลับรู้สึกว่า มีบางอย่างในน้ำเสียงของเธอที่แปลกไป ดูกระวนกระวายคล้ายอยากพูดอยากระบายอะไรบางอย่างกับผมเต็มแก่

    “เรื่องเกลียดแมวของเพิ่มนี่มันเป็นยังไงกัน” ผมถาม

    “ก็มันชักจะหนักข้อขึ้นทุกวันน่ะสิ พี่ทิว” เฟื่องถอนใจเฮือก “เอาเรื่องบาปบุญมาพูดให้เห็นก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูพี่เพิ่มเลย คงจะต้องปล่อยไปตามกรรมเสียแล้วก็ไม่รู้”  

    คำตอบของเธอทำให้ผมหนาววูบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ยามแดดใกล้เที่ยงนั้นจัดเสียจนเหงื่อไหลชุ่มหลัง ใบหน้าที่เคยแจ่มใสและสายตาที่เต็มไปด้วยความรักของเธอยามเอ่ยถึงเพิ่มที่ผมเคยเห็นแต่ก่อน ยามนี้บ่งบอกถึงอารมณ์หลากหลายทั้งขุ่นเคือง เวทนา สงสาร ระคนหวาดหวั่นในตัวคนที่เธอกล่าวถึงไปพร้อมกัน

    “เฟื่องเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น... ไม่มีใครเคยบอกเรื่องนี้ให้พี่รู้เลยจริง ๆ”



    (มีต่อนะคะ)

    แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 02:39:16

    จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 8 มี.ค. 52 02:37:41 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com