Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ เล่ม 2 บทที่ 1 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 2


    ม่อหรานนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน สายตาแข็งกร้าวก่อนจากไปของผู้เป็นนายทำเอาประสาทของเขาเครียดเขม็ง คอยเฝ้าพิงถิงที่อยู่ในห้องแจชนิดไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย

    ผู้ใดจะไปทราบได้ว่าปากค่อนข้างซีดของนางเปล่งคำพูดใดออกมา ถึงทำให้หวางเยี่ยซึ่งปกติไม่เคยแสดงอาการใดๆออกทางสีหน้าสูญเสียการควบคุมตัวเช่นนี้ได้

    ลมหิมะโหมพัดแรงตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่อึดใจ

    ม่อหรานยืนอยู่ด้านข้าง มองหงเฉียงอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงแทบจะเป็นร้องไห้

    “กูเหนี่ยงคนดี๊คนดี อย่าทำให้หนูปี้ลำบากใจสิเจ้าคะ หวางเยี่ยกริ้วแล้วนะเจ้าคะ”

    พิงถิงนอนเอนกายอยู่บนตั่ง ดวงตาดำขลับดั่งไข่มุกดำสงบเยือกเย็น กวาดมองมายังหงเฉียง แล้วเอ่ยเป็นเชิงเย้า

    “ที่แท้ก็เพื่อหวางเยี่ยนี่เอง”

    หงเฉียงตาแดงก่ำ สั่นศีรษะอย่างร้อนรน

    “ไม่ใช่เจ้าค่ะไม่ใช่...ไม่ใช่เพื่อหวางเยี่ย เพื่อกูเหนี่ยงเองต่างหากเจ้าค่ะ กูเหนี่ยงไม่ควรทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้เลยนะเจ้าคะ จะดีจะชั่วก็ทานสักนิดเถิด จะร้ายแรงอะไรนักหนากันเชียว อากาศหนาวออกอย่างนี้ เกิดหิวจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรกันเจ้าคะ?”

    พิงถิงมองนางอย่างสำรวจตรวจตราอยู่ชั่วครู่ แล้วอดใจอ่อนไม่ได้ ผ่อนคลายสีหน้าลงกล่าวว่า

    “เข้ามานั่งนี่สิ” ดึงอีกฝ่ายมานั่งที่ข้างกาย ช่วยลูบปอยผมที่ยุ่งเหยิงเพราะการส่ายหน้าโดยแรงให้เรียบ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “เด็กโง่เอ๋ย อย่าได้ร้อนใจไปเลย”

    “สวรรค์ จะให้ข้าไม่ร้อนใจได้ยังไงกันเจ้าคะ?” เมื่อถูกพิงถิงเอ่ยปลอบเช่นนี้ น้ำตาของหงเฉียงกลับร่วงพรูลงมาเป็นทาง นางเช็ดน้ำตาพลางพูดเสียงเครือ “หวางเยี่ยบอกว่าถ้ากูเหนี่ยงเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว ท่านจะใช้กฎทหารลงโทษหนูปี้ แล้วหวางเยี่ยเป็นคนพูดจริงทำจริงทุกครั้งด้วยนี่สิเจ้าคะ” เมื่อนึกถึงสายตาเย็นชายามกราดเกรี้ยวของฉูเป่ยเจี๋ย นางก็ต้องหนาวเยือกไปทั้งตัว

    “กฎทหารไร้ปรานี ข้าเองก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” พิงถิงยังคงมีทีท่าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนอยู่ดังเดิม ค่อยๆเอนกายลงพิงหมอนอิง

    หงเฉียงเห็นกิริยาท่าทางของนางไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย ก็ร้อนรนจนต้องลุกพรวดขึ้น ขยุ้มแขนเสื้อนางเขย่าพลางร้องว่า

    “ทำไมกูเหนี่ยงจะช่วยข้าไม่ได้เล่าเจ้าคะ แค่กูเหนี่ยงทานอาหารสักหน่อย ก็ช่วยข้าได้ตั้งมากมายแล้วเจ้าค่ะ”

    พิงถิงทำเหมือนไม่ได้ยิน และไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร จึงทำท่าเหมือนเหม่อลอยอยู่ชั่วอึดใจ สายตาเบนมาหยุดอยู่ที่หงเฉียงเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงราวกับคิดจะนอน

    หงเฉียงยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขอร้องต่อว่า

    “กูเหนี่ยงใจดี๊ใจดี กูเหนี่ยงไม่ห่วงว่าหนูปี้จะต้องตายหรือเจ้าคะ?”

    “ความเป็นและความตายของเจ้าอยู่ในกำมือของหวางเยี่ย” พิงถิงเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ความเป็นและความตายของข้า ก็อยู่ในกำมือของหวางเยี่ยเช่นกัน อย่ามาขอร้องข้าเลย จงไปขอร้องหวางเยี่ยเถิด” จบคำก็พลิกกายหันหน้าเข้าหาผนัง ไม่พูดอะไรอีก

    ม่อหรานยืนมองอยู่เฉยๆมาทั้งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มก็เร่งรีบไปที่ห้องนอนของผู้เป็นนาย แต่ผู้รับใช้ข้างกายฉูเป่ยเจี๋ยกลับบอกว่า

    “ฝ่าบาทออกไปซ้อมกระบี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้วขอรับ”

    ม่อหรานจึงเร่งรุดตรงไปยังเขตเรือนหลังเล็กที่ฉูเป่ยเจี๋ยใช้ฝึกซ้อมการต่อสู้ เพิ่งจะไปถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงเช้งๆดังสนั่นแทรกผ่านเสียงกรีดก้องของลมหิมะ เสียงอาวุธปะทะกันดังต่อเนื่องไม่ได้ขาดระยะ เสียงแค่นหนักๆหลายเสียงดังมากระทบโสตติดต่อกัน ม่อหรานตกตะลึง รีบเร่งฝีเท้าก้าวผ่านประตูเรือนเข้าไป

    ฉูเป่ยเจี๋ยกำลังสู้อยู่กับเหล่าลูกน้อง กระบี่ที่ยังไม่ได้เบิกคมในมือสะบัดฟาดฟัน ห้าวหาญมิอาจต้านติด แทบทุกครั้งที่ปะทะกัน เป็นต้องมีลูกน้องคนหนึ่งตัวกระเด็นหวือออกไปจากวง แต่ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายชายหนุ่ม มีคนใดบ้างมิใช่นักรบผู้เหี้ยมหาญผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน เมื่อถูกฉูเป่ยเจี๋ยซัดกระเด็นออกนอกวงไป ก็คว้าอาวุธโถมกลับเข้ามาใหม่ทันทีโดยไม่แม้แต่จะพักหอบหายใจ หากผู้ที่ยืนดูไม่ใช่ม่อหราน แต่เปลี่ยนเป็นคนอื่นซึ่งไม่รู้จักคนเหล่านี้ดีละก็ จะต้องคิดว่าทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้หมายประหัตประหารให้ตายกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่

    ม่อหรานเพิ่งจะชะงักเท้าลงยืนที่ริมประตู ก็ตาลายวูบเมื่อเงาคนเงาหนึ่งได้พุ่งโถมเข้ามาตรงหน้าอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ว่องไวอย่างมาก ยกมือขึ้นคว้าหมับ พยุงร่างของหลัวซ่างที่เกือบได้พุ่งตรงเข้าชนใส่กำแพงรั้วของเรือนไปอย่างหวุดหวิดเอาไว้ได้ ถามเบาๆ

    “เป็นยังไงบ้าง?”

    “เจ้ามาจนได้นะ” หลัวซ่างเป็นองครักษ์ติดตามข้างกายของฉูเป่ยเจี๋ยเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นม่อหรานเข้า ก็ทำท่าถอนหายใจอย่างโล่งอก กระซิบตอบเบาๆ “รีบไปเกลี้ยกล่อมหวางเยี่ยหน่อยเร็วเข้า วันนี้หวางเยี่ยเหมือนเป็นบ้าไปแล้วงั้นแหละ ประลองกับพวกเรากลางหิมะมาตั้งแต่เช้าตรู่จนเกือบครึ่งชั่วยามเข้าไปแล้ว นี่ถ้ายังไม่ยอมหยุดอีกละก็ พวกเราพี่น้องทั้งกลุ่มมีหวังได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปแปดวันสิบวันเป็นแน่”

    แม้ปากจะพูดอย่างนี้ แต่ก็ก้มเอวลงเก็บกระบี่ที่กระเด็นตกลงบนพื้น คำรามออกมาดังลั่น โถมกลับเข้าวงไปอีกครั้ง แล้วเจอะกับการหันมาโจมตีตอบโต้ของฉูเป่ยเจี๋ยเข้าพอดี จึงรีบยกกระบี่ขึ้นกันอย่างสุดแรงด้วยสองมือ

    เช้ง!

    เสียงโลหะกระทบกันดังกังวาน

    สองแขนหลัวซ่างแทบจะชาไปทั้งแขน กระบี่ไม่เบิกคมร่วงตกลงกระทบพื้นดังเคล้ง สีหน้าฉูเป่ยเจี๋ยไร้ความรู้สึก แค่นเสียงออกมาสี่พยางค์

    “ไม่ขยันพอ”

    เท้าซ้ายยื่นออกโดยไร้สุ้มเสียง เตะใส่เอวของหลัวซ่างเข้าให้เต็มที่ หลัวซ่างถูกเตะกลิ้งกระเด็นออกนอกวงไปอีกครั้ง

    “หวางเยี่ย สู่เซี่ยมีเรื่องจะรายงานพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหรานยืนร้องบอกเสียงหนักอยู่นอกลานฝึกซ้อม

    ฉูเป่ยเจี๋ยเหมือนจะกำลังรอม่อหรานอยู่พอดี เมื่อได้ยินเข้าก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว รั้งอาวุธกลับ กวาดตามองไปรอบๆหนึ่งรอบ แล้วโบกมือ

    “วันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้าไปได้แล้ว”

    เหล่าองครักษ์คนสนิทที่ถูกสั่งสอนเสียจนแทบจะยืดเอวไม่ขึ้นเหมือนได้รับพระราชทานอภัยโทษกระนั้น พากันลนลานขานรับ แล้วพยุงผองเพื่อนที่ล้มลงกับพื้นขึ้นมา ก้าวถอยออกไปจากเขตเรือน ก่อนจะออกไปยังไม่ลืมที่จะหันมาส่งสายตาขอบคุณอย่างสุดซึ้งให้ม่อหราน

    “มีเรื่องใดจะรายงานรึ?” ฉูเป่ยเจี๋ยวางกระบี่ รับผ้าขนหนูร้อนที่สาวใช้ส่งมาให้ สายลมหนาวยะเยือกหิมะตกหนัก ชายหนุ่มสวมแค่ชุดบางๆชั้นเดียว แต่กลับฝึกต่อสู้จนเหงื่อออกท่วมกาย

    “หงเฉียงเกลี้ยกล่อมอยู่ทั้งคืน พิงถิงกูเหนี่ยงก็ยังไม่ยอมแตะแม้แต่น้ำสักหยดพ่ะย่ะค่ะ สู่เซี่ยคิดว่า......”

    โครม!

    ฉูเป่ยเจี๋ยฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะดังสนั่น หันขวับมาทันควัน เอ่ยเสียงเย็น

    “กะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว เจ้ายังเฝ้าไม่ได้อีกรึ ถึงต้องแล่นมารายงานตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้? ออกไป เปิ่นหวางไม่อยากได้ยินชื่อนี้อีก!”

    ต่อให้เผชิญหน้ากองทัพมหึมาหนึ่งล้านนาย ฉูเป่ยเจี๋ยยังไม่เคยเสียกิริยาถึงเพียงนี้ ม่อหรานหุบปากฉับในบัดดล มีหรือยังจะกล้าพูดอะไรอีก ได้แต่เอ่ยรับเสียงเคร่ง

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ถอยออกมาจากประตูเรือนแล้ว ม่อหรานลังเลอยู่ชั่วครู่ เงยหน้าขึ้นมองเงาหลังของผู้เป็นนาย ครั้นเห็นแผ่นหลังนั้นแผ่ความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นปราศจากวี่แววว่าจะเปลี่ยนใจ ก็ลอบถอนหายใจหลายเฮือก ก่อนจะหันกายเดินจากไป


    <>::<>::<>


    สถานการณ์ยังคงเลวร้ายลงเรื่อยๆ

    นับตั้งแต่คืนแรกเป็นต้นมา ไม่ว่าหงเฉียงจะร้องไห้อ้อนวอนอย่างไร พิงถิงก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว

    ไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น แม้กระทั่งเครื่องดื่มทั้งหลายเช่นน้ำชา ก็ส่งเข้าห้องไปในสภาพร้อนควันกรุ่น แล้วถูกยกกลับออกมาในสภาพไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย

    หงเฉียงเชิญม่อหรานไปที่มุมหนึ่งนอกตัวเรือน กระซิบว่า

    “จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? นี่ก็ตั้งสองวันเข้าไปแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ร่างหลอมจากเหล็กก็ทนไม่ไหวหรอกนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพฉู่ช่วยคิดหาทางให้หน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ?”

    ใบหน้าคมคายของม่อหรานคลี่ยิ้มจืดเจื่อน

    “จะไปทำอะไรได้เล่า? จะให้ข้าใช้กฎของกองทัพจัดการกับนางหรืออย่างไร? ท่าทางแบบนี้ของนาง ขืนไปบังคับกรอกข้าวกรอกน้ำ มีแต่จะทำให้เรื่องราวมันเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมน่ะสิ”

    ทั้งสองต่างยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอยู่พักหนึ่ง เมื่อปรึกษาหาวิธีแก้ปัญหากันไม่ได้ จึงได้แต่กลับเข้าไปในห้องกันอีกครั้ง

    พิงถิงอยู่ในห้อง มือถือหนังสือเล่มหนึ่งกำลังอ่านอย่างตั้งใจ ท่าทางเรียบเรื่อยผ่อนคลาย นางไม่ให้หงเฉียงช่วยหวีผมให้ แต่เกล้าผมเองเป็นมวยหลวมๆอยู่เฉียงๆ ผมที่เกล้าเป็นมวยใช้ปิ่นอันหนึ่งเสียบยึดเอาไว้ ปอยผมด้านข้าง 2-3 ปอยร่วงตกลงระบ่า ขับเน้นดวงหน้าที่ซีดขาวไร้สีเลือดเนื่องจากไม่ยอมทานอาหาร กอปรเป็นภาพที่ดูสูงสง่างดงามอย่างบอกไม่ถูก

    ครั้นเห็นม่อหรานกับหงเฉียงก้าวเข้ามาในห้อง หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆให้ทั้งสองถือเป็นการทักทาย จากนั้นก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป

    เดิมทีม่อหรานคิดว่านางตั้งใจที่จะขู่ และหากนางเล่นลูกไม้ปกติทั่วไปอย่าง 1.ร้องไห้ 2.อาละวาด 3.ผูกคอตาย ละก็ ยังพอจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรน่ากังวลนัก แต่นี่อดอาหารมาจนถึงวันนี้ พิงถิงยิ่งผ่อนคลาย ชายหนุ่มก็ยิ่งตื่นตระหนก หลังจากคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ จึงตอบหงเฉียงไปว่า

    “เจ้าเฝ้าเอาไว้ให้ดีๆล่ะ ข้าไปประเดี๋ยวแล้วจะกลับมา”

    หันกายก้าวออกไป กำชับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูให้เฝ้าดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นกัดฟันกรอด มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของฉูเป่ยเจี๋ย

    เดินไปได้ครึ่งทาง ก็เจอะเข้ากับคนผู้หนึ่งเดินสวนทางมา ผู้สวนทางมายิ้มพลางพูดว่า

    “ท่านแม่ทัพฉู่เดินอย่างเร่งร้อนนัก จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?”

    ม่อหรานเงยหน้าขึ้นดู ใบหน้าซึ่งไม่ได้เห็นมานานพลันปรากฏแก่สายตา จึงร้องโพล่งอย่างตกตะลึง

    “จุ้ยจวี๋? เจ้ามาได้ยังไงกันนี่? หิมะตกหนักออกปานนี้ ท่านหมอเทวดาฮั่วยอมปล่อยให้เจ้าฝ่าลมหิมะมาด้วยหรือ?”

    “ออกเดินทางตอนเช้าตรู่ มาถึงเที่ยงวันรุ่งขึ้น ไม่กล้าหยุดแวะแม้แต่นิดเดียว” จุ้ยจวี๋สวมชุดของสาวใช้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “อากาศบ้าบอนี่ หิมะเพิ่งจะมาหยุดตกชั่วคราวเอาตอนนี้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะในจดหมายที่หวางเยี่ยเขียนขึ้นด้วยตัวเองย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามชักช้าถ่วงเวลาเป็นอันขาดละก็ ซือฝุ(๑)ไม่มีทางยอมปล่อยให้ข้าออกมาเด็ดขาด เฮ้อ...ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกไม่ยอมหยุด ขาของซือฝุเริ่มจะปวดอีกแล้ว”

    “แล้วนี่เจ้า......”

    “เรื่องอื่นเอาไว้พูดกันทีหลัง ได้ยินว่าเจ้ารับผิดชอบเป็นคนเฝ้าป๋ายกูเหนี่ยงผู้โด่งดังคับฟ้าคนนั้นอยู่สินะ รีบบอกข้าเร็วเข้าว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไร”


    __________________________________

    ๑. ซือฝุ (shifu) เป็นคำเรียกอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้เฉพาะทางให้ เช่น วิชาช่าง วิชาการต่อสู้ เป็นต้น ซึ่งอาจารย์แบบนี้จะมีความผูกพันกว่าอาจารย์สอนหนังสือในห้องเรียนทั่วๆ ไปมาก และตามธรรมเนียมโบราณของจีน “ซือฝุ” มีศักดิ์ศรีเสมอด้วยบิดามารดา

    จากคุณ : Linmou - [ 22 มี.ค. 52 09:18:21 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com