ผมขอเล่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมและก็เหล่าเพื่อนของผมเองว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะทำ
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดหนึ่งในแถวภาคกลาง มันเกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้นี่เอง
ในคืนเดือนมืดวันหนึ่งที่ลมกรรโชกแรง พวกเราได้นัดกันไว้ว่าจะมาตั้งวงเหล้าดื่มที่บ้านผม ไม่ทราบเหมือนกันว่าอะไรดลใจถึงทำให้พวกเขามาทำแบบนี้ยังที่นี่ เพราะที่เรื่องเหล้าเรื่องสุรานี้ ผมไม่เคยแตะพวกมันเลยด้วยซ้ำ
อาจจะเพราะว่าที่บ้านของผมอยู่ห่างไกลจากตัวหมู่บ้าน และพ่อแม่และครอบครัวผมคนอื่นไม่อยู่ที่บ้านก็เป็นได้ มันจึงเป็นที่เหมาะสมสำหรับการจะตั้งวงเหล้าแล้วส่งเสียงเอะอะโวยวายจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนโดยไม่มีใครสน
พอถึงเวลาสองทุ่ม เจ้าเพื่อนของผมก็มาถึงที่นัดหมายกันอย่างพร้อมเพรียง โดยมีเหล้ายาปลาปิ้งหิ้วกันมาแบบพะรุงพะรัง
"จะขอเริ่มการตั้งวงเหล้าดริงค์กันนะบัดนี้" เพื่อนผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยกแก้วเปล่าขึ้นมา พร้อมประกาศเริ่มเปิดการตั้งวงเหล้าหลังจากที่ทุกคนตระเตรียมวงเหล้ากันเสร็จได้ไม่นาน
ทั้งหมดเริ่มดื่มเริ่มกิน พร้อมส่งเสียงดังโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่เกรงใจใคร ขนานผมเป็นเพื่อนพวกมันผมเองยังทนไม่ไหวเลย หากพ่อแม่อยู่ที่บ้านนี้ก็คงจะรีบไล่พวกนี้ไปทันที
ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ พวกมัน แต่ไม่ได้ร่วมวงด้วย เพราะผมไม่ชอบดื่มเหล้า แต่จะให้ไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ได้ เพราะในชนบทมืดค่ำขนาดนี้ สิ่งที่จะให้ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือไปนอนเพียงเท่านั้น
แต่ด้วยเสียงที่ดังขนาดนี้ จะให้ผมไปนอนน่ะหรือ ? คงทำไม่ได้หรอก ! สิ่งที่พอทำได้ตอนนี้คือนั่งดูพวกเพื่อนของผมนั่งล้อมวงดื่มเหล้า และร่วมสนทนาพูดคุยกับพวกมันเพียงอย่างเดียว
ผมมองออกไปยังนอกบ้าน ที่มืด ๆ กลางที่ว่างหน้าบ้านนั้นมีต้นมะขามต้นใหญ่อยู่ ด้านข้างของมันนั้นมีศาลพระภูมิ ผมเองเพิ่งนึกได้ ว่าวันนี้ผมยังไม่ได้นำของไปเซ่นไหว้เลย
"ขอตัวแป๊บนึง" ผมพูดกับเพื่อนคนอื่นในวง แต่พวกนั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจผมมากนัก
ผมนำของออกไปเซ่นไหว้เจ้าที่ยังศาลพระภูมินั้น ระหว่างที่ผมไหว้นั้นผมก็นึกถึงเรื่องที่พวกเพื่อนของผมมันมาตั้งวงดื่มเหล้าที่บ้านของผมด้วย ที่จริงผมก็รู้สึกไม่ค่อยชอบเหมือนกันนะ ทั้งที่ผมไม่ได้ดื่มเหล้าแท้ ๆ แต่พวกนั้นกลับหาเรื่องมาตั้งวงเหล้าที่บ้านผมเสียอย่างนั้น
ระหว่างที่ผมนึกเช่นนั้นในใจอยู่ ลมที่แรงก็พัดแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ดินทรายหรือฝุ่นผงบางอย่างเข้าตาของผม ผมจึงต้องขยี้ตาเพื่อให้ตาของผมหายระคายเคือง
ตอนนั้นนั่นเองที่มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากภายในบ้านของผม
"ใครดับไฟวะ !" หลายคนร้องตะโกนออกมา
ผมที่ผมจะลืมตาได้แล้วหันกลับไปมองที่ยังตัวบ้าน บ้านของผมมืดสนิท ดูท่าลมแรงที่พัดเมื่อครู่คงจะทำให้ไฟบ้านของผมดับ
"มืดอย่างนี้จะดื่มต่อยังไง !"
"ไปตั้งวงต่อที่ด้านนอกก็แล้วกัน ใต้ต้นมะขามต้นนั้นดีไหม ?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมจึงรีบเข้าไปห้าม เพราะใต้ต้นมะขามนั้นมีศาลพระภูมิตั้งอยู่ การที่จะไปตั้งวงเหล้าบริเวณนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
"ผีสางเทวดามีจริงที่ไหน ช่างมันเถอะน่า" พูดเสร็จพวกเพื่อนผมก็ช่วยกันย้ายข้าวของแล้วไปตั้งวงเหล้าต่อที่ใต้ต้นมะขามนั้น
ผมเองที่ห้ามพวกเขาไม่ได้ ก็ได้แต่นั่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น ครั้นจะไปร่วมวงด้วยก็รู้สึกไม่ดี จะไปแอบกินกับฟรีเพื่อนผมก็ห้าม หรือจะไปนอน ผมก็คงนอนไม่หลับเพราะเสียงดัง ระหว่างที่ผมนั่งสังเกตการณ์เพื่อนผมอยู่ชั่วครู่ ก็มีเสียงทักดังจากข้างหลังของผม
"อ้าว พวกหนุ่ม ๆ ไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ" เสียงนั้นเป็นเสียงของชายมีอายุคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่
"ตั้งวงกินเหล้ากันอยู่ไงลุง !" เสียงเพื่อนผมในวงทักตอบ
"แล้วทำไมไปตั้งวงอยู่ที่แบบนั้นล่ะ"
"ก็ไฟมันดับจะให้ทำอะไรได้ล่ะลุง"
"ลุงไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ลุงหมายความว่าไปทำอะไรอยู่ใต้ต้นมะขามต้นนั้นล่ะ เจ้าที่ในศาลที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเฮี้ยนมากไม่รู้หรือไง ?"
พอลุงพูดเสร็จ ทุกคนก็พลันเงียบกริบพร้อมกัน ก่อนที่มีเสียงเอื่อย ๆ ดังออกมาจากในวง
"ละ... ลุง ผีเผอมีจริงที่ไหนล่ะ"
ลุงที่ได้ฟังก็หัวเราแล้วพูดต่อ "ไม่เชื่อก็ตามใจ ลุงเตือนแล้วนะ" หลังจากนั้นลุงก็มาพูดทักกับผมต่อ "ว่าแต่เธอเป็นลูกของบ้านหลังนี้ใช่ไหม"
"ใช่แล้วครับ"
"งั้นเหรอ งั้นเอานี่ไปเจ้าที่ที่นี่เขาชอบนี่ เอานี่ไปถวายท่านเถอะนะ" แล้วลุงก็หยิบของบางสิ่งมาให้ผม
"น้ำเต้าหู้ ?"
"ใช่แล้ว ไหน ๆ มันก็เหลือ เอาที่เหลือนี้ไปถวายท่านเถอะนะ แล้วก็นี่อีก" แล้วคุณลุงก็เอาถุงน้ำเต้าหู้อีกหลายถุงพร้อมกับปาท่องโก๋มาให้ "เอาไปทานเถอะนะพ่อหนุ่ม"
"ขอบคุณครับ ว่าแต่เจ้าที่ของบ้านผมนี้ชอบ...." ผมหันไปมองศาลพระภูมิแค่แป๊บเดียว พอหันกลับมาคุณลุงคนนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ
ผมไม่รู้ว่าคุณลุงหายไปไหน เพราะคืนเดือนมืดที่ไม่มีไฟอย่างนี้ จะให้มองทะลุไปอีกหลายสิบเมตรก็มองอะไรไม่เห็นเสียแล้ว
แต่จะว่าไปมันก็แปลก ผมไม่เคยเห็นใครมาขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋จนดึกดื่นอย่างนี้มาก่อน อย่างมากที่เห็น ตอนสาย ๆ ก็หายไปหมดแล้ว การที่คุณลุงโผล่ผ่านมาในเวลานี้จึงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่แปลกเป็นอย่างยิ่ง
คิดไปก็ไม่ได้อะไร มีแต่ทำให้ยิ่งกลัวเสียมากกว่า ผมจึงเดินไปยังที่วงเหล้าเพื่อเอาน้ำเต้าหู้ไปถวาย
"เอาอะไรมาน่ะ ปาท่องโก๋ใช่ไหม ได้กลิ่นนะ" เพื่อนของผมในวงพูดทัก
"ทำไมรึ ?"
"ถามมาได้ ก็จะเอามากินเป็นกับแกล้มเหล้าน่ะสิ"
"เฮ้ย เอาปาท่องโก๋ไปกินเป็นกับแกล้มเหล้าเหรอ" ผมพูดด้วยความแปลกใจ เพราะผมไม่เคยไม่ยินใครที่จะกินปาท่องโก๋เป็นกับมาก่อน
"อย่าเพิ่ง ขอแบ่งส่วนหนึ่งไปไหว้เจ้าที่ก่อน"
"ไหว้ไปแล้วจะไหว้อะไรอีกเล่า เอามานี่ทั้งหมดเลยน่า เดี๋ยวจะแบ่งกับอื่นให้กินด้วย" เพื่อนคนหนึ่งพูดทัก ผมเองก็ชักลังเลใจ เพราะที่จริงผมนั้นก็อยากจะกินกับที่พวกเพื่อนผมเอามาทานแกล้มเหล้าด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น ลมที่เหมือนจะสงบลงไปบ้างแล้วพลันกรรโชกแรงขึ้นไปอีก แรงจนรู้สึกได้ว่าลมนั้นจะหอบผมขึ้นไปบนอากาศเลยทีเดียว
"โอ๊ย !" เพื่อนคนที่ทักเรื่องป๋าท่องโก๋กับผมร้องเสียงดังขึ้นมา
"เป็นอะไร ๆ" เพื่อนคนที่เหลือร้องทัก
"ไม่รู้ เหมือนมีมือใครก็ไม่รู้มาตีที่หัว"
"บ้าน่าใครจะตีแกได้" เพื่อนอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ไม่รู้คนอื่นจะคิดเหมือนผมไหม แต่ผมพลันคิดถึงคำของคุณลุงลึกลับคนนั้นที่ว่า เจ้าที่ที่นี่เฮี้ยนมาก
"ชะ... ช่างเถอะ มาดื่มกันต่อ" ว่าแล้วเพื่อนผมคนนั้นก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม "พรวด ! เฮ้ย ! ใครเล่นพิเรนท์มาใส่น้ำเต้าหู้ในเหล้าวะ"
"น้ำเต้าหู้อะไร นี่ยังอยู่ในมืออยู่เลยยังไม่ได้แกะซะด้วยซ้ำ"
"จะเป็นไปได้ยังไง ก็นี่มีน้ำเต้าหู้อยู่ในเหล้าชัด ๆ พวกเครื่องน้ำเต้าหู้อยู่เต็มเหล้าเลย"
"ไหน ๆ" เพื่อนคนอื่นหยิบแก้วเหล้านั้นขึ้นมาดื่ม "เออแหะ แต่มีเครื่องแบบนี้ก็รสชาติแปลกไปอีกแบบ" พูดไปเจ้าเพื่อนคนนั้นก็เคี้ยวเครื่องเต้าหู้เสียงดังจั๊บ ๆ
"เฮ้ย ของข้าก็มี" เพื่อนอีกคนพูดทัก
"แก้วของข้าก็มีด้วย" เพื่อนคนสุดท้ายเองก็ตอบรับขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ตกลงว่าแก้วเหล้าของทุกคนต่างก็มีน้ำเต้าหู้ใส่อยู่ในเหล้าด้วยกันทั้งหมด
"ว่าแต่ใครใส่น้ำเต้าหู้ลงไปในเหล้าล่ะ" พอผมพูดเสร็จผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบในทันที
และตอนนั้นเอง ไฟที่ดับก็พลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ผมหันหลังกลับเข้าไปที่บ้าน ตัวบ้านของผมสว่างขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อผมหันกลับไปอีกครั้งหนึ่งก็เห็นกิ่งไม้แห้งกิ่งใหญ่หล่นอยู่ข้างวง
"อ๊ะ นั่นไง ไม่มีใครไปตีหัวแกหรอก กิ่งมะขามมันตกลงมาใส่หัวแกต่างหาก"
แต่ในขณะเดียวกัน ปริศนาเรื่องน้ำเต้าหู้ในเหล้าก็พลอยถูกไขกระจ่างไปด้วย ตัวเล็ก ๆ สีเขียวขนาดใหญ่กว่านิ้วโป้งจำนวนนับไม่ถ้วนกระดื๊บยั้วเยี้ยเต็มวงเหล้าไปหมด ไม่ว่าจะในแก้ว จะบนพื้น จะในกับ หรือแม้แต่หัวและเสื้อผ้าของพวกเพื่อนผม !
ที่แท้ในเหล้ามันไม่ใช่เครื่องน้ำเต้าหู้ แต่ที่ทุกคนดื่มกินเคี้ยวอย่างเมามันกันเมื่อกี้ มันคือหนอนแก้วต่างหาก !
ดังนั้นเวลาจะทำอะไร ก็ทำในที่สว่าง ๆ นะครับ
ไปตั้งวงเหล้ามืด ๆ ใต้ต้นมะขาม ระวังจะได้กินหนอกแกล้มเหล้าเหมือนพวกเพื่อนผมกันละ
------------------
ช่วยวิจารณ์กันด้วยนะจ๊ะ
แต่งได้เข้าถึงวิถีชีวิตของคนในวงเหล้าหรือยัง ?
บรรยายเห็นภาพพอหรือไม่ ?
เยิ่นเย้อหรือตัดสั้นเกินไปไหม ?
สมเหตุสมผลกันไหม ?
ช่วงต้นถึงกลางเรื่องบิวท์อารมณ์ได้แค่ไหน ? ตอนท้ายหักมุมพอหรือเปล่า ?
และกระทู้ที่แล้วมีคนบอกว่าติดกันเป็นพรืดดูลายตา เลยอยากให้แนะนำวิธีทำย่อหน้าให้ไม่มึนส์ด้วยจ๊ะ
จากคุณ :
ซ่อนนาม
- [
7 เม.ย. 52 08:42:35
]