Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ เล่ม 2 บทนำ เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทนำ


    กลางเดือนสิบเอ็ด อาณาเขตแคว้นเป่ยม่อได้ต้อนรับหิมะตกหนักระลอกแรกของปี

    ขุนทัพเจ๋ออิ่นได้เข้าสู่วังหลวงในเวลานี้ และเสนอขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางทุกตำแหน่งต่อเป่ยม่อหวาง

    “เหตุใดจึงกะทันหันเช่นนี้เล่า?”

    อารมณ์ชมหิมะของเป่ยม่อหวางเหือดหายสิ้น หันกลับมามองเจ๋ออิ่นพร้อมกับเอ่ยถามอย่างตกตะลึง

    “วิกฤตการณ์ชายแดนได้ผ่านพ้น เจ๋ออิ่นควรปฏิบัติตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่หยางเฟิ่งเสียทีพ่ะย่ะค่ะ” เจ๋ออิ่นเอ่ยตอบ

    “เลิกเป็นทหาร เลิกเข้าร่วมในการศึกสงคราม อยู่เคียงข้างบุตรภรรยาทัศนาขุนเขาเขียวธารน้ำใส ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปจนแก่เฒ่า ใช่หรือไม่? สัญญาลูกผู้ชาย” เป่ยม่อหวางหันกลับไป นิ่งเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยกล่าวว่า “จนบัดนี้หยางเฟิ่งยังคงเคืองเรื่องสังหารองค์ชายทั้งสองของตงหลินอยู่สินะ?”

    เจ๋ออิ่นถอนหายใจยาว เอ่ยเสียงหนัก

    “เรื่องใหญ่เช่นกิจแคว้น จะมัวมีเมตตาจิตเช่นอิสตรีกระไรได้ เรื่องนี้มิอาจตำหนิต้าหวางพ่ะย่ะค่ะ”

    “นางยังคงเคืองอยู่จริงๆ ต่อให้ปูนบำเหน็จมากเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเทียมสหายสนิทในห้องหอผู้นั้นได้” เป่ยม่อหวางยิ้มเฝื่อนๆพลางพยักหน้า “กั่วเหรินยังจะกล่าวอะไรได้? ช่างเถิด ท่านขุนทัพเจ๋ออิ่นเชิญไปเถิด”


    <>::<>::<>


    ณ จวนขุนทัพแห่งเป่ยม่อ ท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปรายทั่วผืนฟ้า ป้ายขวางเขียนคำว่า “จวนขุนทัพ” ด้วยฝีพระหัตถ์ของเป่ยม่อหวางซึ่งติดอยู่เหนือประตูใหญ่ได้ถูกปลดลงมา

    เรื่องที่เจ๋ออิ่นจะขอลาออกจากตำแหน่งถูกเล่าลือในคฤหาสน์มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เหล่าผู้ติดตามรับใช้ล้วนแต่เป็นคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามเจ๋ออิ่นมานานปีทั้งสิ้น จึงต่างตั้งใจแน่วแน่กันอยู่แล้วว่าเจ๋ออิ่นไปที่ใด พวกเขาก็จะติดตามไปที่นั่น ด้วยเหตุนี้เมื่อข่าวการลาออกถูกประกาศอย่างเป็นทางการ ทุกคนจึงเงียบสงบไม่มีการแตกตื่น และพากันเก็บข้าวของภายในคฤหาสน์อย่างรู้หน้าที่ ตระเตรียมไปจากเป่ยหยาหลี่

    หิมะตกติดต่อกันเจ็ดวันโดยยังคงไร้ซึ่งวี่แววว่าจะหยุด

    ถนนใหญ่เส้นทางเข้าออกเป่ยหยาหลี่มีแต่สีขาวโพลน มีเพียงรถม้าขบวนหนึ่งฝ่าลมหิมะค่อยๆมุ่งหน้าไปอย่างเชื่องช้า ล้อรถบดผ่านหิมะที่กองสุม ทิ้งรอยร่องเป็นทางยาวเหยียดไว้สองรอย

    ภายในรถม้าโอ่อ่าหรูหราคันที่อยู่ใจกลางของขบวน ไฟในเตาผิงกำลังลุกโชน หยางเฟิ่งก้มหน้าลงมองลูกน้อยในอ้อมแขน เด็กคนนี้ร่าเริงแข็งแรงเหมือนพ่อของแกไม่มีผิด นางต้องกล่อมอยู่เป็นนานกว่าจะหลับลงจนได้

    หญิงสาวยิ้มหวาน วางลูกน้อยลงกลางพรมกำมะหยี่เนื้อนุ่มผืนเล็ก ห่ออย่างทะนุถนอม จากนั้นอ้าปากหาวเบาๆ เอนกายนั่งพิงหน้าต่าง

    “หลับแล้วหรือ?”

    เจ๋ออิ่นชะโงกหน้าเข้ามา สำรวจมองลูกน้อยที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มเคยชินแต่กับการถือดาบประหารฆ่า เมื่อมาเห็นทารกแรกเกิดที่อ่อนแอและเปราะบางเช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะพยายามอุ้มอย่างเบามือมากเพียงใดก็ไม่แคล้วทำให้แกต้องบาดเจ็บอยู่นั่นเอง การเป็นพ่อคนครั้งแรกทำเอาท่านขุนทัพตื่นกลัวยิ่งเสียกว่ายามเข้าสู่สมรภูมิเป็นครั้งแรกเสียอีก

    หยางเฟิ่งเห็นท่าทางของสามีก็อมยิ้ม ขยับไปอยู่ข้างๆชายหนุ่ม จ้องมองลูกน้อยด้วยกันกับเขาพลางกล่าวอย่างรักใคร่

    “ดูจมูกของแกสิ แล้วยังปากนิดๆนั่นอีก เจ๋ออิ่นน้อยแท้ๆเลยเทียว”

    “หน้ารูปหน้าแกเหมือนแม่” เจ๋ออิ่นกล่าวอย่างปลาบปลื้ม “ลูกชายหน้าเหมือนแม่ ต่อไปจะต้องเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน หยางเฟิ่ง โชคดีแท้ๆที่มีเจ้า”

    หยางเฟิ่งมองหน้าสามีอย่างงุนงง “โชคดีแท้ๆที่มีข้าอะไรหรือ?”

    “โชคดีแท้ๆที่มีเจ้า ไม่อย่างนั้นจะมีลูกชายที่น่ารักคนนี้ของข้าได้อย่างไร?”

    “พูดอะไรแบบนี้กัน?” หยางเฟิ่งทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

    ด้วยไม่อยากให้ลูกน้อยตกใจตื่นเพราะเสียงคุย หญิงสาวจึงกระตุกแขนเสื้อสามี แล้วพากันไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวยาวซึ่งปูขนสัตว์ผืนหนาเอาไว้ จากนั้นจึงถามขึ้นเบาๆอย่างปุบปับ

    “ฟูจวิน(๑)คิดว่าหยางเฟิ่งเอาแต่ใจเกินไปหรือไม่?”

    “ข้าจะคิดอย่างนั้นได้อย่างไร?”

    “หยางเฟิ่งบังคับให้ฟูจวินลาออกจากตำแหน่งขุนทัพ จากเป่ยหยาหลี่ไปเร้นกาย หิมะยังไม่หยุดตก ก็ยังจะบีบให้ฟูจวินรีบออกเดินทางโดยไม่สนใจว่าชิ่งเอ๋อร์ยังอายุไม่ครบเดือน พอมาลองนึกดูในตอนนี้ ช่างเอาแต่ใจตัวเองอย่างเหลือเกินจริงๆ”

    เจ๋ออิ่นหัวเราะเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง มือหยาบกร้านลูบไล้ดวงหน้านวล เอ่ยถามว่า

    “ข้าเจ๋ออิ่นเป็นผู้ซึ่งถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งออกเดินทางได้กระนั้นหรือ? การลาออกและไปจากเป่ยหยาหลี่ ล้วนแต่เป็นความปรารถนาของเจ้า ในเมื่อนี่เป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าย่อมต้องยินดีทำให้เจ้าสมปรารถนาแน่นอนอยู่แล้ว” เว้นจังหวะไปเล็กน้อย น้ำเสียงหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิมสองส่วน ถอนหายใจกล่าวว่า “อย่าว่าแต่...ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่สบายใจเพราะเรื่องของพิงถิง การอยู่ในจวนขุนทัพ รับการปูนบำเหน็จอย่างไม่ขาดสายจากต้าหวาง มีแต่จะยิ่งทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเบาะหนาม”

    เมื่อเอ่ยถึงพิงถิง สีหน้าหยางเฟิ่งก็หมองลง พูดเบาๆ

    “เมื่อคืนข้าฝันเห็นพิงถิงอีกแล้ว นางยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่เอง ไม่ยิ้ม และไม่พูดจา ข้ายื่นมือออกไปคิดจะแตะตัวนาง แต่กลับแตะต้องไม่ได้เหมือนกับว่านางเป็นเพียงเงา เจ๋ออิ่น ข้าเองที่เป็นคนขอร้องให้พิงถิงช่วยเป่ยม่อคิดแผนการ”

    “ข้ารู้” เจ๋ออิ่นกอดภรรยาไว้แนบอก นัยน์ตาทอประกายเจ็บปวด “แคว้นเป่ยม่อเราได้รับบุญคุณอันใหญ่หลวงจากนาง แต่กลับปัดความผิดฐานวางแผนร้ายสังหารองค์ชายน้อยทั้งสองแห่งตงหลินไปที่นาง เจ๋ออิ่นไม่มีหน้าจะไปพบนางได้อีกจริงๆ”

    “ตัวนางเองก็ไม่สนใจจะล้างมลทินนี้” หยางเฟิ่งกล่าวอย่างหม่นหมอง “ตั้งแต่ท่านสืบเสาะจนพบสถานที่เร้นกายของฉูเป่ยเจี๋ย ข้าได้ส่งคนนำจดหมายไปส่งให้นางถึงสามฉบับ บอกให้นางอธิบายเรื่องทั้งหมดต่อฉูเป่ยเจี๋ยให้กระจ่าง ว่าผู้ที่วางแผนร้ายสังหารหลานชายทั้งสองของเขาคือเหอเสีย ไม่ใช่นาง แต่นางกลับไม่ยอมตอบจดหมายของข้าเลยสักฉบับ”

    “ตอนนี้นางน่าจะกำลังถูกกักบริเวณอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจดหมายถูกคนของฉูเป่ยเจี๋ยดักเอาไว้โดยส่งไปไม่ถึงมือนาง?”

    หยางเฟิ่งส่ายหน้า “หากฉูเป่ยเจี๋ยได้อ่านจดหมายนี้ไม่ยิ่งดีหรอกหรือ? แต่ตอนนี้ทัพตงหลินไม่ได้มีวี่แววว่าจะเพิ่มกำลังในการไล่ตามล่าเหอเสียเลย แสดงว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าเหอเสียทำเรื่องอะไรลงไป ข้าคิดว่าฉูเป่ยเจี๋ยเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี เขาคงไม่ดักหรือแอบอ่านจดหมายของพิงถิงเป็นแน่ จะกลัวก็แต่ว่าพิงถิงไม่ยอมล้างมลทินให้ตัวเองนี่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ จะทำอย่างไรดี?”

    เจ๋ออิ่นขมวดคิ้วดกหนา กล่าวอย่างไม่เข้าใจ

    “ทั้งที่นางได้ทราบแล้วว่าเหอเสียเปลี่ยนไป ก็ยังจะยอมแบกรับความผิดแทนเขาอีกอย่างนั้นหรือ?”

    หยางเฟิ่งเหมือนจะรู้สึกหนาว จึงเปลี่ยนท่านั่งในอ้อมแขนของสามีให้สามารถฟังเสียงเต้นของหัวใจชายหนุ่มได้ชัดเจนกว่าเดิม สายตาเบนไปยังลูกน้อยที่กำลังหลับสนิทอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ถอนหายใจแผ่วเบา

    “การผิดหวังในตัวใครสักคนเป็นเรื่องหนึ่ง การเคียดแค้นใครสักคนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พิงถิงรู้ดีว่าขอเพียงนางเอ่ยปากบอกความจริงของเรื่องนี้ เหอเสียจะกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของตงหลินไปในทันที เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการสังหารเหอเสียด้วยมือตัวเองเล่า? ความผูกพันสิบห้าปีใช่ว่าจะตัดกันได้ง่ายๆเพียงแค่นี้”

    เสียงหญิงสาวค่อยๆแผ่วเบาลง เหมือนพบเจอเรื่องที่น่าหนักใจยิ่งกว่า หลังจากลังเลอยู่อึดใจใหญ่ จึงค่อยพูดต่อว่า

    “ข้ากลัวก็แต่ว่านางฉลาดมาชั่วชีวิต กลับโง่เขลาไปชั่ววูบ ไม่เพียงแต่ไม่บอกให้ฉูเป่ยเจี๋ยทราบว่านางถูกปรักปรำ ซ้ำยังใช้เรื่องนี้มาลองใจของฉูเป่ยเจี๋ยเสียอีกนี่สิ เฮ้อ...หัวใจบุรุษมีหรือจะมาลองกันง่ายๆได้?”

    เจ๋ออิ่นได้ยินน้ำเสียงภรรยาเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม นางเพิ่งจะคลอดบุตรได้ไม่ถึงห้าสิบวัน ก็มามีเรื่องให้ต้องกลุ้มใจ ชายหนุ่มเกรงว่านางจะล้มป่วยด้วยเหตุนี้ จึงตบไหล่บอบบางเบาๆอย่างห่วงใย เอ่ยปลอบว่า

    “อย่าไปคิดมากอีกเลย แม้ข้าจะลาออกจากตำแหน่งและเร้นกาย แต่ก็ใช่ว่าจะไร้กำลังโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว ขอเพียงพิงถิงต้องการ พวกเราต้องช่วยเหลือนางได้อย่างแน่นอน”

    “หวังว่าสวรรค์จะทรงคุ้มครองพิงถิง” หยางเฟิ่งประนมมือ อธิษฐานเบาๆ


    <>::<>::<>


    ขณะที่ขบวนรถของพวกเจ๋ออิ่นกำลังมุ่งหน้าไปท่ามกลางหิมะโปรยปราย ภายในวังหลวงของแคว้นอวิ๋นฉาง(๒)กำลังเจิดจ้าสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ

    ภายในวังประดับประดาเต็มไปด้วยผืนแพรแดง เหล่านางกำนัลต่างสวมอาภรณ์เต็มพิธีการหลากสีสัน ประคองขนมสารพัดสีเดินเข้าออกกันขวักไขว่ราวสายน้ำไหล เสียงกลองทั้งเคร่งขรึมและคึกคักล่องลอยจากภายในเขตกำแพงวังออกไปยังบ้านเรือนของชาวประชาภายในเขตเมืองหลวง ส่งผลให้ชาวเมืองต่างสนทนาถึงเรื่องนี้กันเป็นที่ครึกครื้น

    “องค์หญิงจะอภิเษกสมรสแล้ว!”

    “หึ ต่อไปอวิ๋นฉางของเราก็จะมีพระชามาดา(๓)แล้วสินะ?”

    “ควรจะหาพระชามาดาสักคนมานานแล้วด้วยซ้ำ ถึงองค์หญิงจะทรงพระปรีชาสามารถยังไง ก็เป็นเพียงอิสตรีอยู่ดี ย่อมไม่อาจบริหารแผ่นดินไปตลอดได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? สู้หาพระชามาดาสักคนมาช่วยบริหารแผ่นดิน ส่วนองค์หญิงก็รอประสูติองค์ชายน้อยอย่างวางใจนั่นแหละดีแล้ว”

    “ฮ่าฮ่าฮ่า! มีเหตุผล!”

    “จะว่าไปแล้ว องค์หญิงของพวกเรานี่สายตาไม่เลวเลยจริงๆ ตั้งแต่ต้าหวางสวรรคต ผู้ที่มาขอแต่งงานนี่แทบจะย่ำกันจนธรณีประตูวังหลวงพังเลยเชียว แต่องค์หญิงไม่ทรงเลือกใครเลยสักคน แล้วมาเลือกเอาคนนี้”

    “ใช่ๆ! สมแล้วที่เป็นองค์หญิงแห่งอวิ๋นฉางของพวกเรา สายตาไม่เลวเลยจริงๆ มีพระชามาดาคนนี้อยู่ พวกเราอวิ๋นฉางก็ไม่ต้องกลัวฉูเป่ยเจี๋ยแห่งตงหลิน เจ๋ออิ่นแห่งเป่ยม่ออะไรนั่นอีกแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า...มา! มาดื่มให้องค์หญิงกับพระชามาดากันสักจอก!”

    ยอดสุราหอมพิสุทธิ์กระเซ็นออกมายามจอกกระทบกันโดยแรงอย่างสมใจ


    <>::<>::<>


    ๑. ฟูจวิน (fujun) คำเรียกสามีของภรรยาชาวจีน

    ๒. แคว้นอวิ๋นฉาง (อวิ๋นฉางกั๋ว : Yunchangguo) แปลว่า แคว้นเมฆานิรันดร์

    ๓. พระชามาดา แปลว่า สามีของเจ้าหญิง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ราชบุตรเขย

    จากคุณ : Linmou - [ 11 มี.ค. 52 06:20:23 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com