บทที่ 3
เมื่อยอดขุนพลไร้ผู้ต้านในสมรภูมิ เจิ้นเป่ยหวางแห่งตงหลินผู้ยิ่งใหญ่ ปะทะกับป๋ายพิงถิงผู้ไม่หวั่นต่อความตาย ก็มีอันต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า...
ทั้งเจ็บใจ...และไม่เต็มใจ
เพียงแต่เมื่อได้มองดวงตาของนาง ความเจ็บใจและไม่เต็มใจทั้งมวลก็มีอันสูญสลายกลายเป็นหมอกควันไปจนสิ้น
ก็ใครใช้ให้ใจเขาไม่หินพอ...มือเขาไม่เหี้ยมพอกันเล่า?
ใครใช้ให้เมื่อพิงถิงเห็นหน้าเขา ก็คลี่ยิ้มงดงามอย่างดีใจจนสุดระงับ ดั่งนกน้อยที่เริงร่าไร้เดียงสา ทั้งคิ้วเรียวและหางตาล้วนเบิกบาน จนทำให้รู้สึกว่า การที่เขาดีกับนางเพียงเศษเสี้ยว แล้วได้รับการตอบแทนอย่างมากมายมหาศาลเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่คุ้มค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลกอย่างแท้จริง
ป๋ายพิงถิงดูมีชีวิตชีวาและผ่อนคลายดั่งกิ่งหลิวพานพบลมวสันต์ ยอดพธูผู้มากปัญญาได้ทราบแล้วว่าการยอมกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อให้เขาเข้าใจนั้นไร้ประโยชน์ จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายลงมือรุก ราวกับคิดหมายให้ได้รับการชดเชยความขมขื่นในแปดเดือนที่ผ่านมาทั้งหมด
เพิ่งลุกจากเตียงได้ ก็จะชมหิมะเสียแล้ว
เรียกหงเฉียงกวาดศาลามุงหญ้า สั่งม่อหรานให้ไปนำพิณมา แล้วค่อยนำยอดสุรามาสมทบ
ฉูเป่ยเจี๋ยยังไม่ทันก้าวเข้าไปในเขตเรือนเล็ก ก็ได้ยินเสียงพิณดังข้ามกำแพงมา
ชายหนุ่มชะงักเท้า หรี่ตาลง ตั้งใจฟัง
เรียบเรื่อยแผ่ยาวไกล เยือกเย็นและผ่อนคลาย
ล่องลอยไปกับหมู่เมฆา เคลื่อนคล้อยไปกับจันทร์ดารา ท้องนาทะเลกว้าง คร้านจะแล
มีเพียงภูสูงไม่โยกคลอน ตั้งตระหง่านอย่างสงบ ยืดตรงไม่คดค้อม บนภูสัตว์น้อยหลายหลาก ไม่หวาดหวั่นลมหิมะ ครั้นเห็นหิมะหยุดตก ก็แห่กันออกมา เล่นปาหิมะ ขุดโพรงหิมะ เด็ดผลสนไม่กี่ผลสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนต้น เจ้าแย่งข้าชิง สนุกสนานเป็นที่ยิ่ง
ฉูเป่ยเจี๋ยยั้งใจไว้ไม่อยู่ อยากเข้าไปใกล้เสียงพิณนี้อีกนิด จึงสาวเท้า เลี้ยวเข้าประตูเขตเรือน
บนสีขาวสะอาดเป็นแผ่นผืนปรากฏศาลาแห่งหนึ่ง พิณโบราณ ยอดสุรา สาวใช้ ยังมีนางในดวงใจที่ดูเย้ายวนอย่างสุดจะบรรยาย และผ่อนคลายอย่างสุดจะเอ่ย
ติ๊ง!
เสียงผิดปกติดังมา เสียงพิณขาดหายกะทันหัน
ฉูเป่ยเจี๋ยตระหนกจนหน้าถอดสี สมองยังไม่ทันเกิดความคิดใด ร่างกายได้ชิงพุ่งเข้าไปในศาลาเสียก่อนแล้ว
เป็นอะไรไป?
ป๋ายพิงถิงก้มหน้า ประคองมือขวาของตัวเองไว้ บนนิ้วชี้ถูกสายพิณที่ขาดสะบั้นกะทันหันบาดใส่ กลายเป็นแผลเล็กเรียวสีแดงสดสายหนึ่ง
ทำไมไม่รู้จักระวังขนาดนี้? คิ้วเข้มขมวดแนบแน่น ฉวยมืออ่อนนุ่มขึ้นมา เจ็บไหม?
หงเฉียงยื่นศีรษะมามองจากด้านหลังของชายหนุ่ม รีบพูดว่า
หนูปี้ไปนำยามานะเพคะ
เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกมาจากปลายนิ้ว ไหลวนเป็นเส้นเรียวลงมา ฉูเป่ยเจี๋ยเห็นแล้วหัวใจกระตุกโดยแรงจนเจ็บแปลบ ทั้งหงุดหงิดทั้งขุ่นเคือง
อากาศหนาวออกอย่างนี้ ยังจะดีดพิณไปทำอะไรกัน? ตะคอกใส่อย่างดุดันไปแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเลือดที่ไหลเป็นทางแดงบาดตานักอยู่ดี จึงจับนิ้วเรียวยาวดุจหยกขาวเข้ามาอมในปาก
รสชาติของโลหิต ละลายแผ่ซ่านอยู่บนลิ้น
ปากแผลของหญิงสาวถูกลิ้นร้อนผ่าวชุ่มชื้นของชายหนุ่มช่วยเลีย คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นจึงคลายออกโค้งตัวดั่งเสี้ยวจันทร์อย่างอดไม่ได้ คลี่ยิ้มออกมา
ยังจะยิ้มอีกรึ? ฉูเป่ยเจี๋ยหน้าบึ้ง กระแสอำนาจแห่งจอมทัพกดดันอากาศที่ทำท่าจะพลุ่งพล่านปั่นป่วนรอบกาย ครั้งหน้าห้ามไม่ระวังแบบนี้อีก ปล่อยนิ้วที่เลือดหยุดไหลแล้ว ฉวยข้อมือของหญิงสาว เข้าไปในห้องซะ
พิงถิงไม่ยอมขยับ
ฉูเป่ยเจี๋ยหันหน้ากลับมามอง เลิกคิ้ว
หือ?
ฝ่าบาท... นัยน์ตาสุกสกาวกลอกวูบ แล้วยื่นนิ้วชี้อีกข้างที่ไม่มีบาดแผลขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ข้างนี้ก็อยากให้ฝ่าบาทจุมพิตด้วยเพคะ
โลภมากไม่รู้จักพอแท้ๆ ขืนปล่อยนานไป เจิ้นเป่ยหวางผู้ยิ่งใหญ่มิกลายเป็นบุรุษไร้น้ำยาที่ต้องทำตามคำสั่งของสตรีต้อยๆหรอกรึ?
ฉูเป่ยเจี๋ยหน้าเครียดคล้ำ อย่าเหลวไหล รีบเข้าไปในห้อง......
ยังไม่ทันขาดคำ สีหน้าเย็นชาได้วูบขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว นิ้วชี้ที่ยกขึ้นถูกยื่นเข้าไปอยู่ระหว่างแนวฟัน แล้วกัดลงโดยแรงทันทีอย่างไม่มีการลังเล!
เจ้า...... ฉูเป่ยเจี๋ยรีบดึงมือของนางออกโดยแรง แต่สายเกินไปเสียแล้ว ด้วยนิ้วชี้มือซ้ายที่เมื่อครู่ยังกลมกลึงงดงามได้ถูกเคราะห์ภัยกรายใส่โดยไร้ความผิด ถูกเจ้าของกัดอย่างโหดเหี้ยมจนปรากฏรอยฟันลึก 2-3 รอย
เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกมาจากรอยฟัน
เจ้าทำอะไรกันนี่?! ชายหนุ่มกลัวว่านางจะทำเรื่องโง่ๆซ้ำอีก จึงยึดมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้แน่น คิ้วขมวดเข้าหากันจนชิด ขบกรามเค้นเสียงเครียด
พิงถิงถูกยึดสองมือเอาไว้ ก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย ปล่อยตัวเอนลงซบกับอกกว้าง คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับหัวเราะคิกออกมา
หลังจากหัวเราะแล้ว สีหน้าหญิงสาวก็ค่อยๆกลับเป็นปกติ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างรักใคร่ เอ่ยเสียงนุ่ม
มีฝ่าบาทคอยรักถนอมพิงถิงเช่นนี้ ต่อให้สองมือพิงถิงต้องพิการจนไม่อาจดีดพิณได้อีกต่อไป แล้วจะเป็นไรไป?
น้ำคำหนักแน่นมั่นคง ไม่รู้สึกถึงการเสแสร้งแม้แต่น้อย
ฉูเป่ยเจี๋ยสะท้านใจอย่างรุนแรง กอดนางแน่นอย่างดุดัน ออกคำสั่งเสียงเครียด
ความเป็นตาย มีเกียรติและเหยียดหยามของเจ้าเป็นของข้าทั้งหมด ห้ามไม่ให้เจ้าเหยียบย่ำตามใจชอบอีกเป็นอันขาด นับแต่วันนี้ไป ห้ามเจ้าปล่อยให้ตัวเองหิว ห้ามเจ้าปล่อยให้ตัวเองหนาว ห้ามเจ้าทำร้ายตัวเอง หากฝ่าฝืน ข้าจะใช้กฎทหารลงโทษเจ้าอย่างหนัก!
ขอบตาพิงถิงร้อนผ่าว สูดหายใจลึกๆอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง มองลึกลงไปในดวงตาของชายหนุ่ม เอ่ยรับว่า
กฎทหารของฝ่าบาทเข้มงวดนัก พิงถิงยอมแพ้แล้วเพคะ
อิงแอบกับอกกว้าง สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นตึง...พลังอันแข็งแกร่งของฉูเป่ยเจี๋ย
หญิงสาวหลับตาลง ขยับริมฝีปากแผ่วเบา
ด้วยนางแอ่นจร จึ่งพามากรัก ด้วยมากรัก จึ่งคะนึงหา แรกพบสบตาเสน่หาครัน แรกพบสบตาเสน่หาครัน......
ฉูเป่ยเจี๋ยดั่งกำลังโอบกอดสิ่งล้ำค่าซึ่งแตกสลายได้ง่ายดายที่สุดและสูญสลายไปจนไร้ร่องรอยได้ง่ายดายที่สุดในโลกนี้ เงี่ยหูตั้งใจฟัง
บนดวงหน้ากระด้างเด็ดเดี่ยวปรากฏรอยยิ้มหวานล้ำ
นั่นคือเพลงที่เมื่อครั้งยังอยู่ในวังเจิ้นเป่ยหวาง พิงถิงเคยร้องออกมาในอ้อมอกของเขา...บทเพลงยอมสยบ
เพลงอยู่ ทำนองอยู่ คนอยู่
สุริยันจันทราดาราฉายอยู่ ผืนฟ้าแผ่นดินอยู่
ป๋ายพิงถิงในอ้อมอก...ยังคงอยู่
<>::<>::<>
นับแต่วันนั้นมา มักจะได้ยินเสียงเพลงหวานใสของพิงถิงในเขตเรือนเล็กอยู่เสมอ
เสียงเพลงนุ่มนวลตราตรึงใจ ฟังไปๆ ทำให้อดนึกอิจฉาชายหนุ่มที่ได้โอบกอดนางไปพลางฟังเสียงขับร้องอันแสนไพเราะไปพลางขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้
หงเฉียงทั้งตกใจและยินดีต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กระซิบเบาๆกับจุ้ยจวี๋ว่า
เจ้าดูสิ ก่อนหน้านี้งอนทะเลาะกันออกขนาดนั้น ถึงกับจะเป็นจะตายกัน พอหันมาคืนดี ก็หวานกันตั้งขนาดนี้ หวางเยี่ยเป็นถึงยอดขุนพลเรืองนาม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงที่ตัวเองรัก ก็ยังต้องยอมแพ้อยู่ดี เฮ้อ...เห็นได้ชัดเลยนะว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ร้ายกาจมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อต้องมาเจอกับคำว่า ความรัก ก็มีอันต้องใจอ่อนกันทั้งนั้น
จุ้ยจวี๋จัดเตรียมอาหารของพิงถิงอย่างคล่องแคล่ว ครั้นหันหน้ากลับไปเห็นว่าหงเฉียงยังคงยืนพิงประตู ตามองไปยังสองหนุ่มสาวที่นั่งอิงแอบกันอยู่ที่ริมสระไกลออกไป ก็ถอนหายใจ
หวางเยี่ยคือผู้เก่งกาจ ส่วนป๋ายกูเหนี่ยงนั้นยิ่งพบผู้เก่งกาจยิ่งเก่งกาจกว่า ไม่เข้าใจจริงๆว่าเหตุใดสวรรค์ถึงได้จับคนแบบสองคนนี้มาเข้าคู่กันได้
หงเฉียงหันหน้ามา จับมาเข้าคู่กันแบบนี้สิถึงจะสนุก ก็นอกจากป๋ายกูเหนี่ยงคนนี้แล้ว ยังจะมีใครอีกเล่าที่คู่ควรกับหวางเยี่ยของพวกเรา?
จุ้ยจวี๋เอ่ยเสียงเรียบ คนวงนอกดูน่ะก็สนุกอยู่หรอก แต่คนวงในนี่สิไม่รู้ว่าจะยังมีอุปสรรคความทุกข์ยากใดรออยู่อีกมากมายแค่ไหน เจ้าลืมเรื่องขององค์ชายน้อยทั้งสองแล้วหรือ?
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องน่าเศร้าขององค์ชายน้อยทั้งสอง หงเฉียงก็เกิดอาการยิ้มไม่ออก สายตาช้อนขึ้น มองไปยังด้านหลังของจุ้ยจวี๋
จุ้ยจวี๋หันกายไป ม่อหรานยืนอยู่ด้านหลังนางทั้งคู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ม่อหรานกล่าวอย่างเย็นชา
รับทราบ
จุ้ยจวี๋เอ่ยรับ แล้วเหลือบไปมองเงาร่างที่อิงแอบแนบชิดกันของสองหนุ่มสาวที่นอกประตู
...แค่ไม่เอ่ยถึง ก็ลืมได้แล้วหรือไร?...
<>::<>::<>
จากคุณ :
Linmou
- [
29 มี.ค. 52 17:31:42
]