เรื่องสั้น
ดาวร้าย
เพทาย
เขาเป็นคนรูปหล่อแบบชายงาม ผิวคล้ำไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก
เขาเข้ารับราชการครั้งแรกเป็นพลทหารเกณฑ์ และรับราชการต่อเป็นนายสิบ
เขาย้ายจากหน่วยกำลังรบ แถวถนนวิทยุ เข้ามาเป็นเสมียนในหน่วยส่วนกลางแถวสะพานแดง
เขามีความรู้แค่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ ซึ่งเป็นระดับสามัญในสมัยนั้น
แต่เขามีลายมือที่สวยงามมากเหมือนคนโบราณ
เขาไม่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่เขาจะเขียนบันทึกข้อความ ให้นายลงชื่อด้วยลายมือของเขาทุกเรื่อง
ต่อมาเขาได้ไปช่วยราชการทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ที่สนามเป้า
เขาทำหน้าที่พนักงานกล้องโทรทัศน์ได้ดีเยี่ยม เพราะทำด้วยความรักจากจิตใจ
เหมือนศิลปินที่สร้างงานจิตรกรรม ประติมากรรม หรือดุริยางคศิลป์
ความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชาเหนือเขา ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับความชมเชยอยู่เสมอ
ในเวลาต่อมาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้กำกับเวที เขาก็ปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างหาคนเทียบได้ยาก
นอกจากงานประจำที่เขาทำด้วยความกระฉับกระเฉง ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างว่องไวทันเวลาแล้ว
เขายังประสานงานของเขากับ เจ้าของคณะละคร และผู้กำกับการแสดง ด้วยความสัมพันธ์อันดี
แล้วโอกาสก็มาถึงเขา เมื่อมีคณะละครโทรทัศน์สนใจ ที่จะมอบบทเล็ก ๆ ให้เขาทดลองแสดง
จากนั้นเขาก็ได้งานเสริมที่ถูกกับบุคลิกของเขาเป็นอย่างยิ่ง
เขาได้รับบทเป็นผู้ร้าย เหมือนกับผู้ร้ายรุ่นก่อนเขา ที่ไว้หนวดเรียวบนริมฝีปากทุกคน
เขาได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ หลายเรื่อง ที่เด่นดังในยุคนั้น
เช่น พิภพมัจจุราช หุ่นไล่กา เพื่อมาตุภูมิ และ ชุมทางชีวิต
ถึงแม้เขาจะก้าวไปไม่ถึงระดับดารานำ แต่ฝีมือการแสดงของเขา ก็ไม่ด้อยไปกว่าดาวร้ายที่ไว้หนวดทั้งหลาย
ถ้าจะเรียกเขาว่า ดาวร้ายรูปหล่อ ก็ไม่น่าจะเกินความจริงไปสักเท่าใดนัก
และเป็นธรรมดาของนักแสดงที่มีหน้าตาคมเข้ม และมีความสุภาพเรียบร้อย
ต่างจากบทบาทที่เขาแสดงในจอ ราวกับเป็นคนละคน
ย่อมจะต้องมีสาว ๆ มาเป็นแฟนมากกว่าหนึ่งคน
แต่เขาฉลาดพอที่จะเลือกสนิทสนมกับสาวที่ไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกัน
เธอเหล่านั้นจึงไม่ทราบเรื่องราวในแง่มุมอื่นเลย
เวลาผ่านมานับสิบปี จนเขาเกษียณอายุราชการ
ความเป็นนักกีฬาและนักเพาะกายของเขาก็ทรุดโทรมลง
โรคภัยเริ่มเข้ามาเบียดเบียนทีละเล็กละน้อย ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลที่ใกล้บ้านอยู่เสมอ
จนเวลาผ่านไปอีกสามปีหลังจากที่เขาเกษียณอายุ
อาการของเขา ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ น้ำหนักลด และอ่อนเพลียแทบจะไม่มีแรงเดิน
ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน
ก็ปรากฏผลว่าเขาเป็นโรคมะเร็ง มาถึงระยะสุดท้ายแล้ว
วันนั้นเขานอนนิ่งสงบ ผมบนศีรษะและหนวดบนริมฝีปาก ที่ขลิบเรียบร้อย ขาวโพลนตัดกับในหน้าของเขา ที่สวมแว่นสายตาอันเดิม ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว
ต่อหน้าญาติและเพื่อนสนิทของเขาหลายคนรวมทั้ง ผม ด้วย
หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ ผม ถามเบา ๆ ว่า
พี่คะ คนไหนคือภรรยาของเขา
ผมตอบว่าไม่ทราบ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเธอคงจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ยอมผิดศีลข้อสี่
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดเพื่อนเอ๋ย
ผมเอ่ยเบา ๆ ในขณะที่รินน้ำลงบนฝ่ามือขวาของเขา
แม้เขาจะไม่เห็น และได้ยินคำพูดของผมแล้ว
แต่ผมคิดว่า คงจะรับรู้ได้ด้วยญาณวิถีของเขา
ในความผูกพันระหว่างเพื่อน และแฟนทั้งหลายของเขา..........อย่างแน่นอน.
###########
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
18 เม.ย. 52 21:56:31
]