(หมายเหตุนำเรื่อง: บุคคล เหตุการณ์บางอย่าง และชื่อเฉพาะบางอันเป็นสิ่งสมมติ)
Angel & Red Hero
ณ พิชา
สนามบินนานาชาติเจงกิสข่านวันนี้ดูแคบไปถนัดตาเมื่อผู้โดยสารดาหน้าเข้ามาเช็คอินที่เคาเตอร์อย่างทุลักทุเล สาเหตุก็เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้หลายเที่ยวบินประสบปัญหาความล่าช้าจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย จริงๆ แล้วเรื่องอย่างนี้น่าจะเป็นการณ์ปกติของประเทศบนที่ราบสูงอันหนาวเย็นอย่างมองโกเลีย แต่ดูพนักงานประจำสนามบินจะควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
มีคนเคยเตือนฉันไว้แล้วว่าเครื่องบินที่มองโกเลียมีโอกาสดีเลย์อยู่สม่ำเสมอ พายุทรายอาจก่อตัวตรงไหนก็ได้ในแผ่นดินที่เป็นทุ่งสเต็ปกว้างใหญ่ไพศาลสลับกับผืนทราย ประเทศที่ผิดกันโดยสิ้นเชิงกับดินแดนใกล้เส้นศูนย์สูตรอันเป็นบ้านเกิดของฉัน จำได้ว่าตอนมาถึงแรกๆ ฉันถึงกับฉงนกับสองข้างทางสู่ตัวเมืองอูลานบาตาร์ที่มีแต่ความแห้งแล้งแทบไม่มีต้นไม้สักต้น อย่างไรก็ดีฉันก็โชคดีที่มาที่นี่ในช่วงที่อากาศไม่ทารุณนัก คนท้องถิ่นบอกฉันเองว่านี่คือฤดูร้อนของเขา แต่สาบานได้เลยว่าอากาศก็คล้ายวันธรรมดาในฤดูหนาวแบบปกติของบ้านเรา
พอผ่านด่าน ตม.ที่ค่อนข้างจะยุ่งยากพิลึก ฉันก็จ้ำอ้าวไปที่ประตูขึ้นเครื่องและได้ขึ้นเครื่องทันทีหลังจากรอคอยมานานหลายชั่วโมง ฉันชินเสียแล้วกับการเดินทางเพียงลำพังแม้ตอนแรกจะมีเพื่อนร่วมงานชาวเกาหลีร่วมทีมกันมา แต่เธอก็มีความจำเป็นต้องเดินทางไปทีอื่นต่อเพราะทางออฟฟิศมอบหมายงานให้ ทิ้งฉันให้สะสางงานจนเสร็จแล้วค่อยหอบข้าวของกลับบ้านสักที
เราสองคนมาทำภารกิจด่วน.. งานผู้ลี้ภัยชาวโสมแดงที่ขอสถานะหลบภัยกับหน่วยงานนานาชาติในอูลานบาตาร์ ออฟฟิศจึงส่งฉันและเพื่อนต่างชาติมาทำงานเฉพาะกิจ ดำเนินการส่งผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่สามเพื่อความปลอดภัย ขั้นตอนทั้งหมดเราดำเนินการกันอย่างเงียบๆ เพราะการเมืองภูมิภาคแห่งนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างยิ่งยวด
พอถึงที่นั่งของฉันซึ่งอยู่ริมหน้าต่าง ฉันก็ต้องเอ่ยขอทางกับเจ้าที่ด้านข้างๆ กันที่ขึ้นมานั่งก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้.. ฉันว่าฉันก็เร็วแล้วนะ
Excuse me, Could I get inside? ฉันเอ่ยสุภาพ ผู้โดยสารคนนี้กางวารสารแนววงการแพทย์ภาษาอังกฤษอยู่ พอได้ยินเสียงฉันเขาก็ลดหนังสือลงทันที
Oh! Of course ผู้ชายคนนั้นตอบสั้นๆ แล้วขยับให้ฉันได้เข้าด้านใน แวบแรกที่เห็น ฉันก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนเจ้าถิ่น เพราะตาบางๆ ผิวก็ขาวจัดจนเกือบจะเห็นเลือดฝาด เค้าหน้าบอกความเป็นคนที่ราบสูงอันหนาวเย็นชัดเจน แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกนัก นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่ดี จุดหมายปลายทางต่างหากที่ฉันอยากให้ถึงเร็วๆ
พอเครื่องออก ฉันก็หยิบเอาพาสปอร์ตตัวเองมากรอกเอกสาร ตม.เพิ่มเติม แต่ก็ดันซุ่มซ่ามทำกระดาษแผ่นเล็กหลุดหล่นออกมาจากเล่ม ร้อนถึงคนนั่งข้างที่ไวทายาด หยิบหมับขึ้นมาคืนให้ฉันเร็วรี่
พาสปอร์ตคุณเป็นรูปอะไรหรือนั่น ผมไม่เคยเห็นเลย เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าปกพาสปอร์ตของฉัน สำเนียงอังกฤษของเขาดีทีเดียว
รูปครุฑ..การูด้า สัญลักษณ์ของรัฐบาลไทยน่ะ ฉันพลิกรูปให้เขาเห็นชัดๆ ของฉันน่ะ E- passport เชียวนะ (ก็ไม่ได้ต่างกับพาสปอร์ตรุ่นเก่าตรงไหน แถมรูปยังขาวดำอีกต่างหาก)
อ้อ.. คุณมาจากไทยแลนด์นี่เอง มามองโกเลียครั้งแรกรึเปล่านี่ เขาเริ่มชวนคุย
ค่ะ ครั้งแรก แล้วก็เจอเครื่องบินดีเลย์เลย ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกันนะ แต่ฉันทำใจไว้ก่อนแล้วล่ะเพราะมีคนบอกว่าประเทศคุณเนี่ยเครื่องบินลงยาก โอกาสดีเลย์มีสูง
เขาเลิกคิ้วนิดหนึ่ง หือ.. คุณรู้ด้วยเหรอว่าผมเป็นคนมองโกเลีย?
ก็..คิดว่านะ มาที่อูลานบาตาร์สองสามวันฉันชักดูออกบ้าง พวกคุณเป็นอะไรที่ไม่ใช่จีน ไม่ใช่เกาหลี และญี่ปุ่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย แถมเมื่อกี้คุณก็คุยกับพนักงานเป็นภาษาถิ่นเร็วปรื๋อเลยนี่
จริงด้วย เขานึกทึ่ง ว้า..เสียดายจัง ผมคิดว่าถ้าคุณถามกลับว่าผมมาจากไหนจะให้ทายสักหน่อยเชียว ถึงว่าสิ เค้าถึงว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ใส่ใจรายละเอียด
ขอบคุณนะที่ชม ฉันรับเอาไว้ก่อน
แล้วนี่คุณมาอูลานบาตาร์คนเดียวหรือ? เขายังคงถามเป็นฝ่ายถามต่อ
อืม.. ก็คนเดียว เมืองหลวงของคุณ..อูลานบาตาร์นี่ดูเหมือนจะใหญ่นะ แต่เอาเข้าจริงๆ ใช้เวลาไม่กี่วันก็เที่ยวรอบตัวเมืองได้แล้ว
เล็กกว่าที่คุณคิดไว้ใช่ไหม มันเป็นเมืองหลวงที่เพิ่งตั้งใหม่มาไม่นานหรอก เอ..ประเทศของคุณเมืองหลวงชื่ออะไรน้า....
Bangkok ฉันตอบฉันไว เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมทางชวนคุยมันก็สนุกดีแต่คนไทยจะเรียกว่า..กรุงเทพ เป็นคำย่อมาจากชื่อเมืองเต็มๆ ที่ยาวเฟื้อย เคยมีคนแปลความหมายของกรุงเทพไว้ว่า City of Angels
ว้าว จริงเหรอ อูลานบาตาร์ก็มีคำแปลนะ มันแปลว่า Red Hero วีรบุรุษสีแดง ตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติวีรบุรุษยุคใหม่ของมองโกเลียชื่อ Sukhbaatar ที่ปลดปล่อยชนชาติเราจากการยึดครองของจีน
ชื่อเมืองหลวงคุณเท่นะ ดูสิ แค่ชื่อเมืองหลวงก็น่าเกรงขามเสียแล้ว เมื่อเทียบกับเมืองนางฟ้าที่ฟังดูหวานแหววของบ้านเรา
อ้อ ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับถือพุทธหลายประเทศนี่ คุณก็เป็นชาวพุทธเหมือนกันใช่ไหม?
ใช่ฉันเป็นพุทธ แต่เอ..คุณก็เป็นพุทธเหมือนกันหรือ? ฉันคาดการณ์ผิด เพราะเดาว่าคนมองโกเลียน่าจะนับถือขงจื๊อตามจีนเสียอีก
ถูกต้อง ผมก็เป็นพุทธนะ แต่รู้สึกว่าจะเป็นคนละนิกายกับคุณ ผมเป็นมหายาน แต่คุณคงนับถือหินยานสินะ ว่าแต่..ทำไมคุณถึงแปลกใจล่ะ
อ้อ ก็ฉันคิดว่าฉันไม่ค่อยเห็นวัดพุทธในอูลานบาตาร์เท่าไหร่น่ะ ต่างจากเมืองไทยที่คุณจะพบเห็นวัดได้ง่ายมากในแต่ละชุมชน
พูดจบฉันก็เห็นเขาพยักหน้าเนือยๆ
อันนี้คงต้องโทษพรรคสังคมนิยมแล้วล่ะ เพราะจริงๆ เรารับพุทธศาสนาจากทางทิเบตมาแต่โบราณตั้งแต่สมัยเจงกิสข่านแล้ว แต่พอมองโกเลียอ่อนแอ อยู่ภายใต้อำนาจจีนบ้าง โซเวียตบ้าง เราก็เลยใช้ระบบคอมมิวนิสต์ คาดหวังการสร้างสังคมแบบยูโทเปีย ช่วงคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจ วัดพุทธโดนทำลายไปมาก จนเหลืออยู่ไม่กี่แห่งในปัจจุบัน
เขาพูดถึงตรงนี้ฉันชักทึ่ง ไม่แน่ใจว่านั่งคุยกับนักวิชาการอยู่รึเปล่า
แต่ประเทศคุณก็เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองมากนะ สมัยเจงกิสข่านที่ทำให้มองโกเลียขึ้นชื่อความเป็นนักรบ แผนที่โลกตอนเจงกิสข่านเป็นจักรพรรดิยิ่งใหญ่มากเลยนี่นา เกือบลงไปถึงประเทศไทยแน่ะ เพียงแต่ตอนนั้นอาณาจักรโบราณของไทยยังไม่มั่นคงเท่าไหร่นั่นเอง ฉันเอ่ยไปก็นึกว่าหวิดไปเหมือนกันนะสยามประเทศเรา
สังคมชนเผ่าร่อนเร่น่ะ คุณคงเข้าใจ การต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมว่าไอ้ความยิ่งใหญ่อย่างนั้นก็เป็นอดีตไปแล้วนะ เพราะปัจจุบันมองโกเลียก็เป็นเพียงดินแดนที่ราบสูงไม่มีความสำคัญประเทศหนึ่ง เขายิ้มแกนๆ อาจเป็นเพราะเราเคยยิ่งใหญ่มามากกว่าที่เราควรเป็น คล้ายๆ กับอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่เสียจนล่มสลายเพราะความใหญ่เกินไปของมันนั่นเอง
ฉันว่ามันคงเป็นเพราะประเทศคุณอยู่ใกล้มหาอำนาจมากเกินไป ฉันสันนิษฐาน ถ้าคุณดูจากแผนที่ ฉันว่าประเทศคุณเป็นอะไรที่โดนบีบมากๆ ด้านบนก็โซเวียต ด้านล่างก็จีน ต่างเป็นมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ตะวันตกและตะวันออก คุณหลีกหนีการแย่งชิงอำนาจของประเทศเหล่านี้ไม่ได้หรอก
นั่นสิ ถ้าคุณอ่านประวัติศาสตร์มองโกเลีย คุณจะรู้เลยนะว่าอำนาจปกครองเปลี่ยนแปลงเสมอ จากที่เจงกิสข่านเกือบจะครองได้ทั้งโลก ต่อมาเราก็เป็นฝ่ายโดนจีนรุกราน สุดท้ายแม้เราจะขับไล่จีนได้ เราก็เหมือนเสียอธิปไตยให้รัสเซียอีก เฮ้อ..พูดแล้วก็เหนื่อยนะคุณกว่าที่เราจะเป็นตัวเราเองได้ทุกวันนี้ แล้วประเทศคุณล่ะเคยเป็นเมืองขึ้นไหม
ฉันคิดว่าแม้แต่คนที่อ่อนประวัติศาสตร์ไทยที่สุด ยังไงก็ตอบคำถามนี้ได้
อืม.. เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใครแม้แต่ในยุคอาณานิคมนะ คำตอบฉันทำเขาตาค้างอย่างไม่น่าเชื่อ ความจริงสมัยโบราณไทยกับพม่าก็รบกันบ่อย เราเคยแพ้อยู่หลายครั้งนะ แต่ก็โชคดีที่มี King มากอบกู้เอกราชได้ในทุกครั้ง ต่อมาเมื่อถึงยุคล่าอาณานิคม ก็โชคดีอีกที่เรามี King ที่ค่อนข้างมองการณ์ไกล ยอมสละดินแดนประเทศราชให้ฝรั่งเศส แต่ความจริงแล้วนะ.. ตอนนั้นทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างตกลงกันว่าจะให้ไทยเป็น buffer state (รัฐกันชน) ที่ทั้งสองฝ่ายจะปล่อยไว้ตรงกลาง เพราะถ้าคุณดูจากแผนที่ คุณจะเห็นว่าไทยอยู่ตรงกลางของ south-east Asia พอดี
แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 16:51:38
แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 52 16:37:34
จากคุณ :
ณ พิชา
- [
8 มี.ค. 52 16:23:26
]