ผีบังตา...(1)
ราสส์ กิโลหก
เสียงฟ้าร้อง..ครืนๆๆ อยู่บนฟ้า รามสูรคงกำลังรำหวานเข้าใส่นางฟ้า..เสียงดังเป็นช่วงๆ พร้อมกับอากาศที่ขมุกขมัว มีลมกระโชกพัดจนกิ่งไม้ใบไม้เอียงลู่ไปตามแรงลม ผมมองดูเวลาจากนาฬิกาซึ่งผูกอยู่ที่ข้อมือตัวเอง เข็มนาฬิกาชี้ว่า เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว แหงนคอดูท้องฟ้าคะเนว่าฝนต้องตกลงมาแน่นอน
เฮ้ย ! หน่อยกลับกันเถอะ จะหกโมงแล้ว ฝนฟ้าก็กำลังจะตก ผมพูดกับอ้ายหน่อยเพื่อนที่มาด้วยกัน
เออ น่า อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวอะไรกับฝนวะ ! มันยังทำนั่งเฉย ในมือถือแก้วเหล้ากำลังยกขึ้นกรอกน้ำสีอำพันเข้าปาก จนเกือบหมดแก้ว
ช่วงสายของวันนี้ เรามีนัดไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่ออ้ายหน่อย ซึ่งเคยทำงานที่เดียวกัน และมันชวนผมไปด้วยเพราะเป็นคอเหล้าเหมือนกัน การเดินทางใช้รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของผมเป็นยานพาหนะ
ก็เหมือนงานเลี้ยงทั่วๆไป พระเอกก็คือเหล้า ไม่ว่างานไหนงานนั้นขาดไม่ได้ มันเป็นประเพณีไปแล้ว ถ้าไม่มีการกินเหล้าคนในงานจะมีทีท่าเหมือนไก่หงอยๆเชื่องๆไม่มีชีวิตชีวา ทำให้งานจืดชืดไม่สนุกสนานเท่าที่ควร
ผมนั้นพยายามประคองตัวไม่ดื่มมากจนเกินงาม เพราะถือเป็นแขกแปลกหน้าประเภทตามเพื่อนมา ส่วนอ้ายหน่อยไม่ต้องพูดถึง ทั้งกินทั้งคุยจนเวลาล่วงเลยมาเกือบค่ำ ดูท่าทางแล้วสายป่านมันติดลมบนทำท่าจะไม่ยอมลงมาง่ายๆ ผมก็อดห่วงไม่ได้การเดินทางกลับบ้านมืดๆค่ำๆมันไม่ค่อยดี ระยะทางถึงบ้านเกือบ 30 กิโลเมตร เลยตัดสินใจโกหกมันหน้าตาเฉยว่า ค่ำนี้ต้องพาลูกไปหาหมอ โดยแอบกระซิบกับมันเบาๆเกรงใจพรรคพวกที่อยู่ในวงเหล้า
แล้วก็ได้ผล มันอดเกรงใจไม่ได้ เพราะรถที่ขับมาเป็นรถของผม ท่าทางมันเสียดายที่ต้องกลับบ้าน พอเอ่ยปากบอกลากลับ พวกในวงเหล้าต่างคัดค้านกันรอบวง
จะรีบไปไหนวะหน่อย !
บ้านไม่หนีไปไหนหรอกน่า
ยังไม่สว่างเลยจะรีบไปไหน
กลัวเมียหรือไง ? วะ ฯลฯ ที่รถคว่ำรถชนกันตายก็เพราะมีเพื่อนแบบนี้แหละ !
กว่าจะยกก้นออกมาจากวงเหล้าได้ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบ 1 ทุ่มแม้จะยังไม่ดึกดื่นอะไร แต่ในบรรยากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ ถ้าไม่มองดูนาฬิกาคงคิดว่าอย่างน้อยก็ 3 ทุ่มขึ้นไป เมฆฝนหลังจากที่ทำท่าตั้งเค้าอยู่นาน ในที่สุดสายฝนก็เริ่มโปรยลงมา แต่ยังไม่มากนักมองเห็นเป็นเพียงเส้นเล็กๆที่ตัดกับแสงไฟหน้ารถ
เฮ้ย ! กิม ไปทางลัดดีกว่า ออกทางถนนใหญ่รถแยะ เพราะพรุ่งนี้เริ่มเป็นวันหยุดพวกในกรุงเทพฯออกมาเที่ยวต่างจังหวัดกัน อ้ายหน่อยพูดพร้อมกับชี้มือบอกให้รถเลี้ยวไปทางซ้ายซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้านตามปกติ
ผมไม่อยากขัดใจมันเพราะพื้นที่แถบนี้ เป็นที่ตั้งโรงงานที่มันทำงานอยู่ โดยทำมาเกือบ 20 ปี จนรู้จักสภาพพื้นที่ทั้งหมด มันว่าเส้นทางที่มันบอกให้ไปนั้นเป็นเส้นทางลัดที่มันใช้บ่อยๆเพื่อหลบรถติด เพราะเส้นทางตามปกติ ซึ่งเป็นถนนสายหลัก ผู้คนที่จะต้องเดินทางไปจังหวัดทางภาคอีสานต้องผ่านเส้นทางนี้ ช่วงปีใหม่ สงกรานต์ หรือ ตรุษจีน รถจะติดขัดมาก
ฝนยังตกพรำๆไม่แรงมากนัก ขับมาได้ไม่นาน จากแสงไฟหน้ารถสาดส่องไปข้างหน้า มองเห็นมีทางเล็กๆแยกอยู่ทางด้านซ้ายมือ อ้ายหน่อยชี้ไม้ชี้มือบอกให้เลี้ยวเข้าไป พอรถเลี้ยวเข้าไปผมถึงกับตกใจเพราะถนนมันมืด สองข้างทางไม่มีบ้านเรือนคนมีแต่ต้นไม้และท้องนาที่แลเห็นไกลๆจากไฟหน้ารถ
หน่อย ! ทำไมทางเส้นนี้มันมืดจัง วะ! ไม่เห็นมีบ้านคนเลย ไปอีกไกล มั้ย เนี่ย ! ผมอดปอดๆไม่ได้ มันเหมือนขับรถเข้าไปในป่า โดยเฉพาะตอนฝนตกมันดูอึดอัดจนรู้สึกกลัว
มรึงขับไปเรื่อยๆ พอทะลุสุสานฯอีกไม่เกิน 5 กิโลฯ ก็ขึ้นถนนได้แล้ว มันพูดเป็นเรื่องธรรมดา
ฮ้า ! ไรวะ มีสุสานแถวนี้ด้วยหรือ ?
มรึง ไม่ต้องกลัว เส้นทางนี้หลับตากรูยังเดินถูกเลย เป็นสุสาน ฮวงซุ้ย ของคนจีนไม่มีอะไรน่ากลัว หรอกน่า แต่ก่อนตอนดึกๆเวลากรูเมาๆ ยังขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านมาคนเดียวเลย ไม่เห็นมีอะไร มันคุยให้ผมสบายใจ
ขับมาจากปากทางได้สัก พักใหญ่ๆ ก็มองเห็นศาลาเก๋งจีน ตั้งอยู่ 2 แห่งเหมือนศาลเจ้าแต่ใหญ่กว่า อ้ายหน่อยบอกให้ขับเลยเข้าไป พอเลยศาลาไปไม่นาน ถนนเริ่มเล็กลงและเป็นเนินเหมือนลงเขา รถเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง แสงไฟจากหน้ารถที่สาดส่องไปไกลหลายร้อยเมตร มองเห็นหลุมฝังศพที่เรียกกันว่า ฮวงซุ้ย สีขาวลานตาไปหมด
หลุมฝังศพเหล่านี้ ถูกจัดอย่างมีระเบียบ มองเห็นสุดหูสุดตาไกลไปจนติดเนินเขาซึ่งมีอยู่รอบๆโดยมีภูเขาลูกใหญ่ๆเป็นฉากอยู่ทางด้านหลัง พื้นที่บริเวณนี้มีถนนหลายเส้นหลายแยก เหมือนหมู่บ้านจัดสรร บริเวณหลุมฝังศพแต่ละกลุ่มจะมีป้ายบอกเป็นภาษาจีน ผมถามอ้ายหน่อยว่าเค้าติดป้ายทำไม ? มันบอกว่าเป็นชื่อหมู่บ้านแต่ละกลุ่ม ถึงจะเป็นหลุมฝังศพแต่ก็จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านกัน
ผีก็มีหมู่บ้านด้วย หรือวะ ?
เออ ! มีซิ ! แล้วมีผู้ใหญ่บ้านด้วยนะมรึง เหมือนของคนเลย อ้ายหน่อยอธิบายเหมือนกับว่ามันเป็นผู้จัดการสุสาน
พื้นของถนนบางเส้นเป็นถนนลาดยาง ตอนกลางวันได้รับความร้อนจากแสงแดดจนผิวถนน อมความร้อนเอาไว้พอตอนค่ำๆฝนตกปรอยๆ ความเย็นของน้ำฝนไปกระทบกับความร้อนที่ผิวถนน เกิดเป็นไอเหมือนหมอก ลอยขึ้นมาจากผิวถนน ทำให้เกิดภาพเหมือนกำลังขับรถเข้าไปในม่านหมอก มองดูแล้วมันวังเวงชอบกล
เฮ้ย ! หน่อยต้องผ่านสุสานนี้อีกไกล มั๊ย ผมใจร้อนอยากออกจากที่นี่เร็วๆ
กลัวอะไรวะ ! มรึงขับไปเรื่อยๆก่อนเดี๋ยวจะมีทางแยก ทางด้านซ้ายมือเพื่อออกจากสุสาน ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวกรูบอกเอง
เสียงฝนเริ่มตกแรงมากขึ้น เม็ดฝนหนาขึ้น อากาศในรถเย็นจนหนาว จำนวนเม็ดฝนที่ตกแรงจนทำให้การมองไปข้างหน้าไม่ชัดเจน ผมต้องค่อยๆขับมัวแต่ตั้งใจมองแต่ข้างหน้าไม่ได้สนใจอ้ายหน่อยที่นั่งอยู่ข้าง เพียงแต่คอยฟังเสียงจากมันว่าจะให้เลี้ยงตรงแยกไหน
ขับมานานจนผิดสังเกต จนกระทั่งหูผมได้ยินเสียงกรนเบาๆอยู่ข้างๆ รีบหันไปดู..เวรกรรมอ้ายหน่อยนั่งหลับคอพับบนเบาะรถ ผมตกใจรีบหยุดรถทันที.
เฮ้ย ! อ้ายหน่อย ! อ้ายบ้า ! มรึงหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ ! ผมเอามือดันไปที่ไหล่มันพร้อมเขย่าอย่างแรง
ฮือๆๆๆๆ อะไรวะ ถึงบ้านแล้ว หรือ ?
ถึงบ้าน เตี่ยมรึงดิ ! ยังไปไม่ถึงไหน ยังอยู่ในสุสานอยู่เลย ผมตะโกนเสียงดังทั้งโมโหทั้งตกใจ
มันตื่นขึ้นมาทำท่างงๆ อากาศข้างนอกก็มืด มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยสายฝน เสียงจั๊กๆๆสลับกับเสียงอึ่งเสียงเขียดดังดังเล็ดลอดเข้ามาในตัวรถ
อ้ายหน่อยพยายามเพ่งสายตา มองออกไปนอกรถเหมือนจะทบทวนความจำ
นี่เราอยู่ตรงไหน วะเนี่ย ! มรึงถอยรถกลับไปซิ มันบอก
ผมใส่เกียร์ถอยหลัง รถค่อยๆถอยหลังกลับ จนไปถึงทางแยกทางด้านซ้ายมือ
เลี้ยวเข้าไปเลย ! ใช่ป่าววะนี่ ! เสียงอ้ายหน่อยไม่ค่อยมั่นใจ
รถเลี้ยวเข้าไปตามทางอย่างช้าๆ ไฟหน้ารถส่องทาง เห็นสายฝนที่ขาวโพลนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย หันมองไปทางไหนก็เห็นแต่หลุมฝังศพที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวรถ ขับรถไปก็ลุ้นไป ขอให้ออกไปให้พ้นภาพหลุมฝังศพที่อยู่รอบๆตัวเสียที
แต่ก็ไปไม่พ้น มันเหมือนคนหลงทางเพราะขับไปทางไหนก็มีแต่หลุมฝังศพ จนระยะเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงเราก็ยังไปไม่ถึงไหน มันเหมือนขับรถไปบนถนนที่ไม่มีสิ้นสุดวนไปวนมาจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่า เราอยู่ในวงล้อมของหลุมฝังศพ อ้ายหน่อยนั่งไม่ติดมันกระสับกระส่ายความเมาความง่วงหายไปหมด
กรู จำทางไม่ได้แล้ว ว่ะ ไม่รู้อยู่ตรงไหน ทั้งมืดทั้งฝนตกแบบนี้ มองอย่างไงก็หาไม่เจอ พูดไปก็ทำท่าทางมองออกไปทางหน้ารถบ้าง หลังรถบ้าง แต่ผมซิ ! อยากจะบ้าตาย แล้วจะทำไงดี.. ฝนก็ตกเหมือนฟ้ารั่ว ไม่รู้จะตกไปถึงไหน
เราจอดรถก่อนดีกว่า ยิ่งขับไปก็ยิ่งหลงมากขึ้น ผมบอกกับอ้ายหน่อย พร้อมจอดรถปลดเกียร์แต่ไม่ดับเครื่องและไฟหน้ารถ ถ้าดับไฟสงสัยคงมองอะไรไม่เห็นแม้แต่หน้าตาพวกกันเอง
สงสัยต้องรอให้ฝนหยุดตกก่อน อ้ายหน่อยพูดเสียงอ่อยๆ เหมือนยอมรับความผิด
งั้นก็เอนเบาะ นอนเอาแรงกัน นอนกันมืดๆนี่แหละ ! ผมดับเครื่องและปิดไฟหน้ารถ ทันทีที่ดับไฟความมืดเข้าครอบคลุมลงมาทันที เราสองคนอยู่ในรถไม่พูดอะไรกัน ได้ยินแต่เสียงหายใจเบาๆเพราะความมืดบดบังจนมองหน้าตากันไม่เห็น..(จบตอนที่ 1)
แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 52 15:30:53
แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 52 05:10:03