Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ เล่ม 2 บทที่ 5 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 5


    ณ เรือนเร้นกายกลางขุนเขาอันไกลห่าง เงียบสงบจนดูประดุจแดนสวรรค์กลางพิภพ

    เหล่าองครักษ์เฝ้ารักษาการอยู่ด้านนอก เหล่าสาวใช้เฝ้าปรนนิบัติอยู่ในเรือน ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสิ้น เดินสวนกันไปมา บ้างตรงประตูบ้างตรงระเบียง ใบหน้าอันคุ้นเคย ยามสายตาบังเอิญประสานสบ ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับเพิ่มความรู้สึกหน้าแดงใจเต้นรัวขึ้นมาเล็กน้อย แฝงกลิ่นอายแห่งวสันต์อยู่เลือนราง

    หงเฉียงเห็นจุ้ยจวี๋อยู่เป็นเพื่อนพิงถิงแล้ว ก็แวบหนีออกไปเล่นข้างนอกอย่างร่าเริง พิงถิงกับจุ้ยจวี๋ต่างก็ไม่ได้ถือสาอะไร

    หิมะเริ่มบางตา ครั้นดวงตะวันอันอบอุ่นลอยสูงอยู่กลางฟ้า น้ำแข็งบนพื้นดินก็ละลายกลายเป็นแผ่นสีขาวใสลอยอยู่กลางแอ่งน้ำ จุ้ยจวี๋กลัวมากว่าพิงถิงจะลื่นไถล ทุกครั้งที่พิงถิงออกไปเดินเล่น นางเป็นต้องตามติดกระชั้นชิดดั่งเงาตามตัว

    “ระวังใต้เท้าด้วย ระวังลื่น”

    พิงถิงยืนอยู่ใต้ต้นเหมยที่แผ่กำจายกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมย กำลังพยายามเอื้อมมือไปหากิ่งหนึ่งของต้น ครั้นได้ยินจุ้ยจวี๋ร้องเตือน ก็หันมาพูดกลั้วหัวเราะ

    “ข้าก้าวไปก้าวหนึ่ง เจ้าก็ร้องเตือนเสียครั้งหนึ่ง แทนที่จะมัวสิ้นเปลืองคำพูดอยู่แบบนี้ สู้เข้ามาช่วยข้าเสียยังจะดีกว่า”

    จุ้ยจวี๋เดินเข้าไปหาอย่างจนแต้ม ช่วยหญิงสาวโน้มกิ่งเหมยลงมา มองนางเลือกเด็ดแต่ดอกตูมที่กำลังจะบานลงมาทีละดอกๆอย่างตั้งใจ

    “ไม่ใช่ว่าจะเด็ดไปปักแจกันในห้องหรอกหรือเจ้าคะ?”

    “ไม่ใช่” นัยน์ตาสุกใสกลอกวูบ เปล่งประกายเจ้าเล่ห์อยู่รางๆ “ทำอาหารน่ะ”

    “ทำอาหาร?”

    ใช้ดอกเหมยที่เพิ่งจะบานได้ครึ่งเดียวนี่น่ะหรือ? ฟังแล้วนึกถึงเผาพิณต้มกระเรียน(๑)อย่างไรชอบกล

    พิงถิงดูจะกระตือรือร้นและอารมณ์ดีอย่างมาก วางดอกเหมยที่เด็ดมาลงบนจานใบเล็กอย่างเบามือพลางเอ่ยว่า

    “อยู่ดีๆก็นึกถึงหนังสือที่เมื่อก่อนเคยอ่านขึ้นมาได้น่ะ ในนั้นมีเขียนถึงอมเหมยเกิดกลิ่นหอมอยู่ด้วย ในตำราโบราณก็มีเอ่ยถึงว่าดอกเหมยนำมาทำเป็นยาได้ ข้าคิดจะนำดอกเหมยที่เพิ่งจะบานได้ครึ่งเดียวนี้ใช้วิธีการของกุยเล่อนำมาดองโดยใส่สุราส้าว(๒) น้ำตาลทรายขาว เกลือเม็ด และก้านผักเหมันต์(๓)ใส่เอาไว้ในไห แล้วค่อยนำไหไปฝังดิน จุดไฟรมสักพัก รอหวางเยี่ยกลับมา ก็เปิดไหมาลองชิมกันได้พอดี”

    จุ้ยจวี๋แลบลิ้นอย่างตกใจ รีบเตือนสติว่า

    “ข้าไม่เคยได้ยินซือฝุพูดถึงมาก่อนเลยนะเจ้าคะว่าดอกเหมยใช้ทำเป็นยาได้ แล้วไม่ทราบด้วยว่าเป็นยาที่มีฤทธิ์อย่างไร ให้หวางเยี่ยชิมน่ะได้อยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ป๋ายกูเหนี่ยงห้ามซี้ซั้วชิมเด็ดขาดนะเจ้าคะ”

    “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” พิงถิงเอ่ยรับ “ก็ตอนนี้มีวันใดบ้างเล่าที่ข้าไม่ได้ดื่มทานตามที่ท่านหมอเทวดาจุ้ยจวี๋สั่งน่ะ?”

    เนื่องจากอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ประกอบกับจุ้ยจวี๋ช่วยบำรุงได้อย่างเหมาะสม สีหน้าของพิงถิงจึงแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดขึ้นมากจริงๆ

    “น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ชนิดของดอกไม้จึงมีไม่มาก เอาไว้ถึงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน จะทำอาหารจากดอกไม้สดได้หลายอย่างยิ่งกว่านี้ ลำพังแค่ดอกสาวเย่า(๔)อย่างเดียว ก็มีวิธีปรุงอย่างน้อยห้าวิธีเข้าไปแล้ว”

    พิงถิงเด็กดอกเหมยได้พักหนึ่ง จนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อบางๆผุดซึม ในท้องของหญิงสาวมีเลือดเนื้อเชื้อไขของฉูเป่ยเจี๋ยอยู่ จึงไม่กล้าทำเป็นอวดเก่ง เมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อย ก็ส่งดอกเหมยครึ่งจานในมือไปให้จุ้ยจวี๋ แล้วเดินกลับห้องไปด้วยกัน

    “ฟ้าใกล้มืดอีกแล้ว”

    พิงถิงทอดตามองไปยังขอบฟ้าอันงามเพริศพรายภายใต้อาทิตย์อัสดง

    “หวางเยี่ย......น่าจะได้รับตราอาญาสิทธิ์จอมทัพจากตงหลินหวางแล้วกระมัง?”

    นางทายถูกครึ่งหนึ่ง

    ฉูเป่ยเจี๋ยได้รับตราอาญาสิทธิ์จอมทัพมาแล้ว หากแต่มิได้......เริ่มเดินทางกลับ


    <>::<>::<>


    ฉูเป่ยเจี๋ยเฝ้าคุ้มครองตำหนักของพระสนมลี่อย่างเงียบงัน ใบหน้าของชายหนุ่มราบเรียบไร้ระลอก แท้จริงภายในอกร้อนรุ่มดั่งไฟสุมขอน

    วันที่ห้า...เขาได้พลาดวันที่ควรจะเริ่มออกเดินทางกลับไปแล้ว

    ไม่ทราบว่าพิงถิงซึ่งรอที่จะได้อยู่ด้วยกันกับเขาในวันเกิด จะผิดหวังมากเพียงใด...

    เขาไม่อาจทำใจนึกถึงภาพดวงตาใสกระจ่างสุกสกาวคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายผิดหวังได้

    “ฝ่าบาทจะอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันได้ไหมเพคะ? พรุ่งนี้หิมะจะตก ให้หม่อมฉันได้ดีดพิณให้ฝ่าบาทฟัง ชมหิมะเป็นเพื่อนฝ่าบาท......”

    นางผิดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง

    แล้วยังต้องทนผิดหวังอีกหนึ่งครั้ง

    เสด็จพี่ พระเชษฐนี พระสนมลี่ ฉู่จ้ายหราน ขุนนางและทวยราษฎร์ทุกคนต่างไม่มีทางเข้าใจ...เสียงพิณของนาง...เสียงเพลงของนาง...นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนาง...ริมฝีปากสีแดงอ่อนของนาง...กิริยาอันงามสง่าของนาง...ทำให้เขาต้องคะนึงหาอย่างปวดร้าวมากเพียงใด

    วังหลวงกว้างใหญ่โอฬาร ทั้งหญิงงามอาหารทิพย์เหลือจะนับ คะนึงหากลับมิอาจเยียวยา

    “ข้าจะพยายามรีบกลับมา”

    เขาต้องการเพียงโอบกอดร่างบอบบางนั้นเอาไว้ให้แน่นๆ นำพานางชมบุปผาวสันต์จันทร์สารท นำพานางชมจันทร์เพ็ญจันทร์เสี้ยว นำพานางท่องทะยานไปทั่วทุกที่ เขาจะปกป้องนาง ไม่ให้ผู้ใดกล้ำกรายเข้ามาใกล้พิงถิงของเขา ไม่ให้นางต้องทนทุกข์ใดๆแม้เพียงน้อยนิด

    แต่การสืบทอดต่อไปของชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ จะนำไปเทียบกับความปรารถนาเล็กๆของสตรีเพียงคนเดียวกระไรได้ แม้ว่านาง......จะเป็นหญิงที่เขารักอย่างลึกล้ำก็ตาม วันเกิดนั้นมีทุกปี แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของตงหลินหวาง...เหลือแค่ทารกนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น

    ชายหนุ่มหาทราบไม่ว่าองครักษ์ที่เขาส่งไปแจ้งข่าวต่อพิงถิง...ได้ถูกหวางโฮ่วส่งคนไปดักสกัดเอาไว้ที่นอกประตูตำหนัก


    <>::<>::<>


    สีหน้าของหวางโฮ่วดูผิดปกติตั้งแต่เช้า นางเดินเข้ามาในตำหนักบรรทมของต้าหวางอย่างเงียบงัน ถวายบังคมตงหลินหวางอย่างแช่มช้า แล้วนั่งลงตรงหน้าสวามี โบกมือไล่เหล่านางกำนัลซึ่งติดตามรับใช้ข้างกายให้ออกไปทั้งหมด

    “เหตุใดสีหน้าของหวางโฮ่วจึงดูแย่เช่นนี้เล่า?” รอจนเหล่าผู้รับใช้ข้างกายล้วนผละจากไปแล้ว ตงหลินหวางจึงค่อยเอ่ยปากซักถาม “เป่ยเจี๋ยก็ยอมรั้งอยู่แล้วไม่ใช่หรือไร?”

    หวางโฮ่วสวมมงกุฎหงส์ซึ่งมีม่านไข่มุกห้อยลงมา ยืดเอวเล็กบางนั่งตัวตรงอย่างเงียบงัน ราวกับว่าในใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม จนไม่ทราบจะเริ่มต้นเอ่ยอย่างไรดีไปชั่วครู่

    จวบจนนิ่งใคร่ครวญจนนึกหาวิธีอันเหมาะสมได้แล้ว นางจึงค่อยล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ วางลงตรงหน้าสวามี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

    “นี่คือจดหมายที่เกือบจะถูกส่งเข้ามาในวังซึ่งเพิ่งจะดักมาได้หมาดๆเพคะ ผู้รับคือเจิ้นเป่ยหวาง ต้าหวางต้องทายไม่ถูกเป็นแน่ว่าผู้ที่เขียนจดหมายฉบับนี้คือใคร”

    ตงหลินหวางหยิบจดหมายขึ้นมา เพ่งมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวอย่างตกตะลึง

    “ขุนทัพแห่งเป่ยม่อเจ๋ออิ่น?”

    หวางโฮ่วดูจะพลุ่งพล่านใจอย่างมาก กัดริมฝีปากแน่น พูดเสียงสั่นสะท้าน

    “เนื้อหาในจดหมายน่าสะท้านขวัญนัก ขอต้าหวางโปรดอ่านโดยละเอียดเถิดเพคะ”

    เป็นจดหมายที่ยาวมากทีเดียว ตงหลินหวางไม่กล้าชักช้า อ่านเนื้อความทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจ จวบจนเวลาชั่วธูปไหม้หมดดอกผ่านไป ได้เห็นข้อความสรุปบรรทัดสุดท้าย......ตัวการร้ายนั้น แท้จริงแล้วคือเหอเสีย ในห้วงสมองถึงกับพร่าพรายมึนงง แทบจะมองภาพตรงหน้าไม่เห็นไปเป็นครู่

    หลังจากสูดหายใจลึกๆ ฝืนกายนั่งบนเก้าอี้ให้มั่นคงแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นสบดวงตาปวดร้าวของหวางโฮ่ว ปรับลมหายใจให้สงบ ก่อนจะเอ่ยเนิบช้า

    “หวางโฮ่วคิดว่าอย่างไร?”

    “เฉินเชี่ยได้สั่งให้ผู้ที่รู้จักเจ๋ออิ่นมาดูจดหมายฉบับนี้แล้วเพคะ ยืนยันว่าเป็นลายมือของเจ๋ออิ่นจริงๆ ตราประทับประจำตัวของเจ๋ออิ่นบนจดหมายยิ่งมิใช่ของปลอมเพคะ”

    “เจ๋ออิ่นน่าจะไม่ได้รู้จักคบหากับเป่ยเจี๋ย แล้วเหตุใดจึงส่งจดหมายฉบับนี้มาให้เป่ยเจี๋ยเล่า?”

    “อย่างไรก็ตาม เจ๋ออิ่นไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวเท็จในเรื่องนี้โดยเด็ดขาด และที่เขาเปิดโปงเรื่องราวเบื้องหลังว่าเป่ยม่อหวางสมคบคิดกับเหอเสีย ก็เป็นการเสี่ยงต่อการถูกเป่ยม่อหวางลงโทษสถานหนักแล้ว” นัยน์ตาหวางโฮ่วทอแววเลื่อนลอย จับจ้องมายังดวงหน้าของสวามี จากนั้นพลันหลับตาลง สองไหล่สั่นสะท้านอย่างสุดจะควบคุมได้ กล่าวอย่างอาดูร “เหอเสีย......ลูกที่น่าสงสารของข้า กลับถูกเหอเสีย......”

    ซบหน้าลงกับไหล่ของสวามี ร่ำไห้ออกมาสุดเสียงอย่างมิอาจข่มกลั้น

    นัยน์ตาตงหลินหวางสาดประกายเจ็บปวดอย่างลึกล้ำ ลูบหลังมเหสีของตนอย่างเวทนา เอ่ยเบาๆ

    “เช่นนี้แปลว่า...ป๋ายพิงถิงไม่ใช่ฆาตกรสินะ” เว้นจังหวะไปชั่วครู่ ค่อยถามว่า “เป่ยเจี๋ยรู้หรือไม่?”

    หวางโฮ่วส่ายหน้าปนสะอื้น เนิ่นนานให้หลังจึงค่อยควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ เอ่ยปากถามว่า

    “หากป๋ายพิงถิงไม่ใช่ฆาตกร เช่นนั้นเรื่องที่ปล่อยให้เหอเสียส่งคนไปจับตัวนางจากไป จะจัดการเช่นไรดีเพคะ?”

    ตงหลินหวางไม่เอ่ยตอบ

    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สีหน้าบอกความขัดแย้งอย่างยิ่งยวด หมุนกายหันหลังให้หวางโฮ่ว เอ่ยเสียงหนัก

    “ป๋ายพิงถิงจะเป็นฆาตกรหรือไม่ เกี่ยวข้องใดกับเรื่องนี้อย่างนั้นรึ? ที่พวกเราใช้นางแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับเหอเสีย ก็เพราะไม่ต้องการให้โลหิตของทหารตงหลินต้องหลั่งไหลอย่างสูญเปล่า เกิดเป็นราชนิกุลตงหลิน มีเพียงความแค้นของชาติ ไร้ซึ่งความแค้นของบ้าน”

    หวางโฮ่วมองเงาหลังของสวามีด้วยสายตาเคารพเทิดทูน ไหล่อันกว้างหนานั้น คิดเพียงเพื่อตงหลินทั้งสิ้น ยิ่งใหญ่พอจะแบกพยุงผืนฟ้าเอาไว้ได้โดยแท้

    “เฉินเชี่ยเข้าใจแล้วเพคะ” หวางโฮ่วพยักหน้า “ไม่ว่าป๋ายพิงถิงจะถูกปรักปรำหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ คือทำให้กองทัพใหญ่ซึ่งบุกคุกคามประชิดชายแดนของตงหลินเราถอยจากไป กองทัพย่อยของฝ่ายนั้นน่าจะไปถึงเรือนเร้นกายได้ภายในคืนวันพรุ่งนี้ เจิ้นเป่ยหวางยังไม่ระแคะระคาย ทั้งยังต้องเฝ้าคุ้มครองทารกในครรภ์ของพระสนมลี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางกลับไปกลางคันได้โดยเด็ดขาด”

    เมื่อนึกถึงว่านางต้องมาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับเหอเสียซึ่งสังหารบุตรแท้ๆทั้งสองของนาง หัวใจก็ให้เจ็บปวดดั่งถูกบิด ตำแหน่งมารดาของคนทั้งชาตินี้ คนทั่วไปมีหรือจะเป็นได้?”

    “จริงสิ พูดถึงพระสนมลี่” ตงหลินหวางขมวดคิ้ว “เมื่อคืนหมอหลวงเข้ามารายงานว่า พระสนมลี่ได้รับความตระหนกจนทำให้ครรภ์ไม่เสถียรเล็กน้อย”

    หวางโฮ่วสะดุ้ง เพื่อที่จะรั้งตัวฉูเป่ยเจี๋ยเอาไว้ นางเองที่เป็นคนแสดงนัยต่อพระสนมลี่ว่ารอบด้านมีแต่เภทภัยดักซุ่มอยู่ ทั้งยังส่งคนไปชี้แนะให้พระสนมลี่ไปขอความช่วยเหลือจากเจิ้นเป่ยหวาง

    จากคุณ : Linmou - [ 12 เม.ย. 52 13:48:47 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com