Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เปิดคดีพิศวง ตอนที่ 7

    ผมนั่งเหม่ออยู่ใต้ต้นสาเกตามลำพังในช่วงพักกลางวันโดยที่จานข้าวซึ่งอุตส่าห์หอบหิ้วจากโรงอาหารยังไม่พร่องไปถึงไหน จนกระทั่งเด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองกันเป็นตาเดียวและจับกลุ่มซุบซิบนินทาในระยะเผาขน เนื้อความประมาณว่าผมน่าสงสาร เวลานี้ไม่มีใครเหลือเป็นเพื่อนอีกแล้ว ก็ถูกของคนนินทานะครับ จิรัฐตามล่ายายลูกหมียังไม่กลับ การเวกนอนแหมบอยู่ที่ห้องพยาบาล ก๊วนเพื่อนเก่าขึ้นสวรรค์ไปนาน ส่วนพวกยายฟินกับแทนวนา ลูกหมีก็ยืนยันแล้วว่าไม่รอด

    ทว่าผมไม่ได้นั่งปลงสังเวชในชีวิตตนเองอย่างที่พวกนั้นเข้าใจหรอกครับ แค่กำลังคิดหาเหตุผลว่าทำไมมนุษย์กลุ่มหนึ่งถึงยอมทิ้งความเป็นคนเพื่อสนองความต้องการส่วนตัว แม้จะยังหาคำตอบในเคสของกิ่งไม่ได้ แต่สำหรับยายลูกหมี เจ้าหล่อนยึดติดกับชีวิตในนิยายจนถึงขั้นแยกความฝันกับความจริงไม่ออก

    ถึงตรงนี้ นิยายน้ำเน่าของแม่หมีน้อยแอ๊บแบ๊วก็แทรกเข้ามาในสมอง ใช่ว่าผมไม่เชื่อการเวกนะครับ แต่ยังมีบางสิ่งระหว่างสองคนนั่นที่น่าคลางแคลงอยู่ โดยเฉพาะแววตาของจิรัฐที่มองเธอ กับความเป็นห่วงที่การเวกเพิ่งแสดงออกไปเมื่อครู่ ต่อให้คนนอกมาเห็นก็ต้องคิดว่าพวกเขามีซัมธิงรองกันอยู่บ้างแหละ

    “การเวกเป็นยังไงบ้าง”

    นั่น... ตายยากชะมัด คิดถึงอยู่ก็โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ผมเหลือบมองหน้าคนทักก่อนตอบ

    “ยังอยู่ห้องพยาบาล”

    จิรัฐพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และนั่งลงตรงข้ามผม นิ่งกันไปสักพัก ผมจึงถาม

    “ไม่ไปดูยายนั่นหน่อยหรือ”

    “ไม่ล่ะ ให้พักผ่อนไปน่ะดีแล้ว”

    ผมมองนายปิศาจอย่างต้องการจับผิด ไม่รู้สิครับ พอฉุกใจได้ ทุกกิริยาอาการของหมอนี่ก็ดูมีพิรุธไปเสียหมด เมื่อคิดว่าตัวเองทนเป็นกลางไม่ไหว เลยไพล่ถามถึงเรื่องลูกหมีทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

    “เรื่องยายคลั่งละครนั่นเป็นยังไงบ้าง”

    “เรียบร้อยดี”  

    ผมพยักหน้าก่อนเขี่ยจานข้าวเล่นเพื่อรอให้จิรัฐเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งไปทำมา โดยลืมไปว่าผมหรือใครก็ตาม (อาจยกเว้นการเวก) ไม่มีวันง้างปากหมอนี่ได้หรอกถ้าไม่ถาม เกือบห้านาทีโน่นครับกว่าจะคิดออกถึงความจริงข้อนี้

    “ได้เรื่องของวัวโตไหม... ตอนนี้มันอยู่ฟาร์มไหน กำลังจะถูกเชือดหรือยัง”

    “ฉันไม่ใช่เจ้าของฟาร์มวัวว่ะ เลยไม่รู้”

    ตายล่ะหว่า... ลืมไปว่ากวนประสาทหมอนี่ไม่ได้

    “เฮ้ย ฉันหมายถึงวัว... โวลเดอมอร์ต่างหาก นายก็รู้ ชื่อหมอนั่นจำยากจะตาย”

    จิรัฐเลิกคิ้วแล้วกอดอก อมยิ้มเหมือนเยาะกันนิดๆ ก่อนกล่าว

    “เพิ่งรู้นี่แหละว่าสองคำยากกว่าสามคำ”

    “ยากสิวะ! ออกเสียงยากจะตาย อย่ามัวอมพะนำน่า รีบบอกเรื่องเจ้าวัวบ้ามาได้แล้ว!”

    ไม่รู้ว่าคำตะคอกของผมได้ผลหรือเปล่า เพราะสีหน้าเจ้าปิศาจบอกชัดเลยว่าจะพาออกทะเลกันอีกระลอก แต่ผมยังพอมีโชคอยู่บ้างครับ เมื่อเสียงหวานของแม่นกน้อยการเวกดังแทรกขึ้นมาพอดี

    “นั่นสิ ฉันเองก็อยากรู้”

    การเวกว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้หินระหว่างผมกับจิรัฐ ปกติเจ้าหล่อนผิวขาววิ้งอยู่แล้วนะครับ พอบวกกับปากซีดๆ อย่างนี้ยิ่งดูเซียวไปกันใหญ่ ขณะที่กลัวว่าเธอจะล้มลงไปอีกหรือไม่ จิรัฐก็เข้าเรื่อง

    “เท่าที่สรุปได้ ตอนนี้มีคนแจกจ่ายสัญลักษณ์ปิศาจฟรีอยู่ข้างนอกนั่น ไม่รู้เหมือนกันว่าแจกไปเยอะแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็พอเดาได้ว่าคนทำต้องเป็นผู้หญิงระหว่างวัยนักศึกษาจนถึงวัยทำงาน เรื่องที่สองคือเหลือผู้ใช้พรของโวลดัวที่เรามองไม่เห็นขั้นต่ำสองคนขึ้นไป”

    เท่านั้นคนพูดก็เงียบไป ผมนึกว่าเรื่องหมดเท่านี้จึงพูดประชดทำนองว่าช่วยได้มากเลยกับข้อมูลเพียงนิดเดียว แต่การเวกกลับถามต่อ

    “เรื่องที่สามล่ะ”

    รอยยิ้มคล้ายเยาะเย้ยกันจากจิรัฐถูกส่งมาให้ผม ก่อนเขาจะวางสิ่งหนึ่งลงบนโต๊ะ

    “ฉันได้สิ่งนี้มาจากยายลูกหมี”

    น่าตบกะโหลกปิศาจจอมกวนไหมล่ะครับ มีอย่างที่ไหนแกล้งให้หน้าแตกกันต่อหน้าสุภาพสตรีแสนสวย แต่ถึงแม้จะเจ็บใจ ผมก็ยังชะโงกมองของที่จิรัฐวางลงบนโต๊ะด้วยความอยากรู้ เห็นเหรียญทองแดงขนาดเล็กเท่าข้อนิ้วก้อยบอกชื่อรุ่นและพ.ศ.ที่ผลิตชัดเจนคล้องกับตะขอสร้อยคอทองคำขาวดีไซน์น่ารักแล้ว ผมถึงกับอุทาน

    “เฮ้ย เหรียญพระเหรอ”

    “ใช่ พลังด้านดีจะกลืนไปกับอำนาจชั่ว ทำให้พวกเรามองไม่เห็น”

    งานเข้าแม่นกน้อยชุดใหญ่เลยสิครับ ลำพังสู้สมุนวัวบ้าก็แทบแย่ เจออย่างนี้เข้าไปก็เรียกได้ว่าแววแพ้จ่อแค่หน้าประตูเสียแล้ว แต่ดูเหมือนคนใกล้แพ้จะไม่คิดแบบผม เจ้าหล่อนหยิบสร้อยพระขึ้นมอง ยิ้มหวานก่อนหันไปพูดกับจิรัฐ

    “ขอบใจนะ”

    เห็นสองคนประสานสายตาพลางยิ้มให้กันเหมือนโลกนี้มีแต่สองเรา สมองก็เริ่มไพล่ไปถึงนิยายรักน้ำเน่าของลูกหมีอีกครั้ง ชักนึกอยากถามแล้วสิว่าพวกเขาเป็นแค่อดีตผู้ร่วมงานหรือมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ทว่าสิ่งที่ปากพูดออกไปกลับเป็นอีกเรื่อง

    “เหรียญนี่ใช้ทำอะไรได้หรือ”

    ไม่ใช่ไม่กล้าถามนะครับ แค่ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเขาต่างหาก การเวกมองผมแล้วยิ้ม ใจมาเป็นกองเมื่อความหวานของรอยยิ้มนั้นใกล้เคียงกับที่เธอส่งให้จิรัฐ

    “หลายอย่างเลยล่ะ ต้องยกความดีความชอบให้อดีตคู่หู ฝีมือไม่ตกเลย”

    คนฝีมือไม่ตกยิ้มเจื่อนไปวูบก่อนจะเสมองกลุ่มนักเรียนหญิงที่แอบหัวเราะคิกคักชี้มือชี้ไม้มาทางเขา อาการนี้เห็นได้ชัดเลยครับว่าคนมีซัมธิงน่าจะเป็นเจ้าจิรัฐฝ่ายเดียวมากกว่า... เอ... แล้วทำไมผมต้องเกิดความรู้สึกลันล้าด้วยนะ

    “เอาล่ะ ทีนี้ฉันก็เสมอกับโวลดัว ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย”

    ผมผละจากความรู้สึกพิกลในอกแล้วมองหน้าแม่นกน้อย... อืม สร้อยเส้นนี้ทำให้เธอพาวเวอร์อัพขนาดนั้นเลยเหรอ

    “หมายความว่า... เธอรู้ที่อยู่ของวัวโตแล้ว?”

    “เปล่า” ตอบเท่านั้นก่อนยิ้มอีกรอบ เพิ่งสังเกตครับว่าสร้อยพระหายไปจากมือเธอแล้ว และเท่าที่ดูอยู่ผมยังไม่เห็นว่าเธอเก็บเข้ากระเป๋าเลย กำลังจะถามถึง สัญญาณเข้าเรียนก็ดังขึ้นพอดี

    การเวกไม่ได้ออกไปตามหาหรือพูดถึงสุดยอดวายร้าย ‘คนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ อีกเลยตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งใกล้เลิกเรียนวิชาคาบสุดท้าย อาจารย์สมศรีก็เดินเข้ามาในห้องพลางทำสัญญาณคล้ายขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชาซึ่งพยักหน้าเป็นคำตอบรับ เมื่อประจำอยู่ที่โต๊ะอาจารย์เรียบร้อย ท่านจึงกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

    “ช่วงนี้มีข่าวไม่ดีเกิดขึ้นตลอดกับนักเรียนในโรงเรียนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้นของเรา อย่างตอนเช้าพวกเธอคงทราบข่าวเรื่องครอบครัวของวิกานดาจากการไว้อาลัยหน้าเสาธง ตอนนี้ครูเพิ่งได้รับแจ้งว่าโรจน์รัศมีกับสุรีรัตน์ก็จากพวกเราไปแล้ว”

    เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วห้อง ก่อนที่อาจารย์สมศรีจะกล่าวต่อด้วยเสียงเครือสั่น

    “ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามหาตัวเพื่อนต่างห้องของเรา... อิศเรศ...”

    ผมสะดุ้งโหยง และชี้ตัวเองด้วยอาการเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

    “เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งอยากคุยกับเธอ เรื่องแทนวนาห้องสอง”

    “เอ่อ... ผม...” จากนั้นจึงเหลียวไปทางการเวกโดยอัตโนมัติ แต่เธอยิ้มเหมือนให้กำลังใจและตบลำคอตัวเองด้วยท่าทีคล้ายบอกใบ้อะไรสักอย่าง ผมจึงลองคลำลำคอของตนดู โล่งอกไปเยอะเมื่อสัมผัสถูกกรอบพลาสติกบรรจุก้อนหินที่เธอให้มา

    “ครับ” พูดเท่านั้นก่อนลุกขึ้นและเดินตามอาจารย์สมศรีไปพบเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยอยู่ในห้องประชุม ตอนแรกคิดว่าจะได้พบชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันในชุดสีกากีเข้มกับลูกน้องอีกสองคนยืนประกบหน้าหลัง แต่ผิดคาดครับ คุณตำรวจคนนี้หนุ่มมากจนเหมือนแก่กว่าผมแค่ไม่กี่ปี แถมชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็ค ไม่ได้ผูกเนคไททำให้เขาเหมือนเด็กเพิ่งจบมหาวิทยาลัยกำลังมาสมัครงานอย่างไรอย่างนั้น

    “อิศเรศ จินตนันทกานต์ ใช่ไหม”

    “ครับ”

    “ฉันสิบตำรวจตรีชัชวาลย์ รัตนวารีลักษณ์ มีเรื่องอยากถามเธอนิดหน่อย ไม่ต้องเกร็งนะ”

    จากคุณ : g_maru - [ 10 มี.ค. 52 15:22:04 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com