บทที่ 6
ฟ้าสางแล้ว ลมเหนือยังคงพัดกรรโชก เคราะห์ดีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นออกมาจากเบื้องหลังม่านเมฆจนได้ จึงค่อยมีความอบอุ่นอยู่บ้าง
พิงถิงเด็ดกลีบดอกเหมยได้เต็มไหแล้ว หญิงสาวตื่นแต่เช้าตรู่ลุกขึ้นมาใช้สุราส้าว น้ำตาลทรายขาว เกลือเม็ด และก้านผักเหมันต์ดองกลีบดอกเหมย จากนั้นหยุดมือ เอ่ยยิ้มๆ
เพิ่มหญ้าห้าหอม(๑)สดเข้าไปอีกอย่างน่าจะดีกว่านี้นะ
ข้าไปหยิบเองเจ้าค่ะ หงเฉียงไปหยิบหญ้าห้าหอมจากในครัวมาให้อย่างกระตือรือร้น นางดูพิงถิงทำงานง่วนอยู่พลางถอนหายใจชมว่า พิถีพิถันตั้งขนาดนี้ ต้องอร่อยมากแน่ๆเจ้าค่ะ นี่ทำเตรียมเอาไว้ต้อนรับหวางเยี่ยกลับมาโดยเฉพาะหรือเจ้าคะ?
จุ้ยจวี๋มีหรือจะมองจุดประสงค์ของหงเฉียงไม่ออก จึงปรายตามองมา แล้วพูดกลั้วหัวเราะ
รอจนทำเสร็จแล้ว เจ้าจะชิมสักนิดหน่อยก็ได้หรอกน่า
หงเฉียงหน้าบานทันที ปรบมือเข้าหากันเสียงดังสดใสหลายครั้ง แล้วถามต่อว่า
มีอะไรให้ช่วยอีกไหมเจ้าคะ?
เมื่อคืนพิงถิงชมจันทร์มาทั้งคืน แต่กลับดูแจ่มใสกระปรี้กระเปร่าดีไม่มีร่องรอยง่วงงุน หญิงสาวได้ยินหงเฉียงว่าดังนี้ก็สนองตอบโดยออกปากสั่งอย่างไม่เกรงใจจริงๆ
เจ้าไปที่มุมลานกวาดหิมะออกสักแถบหนึ่ง แล้วขุดหลุมเล็กๆบนพื้นดิน ดินที่ถูกหิมะกลบทับจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ พวกเราจะนำไหนี้ไปฝังลงในหลุมดินนั้น แล้วใช้ไฟรมครึ่งชั่วยาม ให้กลิ่นหอมของดินแทรกซึมเข้าไปในไห รอจนหวางเยี่ยกลับมา กึ่งกมลหอมพิสุทธิ์ไหนี้ก็จะเปิดผนึกได้ละ
จุ้ยจวี๋อ้าปากค้าง ก่อนจะจุปากพูดว่า
กึ่งกมลหอมพิสุทธิ์? กระทั่งชื่อยังเค้นสมองคิดเสียสุดฝีมือเชียวนะ ท่านอุตส่าห์ทุ่มเทใจถึงเพียงนี้ คนที่ได้ทานเจ้านี่นี่ช่างมีบุญน่าดูชม
พิงถิงเคืองอีกฝ่ายที่พอเริ่มสนิทกันเข้าหน่อยละฉวยโอกาสเย้าแหย่นางอยู่เรื่อย จึงขึงตาใส่ ขณะที่ดวงหน้านวลทอประกายขัดเขินอย่างห้ามไม่อยู่ ดูงดงามเย้ายวนจนจุ้ยจวี๋เห็นแล้วยังต้องตะลึง
หงเฉียงรับคำสั่ง ถือไม้กวาดออกจากประตูเรือนไป
พิงถิงอุ้มไหขึ้นมา เนื่องจากไหหนักไม่ใช่น้อย เมื่อช่วงเอวและแขนต้องออกแรงมากกะทันหัน เท้าจึงเสียหลักตัวเซถลา ทำเอาจุ้ยจวี๋ตกใจจนร้องอุทานลั่น รีบถลันเข้ามาช่วยรับแล้วเอ็ดว่า
ขืนเป็นแบบนี้อีกสักครั้งสองครั้ง ข้ามีหวังได้หัวใจวายเป็นแน่นะเจ้าคะ
จบคำก็แย่งไหมาอุ้มเอาไว้เสียเอง
หงเฉียงกวาดหิมะบนพื้นไปแถบหนึ่งเสร็จเรียบร้อย และกำลังถือพลั่วขนาดเล็กขุดหลุม ขุดอยู่เป็นนานสองนานก็ยังตักดินออกมาได้กองใหญ่เท่าตุ่มตาปลาเท่านั้น
จุ้ยจวี๋ถกแขนเสื้อขึ้น ให้ข้าลองบ้าง แล้วรับพลั่วมา
หลังจากออกแรงขุดอยู่นานจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก ก็ยังคงขุดได้อยู่แค่นั้น จุ้ยจวี๋จึงโวยออกมาด้วยความเคืองจัดอย่างอดไม่ได้
เจ้าดินบ้านี่ อย่าบอกนะว่าข้างล่างมันเป็นหินน่ะ?
เมื่อพิงถิงที่ยืนถูมืออยู่ด้านข้างมองสองสาวง่วนอยู่กับการขุดดินได้ยินเข้า ก็หัวเราะออกมาทันที
แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่เคยทำงานที่ต้องใช้แรงมาก่อน หน้าหนาวแบบนี้ ดินที่ถูกอากาศหนาวเย็นแช่แข็งก็ย่อมต้องแข็งมากเป็นธรรมดา เรี่ยวแรงของพวกเราไม่พอหรอก ดูท่าคงต้องเรียกองครักษ์สักคนมาช่วยขุดจึงจะได้
เรื่องนี้สบายมาก ข้าจะไปตามมาให้เองเจ้าค่ะ หงเฉียงสนิทกับพวกองครักษ์มากที่สุดแล้ว จึงรีบรับอาสาหน้าที่นี้ทันที
ขณะหันกายจะวิ่งจากไป ก็มีอันถูกจุ้ยจวี๋คว้าชายเสื้อด้านหลังเอาไว้และดึงกลับมาเสียก่อน
ไม่จำเป็นต้องไปเชิญแล้วล่ะ ดูสิ เดินมาโน่นคนหนึ่งแล้วไง
ทั้งสามต่างมองไปยังด้านนอกประตูของเขตเรือน ก็เห็นเงาคนเงาหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาจริงๆ ครั้นลองมองดูดีๆ ดูเหมือนจะเป็นม่อหราน จึงพากันชะเง้อคอรอคอย
หงเฉียงรอจนม่อหรานก้าวผ่านประตูเข้ามาในเขตเรือน ก็อ้าปากตะโกนร้องเรียกทันทีอย่างกระตือรือร้น
ท่านแม่ทัพฉู่เจ้าคะ...... เสียงตะโกนเพิ่งหลุดจากปากได้เพียงครึ่งเดียว ก็ต้องกลืนกลับลงท้องไปทันควัน เปลี่ยนเป็นหุบปากนิ่งอย่างรู้สถานการณ์
ผู้ที่เดินเข้ามาหาคือม่อหรานจริงๆ
ชายหนุ่มยังคงสวมชุดเดียวกับที่ได้เห็นเมื่อคืน ข้างเอวห้อยกระบี่ ดูแล้วปลอดโปร่งรัดกุม เตรียมตัวพร้อมสรรพทุกเมื่อ แต่สีหน้าของชายหนุ่มนี่สิ...มันปั้นยากเสียจนไม่อาจที่จะบรรยาย
ต่อให้ได้ทราบกะทันหันว่าทัพใหญ่ของศัตรูบุกมาประชิดชายแดน สีหน้าก็เห็นจะไม่ปั้นยากยิ่งไปกว่านี้แน่แท้
เพียงได้เห็นสีหน้าของม่อหราน แม้แต่รอยยิ้มของจุ้ยจวี๋กับพิงถิงยังพลอยผนึกค้างในบัดล
มีอะไรหรือ?
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ พิงถิงค่อยเอ่ยปากถามขึ้นในที่สุด
<>::<>::<>
ภายใต้สีหน้าสงบเยือกเย็นของม่อหรานซ่อนเร้นความตื่นตระหนกร้อนรนที่คนทั่วไปไม่สามารถมองออกได้ เนื่องจากไม่อยากให้พิงถิงต้องตื่นตกใจ ชายหนุ่มจึงสูดหายใจลึก หลังจากปรับความรู้สึกกระวนกระวายเนื่องจากตรวจพบวี่แววของลางร้ายจนสงบลง จึงค่อยกล่าวตอบเบาๆอย่างรวดเร็ว
เกรงว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขอรับ ที่นี่ไม่อาจรั้งอยู่ได้เสียแล้ว ขอเชิญกูเหนี่ยงตามข้ามาขอรับ
จากนั้นหันกายก้าวเดินออกไปได้สองก้าว แต่กลับพบว่าไม่มีใครเดินตามหลังมาสักคน พวกพิงถิงยังคงยืนนิ่งกันอยู่ที่เดิม จึงหันกลับมาขมวดคิ้วพูดว่า
เวลาไม่คอยท่า อย่ามัวเสียเวลาแล้วขอรับ
พิงถิงยืนนิ่งไม่ขยับ ลมเหนือเหมือนจะยิ่งเหน็บหนาวเสียดกระดูกกว่าเดิมอย่างปุบปับ หญิงสาวถูมือ เอ่ยกับม่อหรานว่า
เจ้าตามข้ามา จากนั้นหันกายเดินเข้าไปในตัวเรือน
ม่อหรานเห็นท่าทีหนักแน่นเยือกเย็นของนาง ก็อดตะลึงไม่ได้ นิ่งลังเลอยู่ชั่วแล่น ก่อนจะเดินตามหลังหญิงสาวไป
หงเฉียงกับจุ้ยจวี๋ต่างทราบดีว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ส่วนจะไม่ดีถึงขั้นใดนั้น พวกนางก็นึกไม่ออกเช่นกัน เนื่องจากทราบดีว่าพิงถิงต้องการคุยกับม่อหรานเพียงลำพัง จุ้ยจวี๋จึงกระตุกแขนเสื้อหงเฉียง แล้วทั้งสองก็อุ้มไหที่ยังไม่ทันได้ฝังลงในดินเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง จากนั้นรอคอยด้วยความกระวนกระวาย
หลังจากก้าวเข้าไปในตัวเรือน พิงถิงก็นั่งลงบนเก้าอี้ นัยน์ตาทอประกายอยู่วูบวาบโดยไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร มือประคองถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา รอจนสัมผัสริมฝีปาก ค่อยทราบว่าน้ำชาเย็นเฉียบ จึงวางกลับลงบนโต๊ะดังเดิม แล้วเอ่ยปากถามเบาๆ
คนที่หวางโฮ่วส่งมาหรือ?
ม่อหรานตะลึงลานอีกครั้ง
เรื่องที่หวางโฮ่วส่งยอดฝีมือมาเร้นกายดักซุ่มในละแวกใกล้เคียงนี้ ฉูเป่ยเจี๋ยไม่เคยแพร่งพรายออกจากปากมาก่อน
ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่าย
พิงถิงยิ้มเฝื่อนๆ ไม่ต้องบอกก็คาดเดาได้ ความแค้นที่สังหารเลือดเนื้อเชื้อไข มีหรือจะลืมได้โดยง่ายดาย หวางเยี่ยไม่อนุญาตให้ข้าไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ทั้งยังออกเดินทางเพียงลำพัง หากแค่ทิ้งองครักษ์ทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่กระทั่งเจ้ายังไม่ยอมพาไปด้วย ในตงหลินอันกว้างใหญ่นี้ ผู้ที่อาจหาญตั้งประจันกับหวางเยี่ยและมีความแค้นกับข้า ยังจะมีผู้ใดอีกรึ? บอกมาเถิด สถานการณ์เลวร้ายมากเพียงใด
เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย ท่าทางเรียบเรื่อยได้สูญสลายไปจนสิ้น นัยน์ตาดำขลับทอแสงนุ่มนวลทว่าเปี่ยมด้วยประกายปราดเปรื่องเฉียบแหลม ทำให้ม่อหรานนึกขึ้นได้ในบัดดลว่านางเคยเป็นจอมทัพแห่งเป่ยม่อผู้กุมชะตาของแคว้นเอาไว้ในมือมาแล้ว
ม่อหรานนิ่งมองดวงหน้าหมดจดของหญิงสาวอย่างลึกซึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงไปตามตรง เอ่ยเบาๆว่า
เลวร้ายเสียจนไม่อาจเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ได้แล้วขอรับ องครักษ์สิบนายที่ส่งไปสืบข่าวบนเขาเมื่อคืนนี้ ไม่มีใครกลับมาเลยสักคน ข้ารอจนเช้าตรู่วันนี้ ก็รู้สึกว่าไม่ได้การเสียแล้ว จึงส่งคนไปตรวจดูยังที่ซึ่งพวกยอดฝีมือที่หวางโฮ่วส่งมาซุ่มตัวอยู่ จะได้สืบดูว่าพวกนั้นมีความเคลื่อนไหวผิดปกติใดหรือไม่......
องครักษ์กลุ่มนี้คงไม่กลับมาเลยสักคนอีกเหมือนกันกระมัง พิงถิงเอ่ยแทรกเสียงเรียบ แล้วถอนหายใจ ขมวดคิ้วกล่าวว่า เช่นนี้แปลว่า ภูเขาลูกนี้คงจะถูกล้อมเอาไว้เสียแล้ว ในมือของหวางโฮ่วมีทหารมากถึงเพียงนี้?
ป๋ายกูเหนี่ยง สถานการณ์เร่งด่วน โปรดติดตามข้าไปที่ด้านหลังเขาในทันทีเถิดขอรับ ม่อหรานกล่าวอย่างร้อนใจ ด้านหลังเขามีที่พักสำหรับซ่อนกายที่หวางเยี่ยเตรียมเอาไว้อยู่ เป็นที่พักซึ่งเตรียมเอาไว้สำหรับป้องกันเหตุฉุกเฉิน คนทั่วไปยากยิ่งจะหาพบได้ เรือนเร้นกายนี้เป็นเป้าหมายที่ใหญ่เกินไปขอรับ
พิงถิงมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยปากถามเนิบๆ
ที่นี่มีทหารองครักษ์แค่กองเดียวเท่านั้น ต่อให้บวกเจ้าเข้าไปด้วย ก็ไม่มีทางสกัดขวางกองทหารทั่วทั้งภูเขาลูกนี้ได้แน่ กำลังของสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดินถึงเพียงนี้ เหตุใดทัพศัตรูถึงยังไม่ยอมเผยร่องรอยออกมาอีกเล่า?
ม่อหรานก้มหน้าลงไตร่ตรอง ก่อนจะผงกศีรษะขึ้นทันควัน ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
หรือศัตรูจะสืบรู้ตำแหน่งของที่ซ่อนตัวด้านหลังเขาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่รอให้พวกเราเดินเข้าไปสู่กับดัก?
หากฝ่ายศัตรูร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือละก็ จะทำอย่างไรกันดี?
คิดถึงตรงนี้ คิ้วของม่อหรานก็ขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม
พิงถิงไม่ได้ตอบคำถามนี้ หญิงสาวลุกขึ้นเลิกม่านประตูเปิดออก แล้วอิงกายกับกรอบประตู เงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะถามออกมาอย่างปุบปับ
ในเรือนเร้นกายเลี้ยงพิราบสื่อสารเอาไว้กี่ตัว?
ทั้งสิ้นสิบห้าตัวขอรับ ม่อหรานตอบ แล้วถามว่า ทำไมหรือขอรับ?
ปล่อยออกไปให้หมด ปล่อยไปให้ทั่วทุกทิศทางของเรือนเร้นกายแห่งนี้
น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ ทว่ามีพลังโน้มน้าวใจอย่างประหลาด ส่งผลให้ม่อหรานต้องทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว เอ่ยรับว่า
ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ
จุ้ยจวี๋เห็นม่อหรานจากไปอย่างรีบร้อน ก็รินน้ำชาร้อนจัดถ้วยหนึ่งยกเข้ามาให้ด้วยตัวเอง ครั้นเงยหน้าขึ้นจึงมองเห็นอย่างกะทันหันว่าพิงถิงยืนอิงอยู่ริมประตูแหงนหน้ามองฟ้า วันนี้หญิงสาวมัวง่วนอยู่กับการดองดอกเหมยไหนั้น จึงไม่ได้เกล้าผม ยามนี้เส้นผมยาวสลวยได้ทิ้งตัวลงอย่างอ่อนโยน ดวงหน้าทอประกายหม่นหมองอยู่เลือนราง ดูเศร้าซึ้ง ราวกับอยู่ห่างออกไปไกลเหลือเกิน ทำเอาจุ้ยจวี๋ใจหายวาบทันที ยื่นมือออกไปดันอีกฝ่ายเบาๆ ร้องเรียกว่า
ป๋ายกูเหนี่ยง?
จากคุณ :
Linmou
- [
19 เม.ย. 52 10:03:33
]