ความคิดเห็นที่ 8
ขอเบรคมาเล่าเรื่องรถคันใหม่ของเราก่อนนิดนึง
ก่อนหน้าที่เราจะซื้อรถคันใหม่ เราขับรถมือสามเก่าๆ อยู่คันหนึ่ง เคยซ่อมช่วงล่างหมดเงินไปเกือบ 3 หมื่น ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้ขับมันมาเป็นปีๆ ตั้งแต่ปี 2549 เพราะพี่นัทเขาเอารถของเราไปใช้ พี่นัทขับรถคันเก่าของเรามาเป็นปีๆ จนช่วงล่างพังอีกครั้ง เพราะพี่นัทเอารถของเราไปขับตามโรงงาน ตามนิคมอุตสาหกรรม ที่ที่ถนนมันพังๆ ทำให้เราคิดหนักเรื่องการซ่อมช่วงล่างครั้งที่สองนี้ว่าควรหรือไม่ควร ขายทิ้งจะดีกว่าซ่อมไหม .. ขายทิ้งแล้วตัวเราเองจะเอารถที่ไหนใช้ล่ะ
เพื่อนๆ คงสงสัยว่า พี่นัทเขาก็มีรถแวน ทำไมพี่นัทเขาไม่ใช้รถแวนของเขา พี่นัทเขาเคยบอกเราว่า "รถแวนของเขามันเสีย มันยังซ่อมไม่ได้" คือมันเสียมานานเป็นเกือบ 2 ปีเลยแหละ .. เขาไม่เคยใช้รถแวนของเขาเลย
จนสุดท้าย พี่นัทบอกให้เราไปขอเงินพ่อของเรา เพื่อซื้อคันใหม่ มานึกย้อนกลับไป แทนที่พี่นัทเขาเป็นสามีเรา เขาน่าจะเป็นคนหามาให้เรา แต่เรากลับต้องเป็นคนหาให้พี่นัทเขา แต่วันนั้นเราก็ไม่กล้าไปขอเงินพ่อของเราหรอก แต่งงานออกมาแล้ว เราไม่เคยคิดที่จะไปขออะไรจากพ่ออีก จนสุดท้ายเราก็เข้าไปขอยืมเงินดาวน์จากพ่อของเรา เพื่อจะมาดาวน์คันใหม่ เพราะเราซ่อมรถคันเก่าไม่ไหวแล้ว เทียบค่าซ่อมกับราคาขายทิ้งไม่คุ้มกัน .. แต่ว่าพ่อของเราก็ให้เงินดาวน์เรามาเลย ไม่ต้องยืมนะ
รถของเรา เราเป็นคนผ่อน แต่พี่นัทเป็นคนเอารถของเราไปใช้ตลอด เราแทบจะไม่ได้ขับรถของเราเองเลยตั้งแต่เราผ่อนรถคันนี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2551 จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2551
ก่อนที่เราจะซื้อรถคันนี้มา พี่นัทเขาก็พูดไปทั่วว่าเดี๋ยวจะเอาเงินเท่านั้นเท่านี้มาช่วยเราในส่วนนั้นส่วนนี้ และเรื่องจริงๆ แล้วพี่นัทไม่เคยช่วยเราเรื่องรถคันนี้เลยแม้แต่บาทเดียว
มาหลังๆ ช่วงต้นปี 2551 ที่เราซื้อรถคันใหม่มาแล้ว พ่อแม่ของพี่นัทเขาก็พูดขึ้นมาว่า พี่นัทเขาไม่ได้ใช้รถแวนเลย พี่นัทใช้แต่รถของเราทั้งคันเก่า จนขายรถเราคันเก่าไป และ ก็ยังมาใช้รถของเราคันใหม่ของเราอีก พ่อแม่ของพี่นัทบอกว่า พี่นัทมาขอเงินทีละหมื่นสองหมื่น บ่อยๆ บอกว่าจะไปซ่อมรถแวน เห็นบอกว่าเอาไปซ่อมรถ ซ่อมมาเป็นปีๆ ไม่เห็นซ่อมเสร็จสักที และไม่ได้เห็นรถแวนมานานแล้ว ..
แล้วพ่อแม่ของพี่นัทจะเห็นรถแวนได้ยังไง ก็ในเมื่อพี่นัทเขาไม่ได้เอารถแวนไปซ่อม ไม่ได้เอารถแวนออกไปขับ จอดทิ้งเอาไว้เฉยๆ พี่นัทเขาขอเงินพ่อแม่บ่อยๆ เอาไปทำอะไรที่ไหน ไม่มีใครรู้ พี่นัทไปเอาเงินพ่อแม่ของเขามาแต่ไม่ได้เอามาซ่อมรถแวน แต่แน่นอนว่า พี่นัทไม่ได้เอาเงินพวกนั้นมาให้เราใช้แน่ๆ
แม่ของพี่นัทเขาก็มาว่าเราอีก .. แม่ของพี่นัทเขาว่า เราเอารถแวนคันที่พี่นัทขับอยู่ไปขาย แล้วเอาเงินมาดาวน์รถคันใหม่คันนี้ของเรา เราไม่รู้ว่าแม่ของพี่นัทเขาคิดได้ยังไง ทั้งๆ ที่เราก็เคยบอกไปแล้วว่ารถคันใหม่ของเราคันนี้พ่อเราเป็นคนออกเงินดาวน์ให้ 150,000.- เรายังจำได้เลยว่าวันที่เราบอกไปวันนั้น แม่ของพี่นัทยังทำหน้าทำตาประหลาดๆ ใส่เรา แล้วยังว่าแดกดันเราเลยว่า "ดาวน์แค่ 150,000.- น้อยเน๊อะ" เราเองยังนึกอยู่ในใจเลยว่า รถราคาคันละ 540,000.- จะให้เราวางดาวน์แค่ไหนถึงจะเรียกว่าเย๊อะของแม่พี่นัทเขา
ตัวเราเองไม่เคยมีความคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับรถแวนคันนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะครึ่งแรกพี่นัทเป็นคนผ่อน ส่วนครึ่งหลังแม่ของพี่นัทเป็นคนผ่อน เพราะตอนนั้นพี่นัทเขาตกงาน เราไม่ยุ่งด้วยกับเรื่องการผ่อนรถแวนคันนี้ เพราะว่าช่วงปี 2539-2541 นั้น เงินเดือนของเราน้อยมากแค่ 8,300.- ตามที่เล่าไว้ข้างต้น เราไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยทางพี่นัทเขาผ่อนรถแวนคันนี้ได้ และตัวเราเองก็มีแอบๆ ผ่อนดาวน์บ้านของเราหลังนี้มาก่อนหน้าที่พวกเขาจะมีแผนซื้อรถแวนคันนี้กัน ตอนนั้นเรายังไม่มีรถของเราเองเลย เราไปทำงานหรือไปไหนมาไหนเราก็ขึ้นรถเมล์แล้วก็เดินไปกลับเอง แม่ของพี่นัทเขาต่างหากที่เขาใช้รถแวนคันนี้อยู่ตลอดเวลา
อีกอย่างนึง รถแวนคันที่พี่นัทเขาขับอยู่นั้น แม่ของพี่นัทเขาให้โอนเป็นชื่อของแม่พี่นัทเขาไปแล้วตอนที่ผ่อนเสร็จ เราจะเอารถแวนไปขายได้ยังไง ในเมื่อชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของแม่พี่นัทเขา เรางงกับความคิดที่ความโง่เง่าเต่าล้านปีของคนบ้านนี้จริงๆ เลย
แล้วพี่นัทเขาก็มามั่ว ยึดเอารถของเราไปใช้ตลอด ตั้งแต่คันเก่ายันคันใหม่ ร่วมเกือบ 2 ปี อ้างว่าใช้รถคันเดียวประหยัดค่าใช้จ่าย พี่นัทเขาอาสามารับมาส่งเราไปกลับที่ทำงานทุกวัน (หลังหย่ากันมานั่งคิดว่าพี่นัทเขาสร้างภาพให้มันดูดีในสายตาคนอื่นหรือเปล่าที่มารับมาส่งเราทุกวัน) .. จริงๆ แล้วตัวเราเองขับรถวันหนึ่งไม่เกิน 25 กิโลเมตร ถ้าไม่ออกนอกเส้นทาง ค่าน้ำมันเดือนหนึ่งไม่ถึงสองพัน เราก็จ่ายของเราเองได้ ซื้อความสบายที่ไม่ต้องต่อรถสามสี่ต่อ และเราต้องหิ้วคอมพิวเตอร์ไปกลับด้วย แต่สุดท้ายเราก็ต้องมานั่ง Taxi อยู่ดี มันช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายตรงไหน เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
พี่นัทเอารถของเราไปรับไปส่งใครต่อใคร เวลาเราเลิกงานพี่นัทเขาก็ชอบผิดเวลามารับเรากลับบ้านช้า พี่นัทก็จะบอกกับเราว่าไปส่งคนที่ทำงาน คนนั้นคนนี้ขอติดรถ ติดลูกค้า หรือแม้กระทั่ง "ลืมมารับเรา" .. เราต้องนั่ง Taxi กลับบ้านเอง ไปธุระไหนต่อไหนเองบ่อยมาก ทั้งๆ ที่เราเป็นคนผ่อนรถ แต่เราต้องไปใช้บริการ Taxi เวรกรรมของเราแท้ๆ เรานี่มันโง่เน๊าะ
วันไหนมีซื้อของใช้เข้าบ้าน เราก็ต้องหอบทั้งคอมพิวเตอร์ ทั้งของใช้ที่ซื้อมาให้วุ่นวายไปหมด จนแม่ของเราทนดูไม่ไหว .. ถามเราว่า "รถแกมี ทำไมแกไม่ใช้รถแก มานั่งแท๊กซี่ มอเตอร์ไซด์อยู่ได้ หลังแกก็ไม่ดี เดี๋ยวก็เดินไม่ได้เข้าโรงพยาบาลอีกหรอก" เราก็ได้แต่ตอบตามที่เรารู้ว่ารถแวนมันเสียอยู่ว่า "รถพี่นัทเขาเสีย เขาต้องใช้รถออกไปหาลูกค้า เขาไม่มีรถใช้งานน่ะแม่"
มีอยู่วันหนึ่ง เจ้านายของเรามีพิธีมีตั้งศาลพระพรหมที่ site งานก่อสร้างแถวดอนเมือง เราต้องไปช่วยงานที่นั่น ทางไปก็เปลี่ยว และเราต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสามเพื่อไปช่วยเตรียมของก่อนฤกษ์ เราขอให้พี่นัทเขาไปส่งเราหน่อย เพราะเราไม่รู้ถนนหนทางด้วย พี่นัทเขากลับพูดกับเราว่า "รถใคร ใครก็ขับไปเองซิ" แต่วันนั้นพี่นัทเขาก็ยังอุตส่าห์ฝืนใจนั่งไปเป็นเพื่อนเราในวันนั้นนะ ไปแบบหน้าตาไม่รับแขกแบบนั้นแหละ ..
"รถใคร ใครก็ขับไปเองซิ" คำพูดนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก คำพูดนี้พี่นัทพูดกับเราบ่อยมาก เวลาที่เราจะไปไหนมาไหนกับพี่นัทแล้วต้องใช้รถของเราขับออกไปข้างนอกด้วยกัน พี่นัทก็จะพูดคำนี้ เขาไม่ขับให้เรา
ทีเราจะใช้รถ ขอความช่วยเหลือจากพี่นัท พี่นัทเขามาพูดแบบนี้กับเรา พี่นัทเขาจิตใจคับแคบกับเรามากขึ้นทุกวัน ทีพี่นัทเขาเอารถของเราไปใช้ตะบี้ตะบันรับส่งใครต่อใครก็ไม่รู้ เขากลับมีน้ำใจให้คนอื่นได้มากมาย ถึงไหนถึงกัน
พี่นัทเขาไม่ได้ดูแลเรามานานมากแล้ว แม้แต่วันที่เราต้องไปผ่าตัดช๊อคกะแล็ทซีส เมื่อต้นปี 2547 เราเองยังต้องขับรถไปผ่าตัดของเราเองตัวคนเดียวเดี่ยวๆ เลย .. พี่นัทเขาบอกเราว่าเขาติดงาน .. ซึ้งน้ำใจ แต่ก็ขอบคุณนะที่ยังอุตส่าห์ไปรับเรากลับออกจากโรงพยาบาล
แต่หากถ้าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของพี่นัทเขาเดือดร้อนหรือมีเรื่องให้ช่วย พี่นัทเขาจะรีบไปทำไปเดินเรื่องให้ในทันที เช่น รถคันเก่าของเราน้ำยาแอร์หมด แล้วพี่นัทเขาก็ใช้รถของเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน ปล่อยให้น้ำยาแอร์หมดเป็นเดือนสองเดือนพี่นัทเขายังก็ไม่เอาไปทำให้ บอกเราว่าไม่ว่างเอาไปทำไม่มีเวลา เราก็ห่วงว่าอุปกรณ์ตัวอื่นที่เกี่ยวข้องมันจะพาลเสียไปด้วย พอเราพูดมากๆ เข้า พี่นัทเขาก็ว่าเราเป็นคนใจร้อน แต่พอรถของเพื่อนพี่นัทเขาเป็นมั่ง พี่นัทเขารีบจัดการให้เสร็จเรียบร้อยยังไม่ทันจะข้ามวันเลย สมควรไหมที่เราจะเป็นคนใจร้อนของพี่นัทเขา
กับเรื่องในบ้านที่ต้องทำต้องแก้ไข พี่นัทเขาจะปล่อยปะ ผลัดวันเป็นเดือน ผลัดเดือนเป็นปี อย่างเรื่องกับอีแค่ฟิวส์ตัวละ 6 บาท พี่นัทเขายังไม่ยอมออกไปซื้อมาเปลี่ยน เรามารู้ทีหลัง หลังจากที่พี่นัทเขาขนข้าวของออกไปจากบ้านแล้วว่า พี่นัทเขาเอาสายไฟต่อตรงแทนฟิวส์เข้าไปเลย พอไฟช๊อต มีไฟไหม้ขึ้นมามันลุกติดสายไฟ ไฟฟ้ามันก็ไม่ตัด บ้านเราเกือบจะไฟไหม้แล้ว
เราเคยเจอเส้นผมของผู้หญิงคนอื่นบนรถของเราเอง มันไม่ใช่ผมของเราแน่ๆ เพราะเส้นผมของเราไม่ได้เหยียดตรง ไม่ได้เส้นเล็ก ไม่ได้เรียบลื่น อย่างที่เราเจอ .. พี่นัทเขายังว่า "จะผมใคร ก็ผมคุณน่ะแหละ" เราก็เฉยๆ ไม่อยากทะเลาะ เราเหนื่อย .. แล้วเบาะข้างคนขับที่เรานั่ง ก็จะถูกปรับถูกเลื่อนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงช่องแอร์ด้วย ถ้าคนที่เขามานั่งเบาะข้างคนขับเป็นแค่คนอาศัยขึ้นรถและแวะลงตรงไหนสักแห่ง คนๆ นั้นเขาคงจะไม่ทำตัวมารยาททรามๆ ถือวิสาสะมาทำกับรถของเราแบบนี้ จริงมั๊ย
จากคุณ :
Phat
- [
วันเถลิงศก (15) 15:52:55
A:58.9.64.87 X:
]
|
|
|