บทที่ 4
ฉูเป่ยเจี๋ยได้มาถึงเมืองหลวงม่อเอินท่ามกลางแสงอรุณอันสลัวราง
มองไปแต่ไกล กำแพงเมืองสูงตระหง่านยิ่งใหญ่อลังการน่าเกรงขาม...คุ้นเคยทว่าแปลกหน้า
ฉูเป่ยเจี๋ยหรี่ตาลง เพ่งมองอยู่เนิ่นนาน ค่อยกระตุ้นม้าวิ่งตรงเข้าไป แล้วพลิกกายลงจากหลังม้าเบื้องหน้าเหล่าผู้คนที่มาต้อนรับ
หวางเยี่ย!
หวางเยี่ยกลับมาแล้ว!
เจิ้นเป่ยหวางกลับมาแล้ว!
ผู้ที่มาต้อนรับไม่ได้มีเพียงเหล่าขุนนางในวังหลวงเท่านั้น หากยังมีชาวเมืองหลวงม่อเอินขนาบอยู่สองข้างทางอีกด้วย
ผู้พิทักษ์อันแข็งแกร่งของพวกเขา...เจิ้นเป่ยหวางผู้เคยจากไปไกลอยู่ชั่วระยะหนึ่ง...ได้หวนกลับมาแล้ว
นัยน์ตาของทุกคนล้วนเปล่งประกายสุกใส มีเพียงขุนนางใหญ่แห่งตงหลินไม่กี่คนซึ่งทราบความจริงเบื้องหลังที่พากันเมินหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเงียบเชียบ กลบเกลื่อนแววไม่สบายใจซึ่งเล็ดลอดออกมาทางดวงตาอย่างแนบเนียน
ผู้รับผิดชอบให้การต้อนรับคือฉู่จ้ายหราน ขุนนางใหญ่ผู้มากบารมีเป็นนับหน้าถือตามากที่สุดของตงหลิน อัครเสนาบดีเฒ่ายืนอยู่ด้านหน้าสุดของเหล่าขุนนาง ถวายบังคมอย่างเคร่งขรึมเป็นพิธีรีตองต่อฉูเป่ยเจี๋ยซึ่งยืดกายตรง ความองอาจสง่างามมิเคยแม้แต่จะลดทอน จากนั้นยืดเอวชราภาพเหยียดตรง
ฝ่าบาท ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ในดวงตาฝ้าฟางเพราะความสูงวัยปรากฏประกายพลุ่งพล่านยินดีอย่างสุดจะปิดบัง
ท่านอัครเสนาบดี ฉูเป่ยเจี๋ยยื่นมือหนึ่งไปประคองขุนนางเฒ่าผมขาวโพลนผู้ทุ่มเททั้งเลือดเนื้อและกายใจเพื่อตงหลินมาชั่วชีวิต มืออีกข้างโยนบังเหียนซึ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อไปให้ขันทีรับใช้ที่ด้านหลัง สองตาทอประกายเจิดจ้า เดินไปพลางถามไปพลางว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร?
ไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ ฉู่จ้ายหรานเดินเคียงคู่ชายหนุ่มไปบนถนนสายใหญ่ซึ่งทอดตรงสู่วังหลวง รับเสียงโห่ร้องกระหึ่มก้องด้วยความปรีดาปราโมทย์ของประชาชนสองข้างทาง ในเสียงกล่าวที่ลดเบาลงแฝงกระแสชราภาพดั่งอาทิตย์อัสดง ต้าหวางทรงประชวร
เสด็จพี่น่ะรึ? ฉูเป่ยเจี๋ยตัวแข็งทื่อ เท้าหยุดชะงักลง ครู่สั้นๆให้หลังจึงค่อยก้าวเดินต่อ คิ้วขมวดแนบแน่น ถามเสียงหนัก ไยจึงเป็นเช่นนี้ได้?
นับตั้งแต่ฝ่าบาทเข้าเร้นกาย ต้าหวางก็เริ่มประชวรพ่ะย่ะค่ะ หน้าอกปวดจนยากจะทนทาน ยามค่ำคืนไม่อาจนอนหลับลงได้ หมอบอกว่านี่เป็นโรคหัวใจ ได้แต่ค่อยๆเยียวยา ระยะนี้หิมะตกหนักติดต่อกัน อาการประชวรจึงทรุดหนักลงจนต้องนอนอยู่แต่บนเตียงมาหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ น้ำเสียงอัครเสนาบดีเฒ่าเจือกระแสกังวลอย่างลึกล้ำ ต่อให้ไม่มีทัพผสมอวิ๋นฉางกับเป่ยม่อยกมาประชิดชายแดน เหล่าเฉินก็คิดจะวิงวอนขอให้ต้าหวางเรียกตัวฝ่าบาทกลับมาอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ
หัวใจของฉูเป่ยเจี๋ยค่อยๆดิ่งวูบลง
<>::<>::<>
เวลาเดียวกันนี้ ข่าวฉูเป่ยเจี๋ยออกจากเรือนเร้นกายก็ได้มาถึงเทือกเขาเก่าแก่ ณ ชายแดนเป่ยม่อ
หยางเฟิ่งผงกศีรษะเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มองเจ๋ออิ่นด้วยสีหน้าตกตะลึง
เหอเสียยกทัพมาประชิดชายแดน แต่ฉูเป่ยเจี๋ยกลับทิ้งพิงถิงเอาไว้ แล้วเร่งเดินทางไปม่อเอินเพียงลำพัง?
สีหน้าเจ๋ออิ่นเคร่งเครียด พยักหน้ากล่าวว่า
ถูกแล้ว
สวรรค์ช่วย! หญิงสาวร้องอุทานอย่างตระหนก ทรุดฮวบลงนั่งบนเก้าอี้ไม้แดงสี่เหลี่ยม มือหนึ่งจับเท้าแขนเก้าอี้พยุงตัว อีกมือยกขึ้นปิดหน้า พิงถิงจะต้องยังไม่บอกเรื่องจริงกับฉูเป่ยเจี๋ยเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นฉูเป่ยเจี๋ยคงไม่คิดป้องกันข้อครหาด้วยการไม่พาพิงถิงไปด้วย เขาจะต้องคิดว่าเหอเสียกับพิงถิงยังคงความรู้สึกดีๆต่อกันในฐานะเจ้านายกับสาวใช้อยู่เหมือนเดิม เขาไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเหอเสียทำอะไรไว้กับพิงถิง
เจ๋ออิ่นเห็นภรรยาสาวทุกข์กังวล ก็สั่งให้คนอุ้มบุตรชายตัวน้อยที่ยิ้มร่าอย่างไร้เดียงสาโดยไม่ได้ทราบสักนิดว่าผู้ใหญ่กำลังทุกข์ใจด้วยเรื่องใดออกไปจากห้อง แล้วลูบไหล่บอบบางจากด้านหลัง กล่าวปลอบว่า
ฉูเป่ยเจี๋ยเป็นวีรบุรุษโดยเนื้อแท้ เขาจะต้องคุ้มครองผู้หญิงของตัวเองอย่างแน่นอน
มือเล็กบอบบางของหยางเฟิ่งกลับเป็นฝ่ายกุมลงบนมือใหญ่แข็งแรงของสามี ประกายทุกข์ใจรวมตัวอยู่ในดวงตา
ข้ายังจำสีหน้าและน้ำเสียงของพิงถิงที่เอ่ยถึงเหอเสียเมื่อตอนก่อนจะออกเดินทางได้ดี ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเหตุใดเป่ยม่อหวางจึงได้เขลาถึงเพียงนี้ กลับเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยยอมร่วมเป็นพันธมิตรกับเหอเสียยกทัพไปบุกตงหลิน เขาไม่รู้ผลลัพธ์ของการมีเรื่องกับฉูเป่ยเจี๋ยหรืออย่างไร? หญิงสาวเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงนิ่งตะลึง เงยหน้าขึ้นมองหาใบหน้าของสามีซึ่งสามารถช่วยให้นางสงบใจลงได้ ถามว่า เหตุใดฟูจวินจึงนิ่งเงียบเช่นนี้เล่า? ฟูจวินบุกบั่นในสมรภูมิมาหลายปี หรือว่ามองเรื่องผิดปกติใดออก?
ในใจของเจ๋ออิ่นกำลังนึกร้อนใจกับเรื่องนี้อยู่พอดี ครั้นเห็นภรรยาสาวจ้องหน้าเขาอย่างเป็นกังวล ก็ไม่อาจที่จะปิดบัง ได้แต่กล่าวตอบไปตามตรง
หลังจากทัพผสมบุกประชิดชายแดนแล้ว เหอเสียก็สั่งให้ถอยทัพไปสามสิบหลี่ในทันที ในความเห็นของข้า เขาไม่ได้คิดที่จะปะทะกับตงหลินจริงๆแต่อย่างใด เขาเพียงคิดที่จะใช้ความเกรียงไกรของรี้พลเข้าข่มขู่ เรียกร้องขอบางสิ่งจากตงหลินหวางเท่านั้น
นัยน์ตาดำขลับสุกสกาวของหยางเฟิ่งไม่แม้แต่จะกะพริบ รอให้เจ๋ออิ่นกล่าวต่อ
เจ๋ออิ่นถอนหายใจเหยียดยาว
หากฉูเป่ยเจี๋ยออกจากการเร้นกายมานำทัพ ด้วยกำลังทหารของตงหลิน ก็มากพอที่จะปะทะกับทัพผสมอวิ๋นฉางเป่ยม่อได้อยู่หรอก แต่ผลลัพธ์จะต้องเป็นสภาพบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาลด้วยกันทั้งสองฝ่าย
คำกล่าวนี้ได้บอกความนัยชัดเจนอย่างยิ่ง
ข้อเรียกร้องที่เหอเสียเสนอต่อราชวงศ์ตงหลิน จะต้องเป็นข้อเรียกร้องที่ราชวงศ์ตงหลินยินดีที่จะรับปาก ไม่เช่นนั้นสงครามนองเลือดย่อมยากจะหลีกเลี่ยง
มีสิ่งใดกันหรือที่ไม่สำคัญเลยสำหรับราชวงศ์ตงหลิน แต่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเหอเสีย?
หยางเฟิ่งเข้าใจในทันที
นัยน์ตาหงส์เบิกกว้างทันควัน แทบจะพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวขยุ้มสายรัดที่ข้างเอวของสามีแน่น ข้อนิ้วถึงกับซีดขาวเพราะออกแรงมากเกินไป
พิงถิง! นางหายใจถี่รัวขณะเอ่ยออกมาเบาๆเสียงเครียดจัด ตามองสามี เขาต้องการพิงถิง!
เจ๋ออิ่นก้มหน้าลงมองใบหน้าซีดขาวของภรรยาอย่างเวทนา ก่อนจะพยักหน้า
เพราะอะไรกัน? หยางเฟิ่งกัดฟัน เขายังทำร้ายพิงถิงไม่พออีกหรือ? เจ้าคนใจดำเหอเสีย ความกราดเกรี้ยวเต้นระริกอยู่ในอก ผลักดันให้นางลุกพรวดขึ้นยืนทันควัน หันหน้าไปทางแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนซึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะที่นอกหน้าต่าง
...จะให้พิงถิงถูกทำร้ายอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด!...
สูดอากาศหนาวเหน็บแห่งเหมันต์เข้าไปลึกๆในปอด สงบหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรง หยางเฟิ่งค่อยฟื้นฟูสู่ความเยือกเย็น นัยน์ตาค่อยๆเปี่ยมประกายเด็ดเดี่ยว หันหลังให้สามี กล่าวเบาๆ
ฟูจวินจะช่วยหยางเฟิ่งเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?
เจ้าจะเขียนจดหมายไปให้พิงถิงอีกฉบับหรือ?
ไม่ หญิงสาวหันกายมาอย่างแช่มช้า สีหน้าบอกความเด็ดเดี่ยวดื้อรั้นสุดเปรียบปาน ตามองบุรุษซึ่งนางคิดจะฝากชีวิตเอาไว้ทั้งชีวิต เอ่ยออกมาทีละคำๆ ข้าอยากให้ฟูจวินเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเองไปถึงฉูเป่ยเจี๋ย
<>::<>::<>
จากคุณ :
Linmou
- [
10 เม.ย. 52 20:43:24
]