บทที่ 1
ป๋ายพิงถิงเป็นสตรีเช่นใด คำถามนี้แม้แต่ฉูเป่ยเจี๋ยเองก็ไม่สามารถที่จะตอบได้
ชายหนุ่มยันร่างท่อนบนขึ้น เอี้ยวศีรษะไปด้านหลัง สายตาเลื่อนลงต่ำ
แสงตะวันยามอรุณรุ่งไม่เจิดจ้าเท่าไรนัก แสงสว่างซึ่งถูกกักอยู่เบื้องหลังม่านเมฆดำทะมึนเล็ดลอดหนีออกมาได้เพียงเบาบางอย่างยากเย็น ตกลงกระทบแพผมดำขลับที่แผ่สยายของนาง
บนดวงหน้าที่หลับสนิทอย่างไร้การป้องกันใดๆนั้น เขามองเห็นแล้ว...มองเห็นรอยยิ้มอ่อนหวานบนริมฝีปากของนาง
ฝันดีอยู่หรือ?
ฉูเป่ยเจี๋ยก้มหน้าลงไปใกล้อย่างอดใจไม่อยู่
เขาทำตัวไม่ดีกับนาง...เขารู้ตัวเองดี
แปดเดือนในเรือนตะวันตกที่อยู่ร่วมกัน ทุกค่ำคืนเขาล้วนบังคับหักหาญ ยามคลื่นอารมณ์โหมกระหน่ำ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะทำดีกับนาง
เหตุใดนางถึงยังฝันดีได้? เขาไม่เข้าใจ...
ชายหนุ่มก้มหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด หมายจะมองรอยยิ้มบนริมฝีปากของนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลมหายใจที่ระบายออกจากจมูกกระทบปลายผมอ่อนนุ่มของหญิงสาวจนสั่นไหวเล็กน้อย
แพขนตาดกหนาขยับเบาๆ ฉูเป่ยเจี๋ยผงะถอยห่างโดยพลัน ก้าวลงจากเตียง
พิงถิงลืมตา มองเห็นเพียงเงาหลังของชายหนุ่มที่หันกายไปแล้ว หญิงสาวยันร่างท่อนบนขึ้น เอ่ยเบาๆ
ฝ่าบาทตื่นแล้วหรือเพคะ?
เงาหลัง...มีแค่เงาหลังตลอดกาล
ความรักใคร่ที่มีให้ในคืนวานคือหมอกควันที่ลอยผ่านตา หลังตื่นจากความฝัน แม้ร่องรอยยังไม่เหลือ
หญิงสาวมองชายหนุ่มจากไปโดยไม่เอ่ยตอบใดๆแม้แต่คำเดียวเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา เงาหลังที่เหยียดตรง ใจแข็งดั่งศิลาไม่มีเปลี่ยนผัน
แปดเดือน...ฤดูกาลที่หิมะตกได้เวียนมาถึง ส่วนวสันต์...ยังคงอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
<>::<>::<>
กูเหนี่ยงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? หงเฉียง สาวใช้ส่วนตัวประคองอ่างทองเหลืองบรรจุน้ำก้าวเข้ามาในห้อง แล้ววางอ่างลงบนโต๊ะ ถูมือพูดว่า วันนี้หนาวจริงๆเจ้าค่ะ ฟ้ายังไม่ทันจะสาง หิมะก็ตกลงมาเสียแล้ว ถึงจะไม่ได้ตกหนัก แต่ก็หนาวไม่ใช่เล่นอยู่ดี กูเหนี่ยงรีบล้างหน้าตอนที่น้ำยังร้อนอยู่เถิดเจ้าค่ะ
นางก้าวเข้ามาพยุงพิงถิงลุกจากเตียง แล้วเหลือบเห็นหัวคิ้วหญิงสาวขมวดมุ่นอย่างฉับพลัน จึงรีบถามว่า
เป็นอะไรไปเจ้าคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือ?
พิงถิงนั่งที่ขอบเตียง หลับตาลงนิ่งพักชั่วครู่ ค่อยลืมตาขึ้น ส่ายหน้าช้าๆ
ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ลุกเร็วไปหน่อย สงสัยว่าคงจะไปกระตุกเอาเส้นอะไรเข้าสักเส้นน่ะ
น้ำอุ่นมาก
ไอน้ำที่รำร่ายอยู่แผ่วจางปกคลุมอ่างทองเหลืองซึ่งขัดถูจนมันวาว นิ้วเรียวยาวทั้งสิบค่อยๆจุ่มลงไปแช่ในน้ำ รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับอากาศ
หงเฉียงจ้องมองนิ้วทั้งสิบของหญิงสาวเขม็ง ถอนหายใจเบาๆ
ช่างเป็นมือที่งามอะไรอย่างนี้
งามหรือ? หญิงสาวถาม
งามเจ้าค่ะ
หญิงสาวยกมือขึ้นมาจากในน้ำ หงเฉียงใช้ผืนผ้าฝ้ายสีขาวห่อมือนางไว้ แล้วค่อยๆเช็ดจนแห้งสนิท
พิงถิงคลี่ยิ้ม งามแล้วอย่างไรเล่า? มือสองข้างนี้...จะไม่ดีดพิณอีกแล้ว
เพราะอะไรหรือเจ้าคะ? หงเฉียงถามอย่างสงสัย
ดูเหมือนพิงถิงจะหมดอารมณ์สนทนาเสียแล้ว จึงเบือนหน้าไป มองต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวแห้งอยู่ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บอย่างเนิบเนือย
หงเฉียงปรนนิบัติพิงถิงมาได้หนึ่งเดือนเศษ ทำให้พอจะทราบนิสัยของหญิงสาวอยู่มากพอควร และรู้ว่าตัวเองเริ่มจะละลาบละล้วงจนเกินไป จึงไม่กล้าเอ่ยถามอะไรอีก จัดแจงเก็บข้าวของ ยกอ่างทองเหลืองขึ้น ถอยออกไปจากเรือนตะวันตกอย่างรู้สถานการณ์
เท้าก้าวออกจากธรณีประตู ชั่วพริบตาที่หมุนกาย เสียงอันแผ่วจางก็ดังมาจากด้านหลัง
เสียงแผ่วจางดั่งเปลวควัน...ซึ่งถูกสายลมพัดกระจายได้ง่ายดาย...จนเหลือเพียงปลายเศษเสี้ยวของกลิ่นหอมวนเวียนอยู่ริมโสต
ข้า......ไม่มีพิณ
<>::<>::<>
พิณมาถึงเร็วอย่างยิ่ง
ยังไม่ทันถึงยามเที่ยง พิณโบราณตัวหนึ่งก็มาวางอยู่บนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
แม้มิใช่พิณเฟิ่งถงหางไหม้(๑) แต่การที่สามารถหามาได้ภายในเวลาเพียงครึ่งวันทั้งที่อยู่ท่ามกลางสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้ ก็ถือว่ายากยิ่งนักแล้ว
พิงถิงยื่นมือออกไปลูบพิณ นางลูบไล้มันอย่างทะนุถนอมอ่อนโยน ราวกับว่านั่นไม่ใช่พิณ หากแต่เป็นลูกแมวน้อยที่กำลังตื่นตระหนกและต้องการการปลอบประโลมจากนางเป็นอย่างยิ่งกระนั้น
หงเฉียงเข้ามาอีกแล้ว
ตอนนี้กูเหนี่ยงคงจะดีดพิณได้แล้วกระมังเจ้าคะ?
พิงถิงส่ายหน้า
หงเฉียงถามว่า ก็มีพิณแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?
รอยยิ้มเหมือนจะผุดขึ้นรำไรบนริมฝีปากแดงระเรื่อ หญิงสาวยังคงส่ายหน้าอย่างใจลอย
มีพิณแล้วอย่างไรเล่า? ไม่มีคนฟัง ดีดไปไยมิใช่เสียแรงเปล่า?
ข้าจะฟังเจ้าค่ะ
เจ้าน่ะหรือ? หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย หันหน้ามาถามยิ้มๆ เจ้าฟังเข้าใจหรือ?
สีหน้าท้อแท้ของหงเฉียงยังไม่ทันผุดขึ้น พิงถิงก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
เอาเถิด ทำเป็นว่าเจ้าฟังเข้าใจไปก่อนก็ได้
ล้างมือ จุดกำยาน
ควันสีขาวอ้อยอิ่งแผ่วจาง ร่ายระบำอยู่กลางอากาศ แฝงความอ่อนโยนอย่างยากจะเอ่ย ค่อยๆแทรกซึมสู่ปลายจมูก
นั่งหลังตรง ตั้งสมาธิ
งอนิ้วดีดสาย......
เสียงครางแผ่วเบา...ดังจากสายพิณที่สั่นสะท้านไปกระตุ้นปีกอันมองไม่เห็นให้ขยับรำร่าย เหยียดหยัดกายอรชรอ้อนแอ้น แผ่ขยายออก ณ กลางอากาศ
ด้วยกลียุค จึ่งเกิดวีรชน ด้วยวีรชน จึ่งมียอดพธู สุดจะยั้งซึ่งยุคเข็ญ สุดจะยั้งซึ่งยุคเข็ญ......
นางตั้งใจขับร้อง พรมดีดสายพิณ
อย่าได้ถกถึงวีรชน อย่าได้ถกถึงยอดพธู
นางและเขา เป็นแค่ผู้งมงายพบกับปมงมงายเท่านั้น นางทราบดี
ด้วยใฝ่รบ จึ่งได้เรืองนาม ด้วยเรืองนาม จึ่งมิหน่ายเล่ห์ อันการศึกมิหน่ายเล่ห์ อันการศึกมิหน่ายเล่ห์......
หญิงสาวขับร้อง มือของนางทั้งเรียวบางและขาวผุดผ่อง แต่กลับมั่นคงดุจไท่ซาน(๒)
นิ้วดีดสาย ประหนึ่งย้อนกลับไปยังสะพานเชือกข้ามหน้าผาอันเปี่ยมอันตรายที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก นางเอนอิงอยู่ในอ้อมอกของฉูเป่ยเจี๋ย กล่าวว่าจะไม่ทรยศกันชั่วนิรันดร์ ทั้งที่ใต้เท้าคือหุบเหวลึกหมื่นจ้าง
อันการศึกมิหน่ายเล่ห์ หัวใจเล่า?
หยางเฟิ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปนับพันหลี่ ได้ส่งจดหมายมาหาสามฉบับ ทุกอักษรล้วนเคล้าน้ำตา ยิ่งทียิ่งร้อนรน
พิงถิงฝืนแข็งใจ ฉีกจดหมายซึ่งเดินทางมาไกลนับพันหลี่แต่ละฉบับจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย โปรยปรายเป็นผีเสื้อกระดาษทั่วผืนฟ้า...ปลิวกระจายพลัดพรายไป
อธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมด
จะให้อธิบายอย่างไร? จะให้อธิบายเช่นไร?
ก็นางไม่อาจสังหารสายเลือดของวังจิ้งอานหวางได้
นางยิ่งไม่ยอมเชื่อว่า ความรักที่ฉูเป่ยเจี๋ยมีให้นาง...ไม่อาจต้านทานแผนลวงที่สมบูรณ์แบบดั่งอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บได้
หากว่ารักจริง มีหรือจะไม่อาจต้านทานคำลวงได้?
หากว่ารักอย่างลึกซึ้ง ก็ควรจะเชื่อถึงที่สุด รักถึงที่สุด แม้เหตุการณ์ร้อยเปลี่ยนพันแปร ก็ไม่เปลี่ยนใจ
ด้วยนางแอ่นจร จึ่งพามากรัก ด้วยมากรัก จึ่งคะนึงหา แรกพบสบตาเสน่หาครัน แรกพบสบตาเสน่หาครัน......
อธิบายแผ่วเบา บอกเล่าว่าตัวนางถูกปรักปรำ คือวิธีการอันชาญฉลาดที่สุด
ใช้ใจลองใจ เพ้อฝันคาดหวังว่าความรักจะช่วยสลายความแค้นได้ คือวิธีที่โง่เขลาที่สุด
หญิงสาวดีดพิณ หัวเราะเบาๆ
อันสตรีแสวงรัก ล้วนยอมทุ่มจนสุดตัว
นางชาญฉลาดมาชั่วชีวิตแล้ว ขอโง่เขลาสักครั้งจะเป็นไรไป
ปลายเสียงสุดท้ายกรีดผ่านกลางอากาศ วนเวียนอยู่บนคานค่อยๆสั่นพลิ้วอ่อนจางลงช้าๆดั่งไม่อาจตัดใจ
_____________________________________
๑. พิณเฟิ่งถงหางไหม้ ผู้เขียนนำต้นแบบมาจาก พิณหางไหม้ (เจียวเหว่ยฉิน : jiaoweiqin) หนึ่งในสี่สุดยอดพิณในตำนานของจีนซึ่งประกอบด้วย พิณเฮ่าจง (haozhong) ของฉีหวนกง, พิณร่าวเฉียง (raoqiang) ของฉู่จวงกง, พิณลวี่ฉี่ (lüqi) ของซือหม่าเซียงหรู และพิณหางไหม้ ของ ช่ายยง พิณหางไหม้มีที่มาดังนี้ ช่ายยง เป็นบุคคลในยุคปลายราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. 338 - 763) เป็นทั้งนักประวัติศาสตร์และนักดนตรีที่มีความสามารถ วันหนึ่ง ช่ายยงบังเอิญไปเห็นคนผู้หนึ่งกำลังต้มอาหารอยู่ จากเสียงของไฟที่เผาไหม้ไม้ฟืน ทำให้ช่ายยงฟังออกว่าไม้ฟืนนั้นเป็นไม้ถงชั้นดีมาก จึงขอมาทำเป็นพิณ ปรากฏว่าได้พิณที่ให้เสียงเป็นเลิศจริงๆ เนื่องจากปลายของไม้ยังคงมีรอยไหม้อยู่ ผู้คนในยุคนั้นจึงเรียกพิณนี้ว่า พิณหางไหม้
๒. ภูเขาไท่ซาน คือภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศจีน
จากคุณ :
Linmou
- [
15 มี.ค. 52 10:28:26
]