ลิ้งค์
บทที่1 - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7776095/W7776095.html#5
บทที่2 - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7779579/W7779579.html
บทที่3 - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7784130/W7784130.html
***************************************************************************************
บทที่4
คีตาใต้เงาจันทร์
ตอนที่1 บุปผาแย้มกลีบ
คี!
เจ้าของชื่อพลันสะดุดกึกกับจังหวะที่ก้าวเดินด้วยเสียงเรียก จึงจำต้องหยุดและหันมอง คิ้วบางได้รูปบนใบหน้าอ่อนเยาว์มีรอยขมวดด้วยนึกฉงน
เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ครั้นยังมีรูปร่างขนาดพอๆกันวิ่งตรงมา จนถึงระยะทางในระดับสายตาที่จะมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน คิ้วที่ขมวดด้วยนึกฉงนนั่นจึงคลายและหายไป รอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปากถูกคลี่ขึ้นมาแทนที่
สวัสดียามบ่าย คุณหนูทิชากร
คนถูกร้องทักหยุดหอบหายใจน้อยๆ อาคีราลอบยิ้มให้กับเพื่อนสาวตัวเล็กตรงหน้าที่มีความสูงไล่เลี่ยพอๆกับเธอ... ทิชากร เพื่อนสนิทที่แสนจะใจดี และใสซื่อ ท่าทางบอบบาง หล่อนเป็นลูกสาวท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างดีไม่ต่างจากที่บ้านของเธอเลย เรียนคณะเดียวกัน หากแต่เครื่องดนตรีต่างชิ้น ทว่าสาขาวิชาก็ยังตัวเดียวกันอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลง ทิชากรเล่นไวโอลีน ส่วนเธอเล่นเปียโน ถามว่ามาสนิทกันได้อย่างไร ก็คงจะเริ่มต้นที่วิชาประวัติศาสตร์ดนตรีกระมังที่เรียนเวลาเดียวกัน ห้องเดียวกัน มันเป็นความบังเอิญที่ลงตัวที่ทำให้ทำความรู้จักกันง่ายตรงที่ว่า เด็กสาวทั้งสองคนต่างชอบคีตกวีทางด้านดนตรีท่านเดียวกัน
โชแปง... คีตกวีที่ประพันธ์บทเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย จินตนาการอันลึกล้ำไม่รู้จบ ท่วงทำนองของบทเพลงที่คีตกวีท่านนี้ประพันธ์จะอ่อนหวาน... หวานจนกระแทกเข้าไปในความรู้สึก ทั้งคู่ไม่ได้มีความรู้สึกนี้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากนั้นมาการพูดคุยกัน ความเป็นกันเองซึ่งกันและกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ที่ต่างกัน... ก็คงจะเป็นเรื่องการเลี้ยงดู ตัวเธอน่ะมันเรียกได้ว่า เหมือนอยู่ในสนามรบ ส่วนทิชากรเป็นไข่ในหินที่ต้องทะนุถนอมไม่ให้บอบช้ำ นี่เป็นเหตุผลที่เธอชอบแกล้งนำหน้าเรียกเพื่อนสาวคนนี้ว่า คุณหนู ก่อนเสมอ แต่คำว่า คุณหนู ในความหมายของเธอไม่ได้หมายถึง คนที่มีฐานะร่ำรวย หรือสูงส่งมาแต่ปางไหน เพียงแต่คำว่า คุณหนู ของเธอ มันเป็น คุณ กับ หนู คนละคำต่างหาก ก็ดูรูปร่างเพื่อนสาวที่ทั้งตัวเล็ก และผอมบางเสียยิ่งกว่าอะไร น่าเอ็นดูเหมือนหนูจะตาย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ทิชากรก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เพื่อนที่เธอคบด้วยความจริงใจ ไม่มีเสแสร้ง แม้ต่างฝ่ายจะต่างไม่รู้ความนัยของกันและกันมากมายนักก็ตาม
เรียกเราว่าคุณหนูอีกแล้วนะคี เราไม่ใช่คุณหนูเสียหน่อย
เด็กสาวทำท่าค้อนใส่น้อยๆ อาคีราเสหัวเราะออกมานิดหนึ่งด้วยความเอ็นดูเพื่อนสาว
ก็ตัวเล็กเหมือนหนูนี่น่า หรือจะให้เรียกนกน้อยล่ะ... ทิชากร แปลว่านกนี่นะ คำพูดนั้นแกมหยอกล้อ แล้ววิ่งตามคีมาถึงนี่ มีเรื่องอะไรหรือ
ก็เรามีเรื่องจะถามคี สีหน้าหล่อนเต็มไปด้วยคำถาม
แปลก ทีตอนอยู่ด้วยกันในห้องเรียนเมื่อกี้ ไม่ถาม
ก็เราเพิ่งรู้เรื่องเมื่อกี้นี้
อาคีราส่ายหน้าขำๆ ถามพรุ่งนี้ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องอุตส่าห์วิ่งตามมาเลย ถ้าคีขึ้นรถกลับบ้านไปแล้ว มิตามไปถามคีถึงบ้านเลยหรือ
เธอหัวเราะออกมาเบาๆ อีกฝ่ายยังคงทำหน้าค้อน
เรารอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวหรอก เราอยากรู้น่ะ คีไม่เห็นบอกเราเลยว่า คีจะแสดงเปียโนที่อาจารย์กวินท์เป็นผู้จัดเดือนหน้านี้
สีหน้าของทิชากรมีรอยตื่นน้อยๆหากแต่ยังระคนค้อนเธออยู่ไม่คลาย อาคีราเลิกคิ้ว
ทำท่าเสียอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่เชียว แค่แสดงเปียโนเองนะ เป็นเรื่องธรรมดาของคนเล่นดนตรีที่มันต้องมีการแสดงบ้าง เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง แก้วเองยังเคยขึ้นโชว์ไวโอลีนเลยไม่ใช่หรือ
แต่เราไม่เคยขึ้นแสดงที่อาจารย์กวินท์เป็นคนจัดนี่น่า อีกอย่างเราไม่เคยเจออาจารย์เขาด้วย แต่ที่เรารู้แน่ๆก็คือ อาจารย์เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมาก เดิมทีอาจารย์เป็นศิษย์เก่าของมหาลัยเรา ทำชื่อเสียงทางด้านดนตรีเอาไว้เป็นที่เล่าขานกันรุ่นต่อรุ่น ใครไม่รู้จักก็แย่แล้วนะ
อาคีราเบิกตาค้างกว้างกับเรื่องที่ได้ยินนั่น ขนาดนั้นเชียว อะไร สอนกันมาเป็นสิบกว่าปี อาจารย์ไม่เห็นเคยบอกคีว่า ตัวเองโด่งดังในมหาลัยขนาดนั้น สงสัยถ้าเจอต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
เด็กสาวผงกศีรษะเบาๆด้วยเห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง ในขณะที่เพื่อนสาวของเธอดูจะมีสีหน้าตื่นตะลึงน้อยๆ
คีเรียนเปียโนกับอาจารย์กวินท์ด้วยหรือ ไม่เห็นเคยเล่าให้เราฟังเลยว่า เป็นลูกศิษย์คนดังขนาดนั้น
อาคีราขมวดคิ้ว ก็คีไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนักหนานี่ กับแค่เรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็ก แล้วใครเป็นคนสอน อีกอย่างคีไม่รู้ด้วยว่า อาจารย์ของคีจะโด่งดังในมหาลัยเราขนาดนั้น คีรู้แค่ว่า อาจารย์จบจากที่นี่ก็เท่านั้น เพิ่งรู้ความจริงจากปากแก้วน่ะล่ะ
เอาล่ะ เราไม่โกรธคีก็ได้เรื่องอาจารย์กวินท์ แต่เราว่าคีน่ะใจร้ายไปแล้วนะที่ไม่บอกเราว่า คีจะขึ้นแสดงเปียโนน่ะ อีกอย่างเดือนหน้าวันที่คีแสดง เราไม่ว่างด้วย ทิชากรทำสีหน้าสลด
โอ๋ๆ อย่างอนน่า คุณหนูทิชากร คีวุ่นกับเรื่องเพลงที่จะใช้แสดงไปหน่อยน่ะเลยไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่ความจริงไม่ต้องมาดูหรอก เพราะคีเล่นแค่แปปเดียวเอง ว่าแต่... แก้วไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน คีไม่ได้บอกใครนะ
ก็ทุกคนในคณะเขาพูดกันทั้งนั้นเลย หลังจากที่คีออกจากห้องเรียนไปแล้ว เขาว่ากันว่าได้ยินกันมาจากพวกอาจารย์อีกทีหนึ่งนะ แต่พวกนั้นเขาไม่ได้นินทาอะไรคีนะ มีแต่จะบอกกันว่า ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมคีถึงได้รับเลือกให้เล่นในงานแสดงของอาจารย์กวินท์
อาคีรานึกขำ ท่าทางนี่คงเป็นเรื่องตื่นเต้นในหมู่เพื่อนร่วมมหาลัยของเธอน่าดู แต่สำหรับเธอ กลับเป็นเรื่องปรกติ ก็ตั้งแต่เด็กแสดงเปียโนของอาจารย์กวินท์ผู้นี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
แล้วทำไมเขาถึงพูดกันอย่างนั้นล่ะ
ก็คีเก่งที่สุดในบรรดาเด็กปีหนึ่งนี่...
ทิชากรกล่าวด้วยน้ำเสียงเดียงสา อีกทั้งดวงตานั่นยังมีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีรอยขุ่นมัวใดๆให้ต้องหวาดระแวงการแสร้งกระทำ หรือลวงหลอก
คนถูกชมส่ายหน้า พลางหัวเราะ พูดเกินจริงไปแล้ว
ใครบอก เราพูดความจริงต่างหาก ใครๆเขาก็คิดอย่างนั้น ตอนสอบเข้าก็ได้คะแนนเป็นที่หนึ่งภาคปฏิบัติไม่ใช่หรือ...
แต่ทฤษฎีไม่ได้เรื่อง โคตรจะห่วยแตก
เธอเสริมขึ้นแกมขำขันตัวเอง... ให้เรียนปฏิบัติน่ะชอบ แต่ทฤษฎีนี่เป็นตัวปัญหาหนักในการเรียนดนตรี เธอไม่ค่อยสนใจทฤษฎี ไม่ใช่แค่ไม่สนใจ แต่แทบไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ จำได้ว่า เคยโดนอาจารย์กวินท์จับเรียนเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ดูเหมือนวิชาจะไม่เข้าหัวเลยสักนิด ที่รอดสอบทฤษฎีดนตรีมาได้ก็เส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนหน้านั้นก็ตะบี้จะบันทั้งท่อง ทั้งอ่านไม่รู้เท่าไหร่ ก็ที่ผ่านมาเล่นไปตามความรู้สึก เล่นตามที่หัวใจมันพาไป ไม่ชอบเล่นตามโน้ตเป๊ะทุกตัว เสริมเติมแต่งเองน่ะ บ่อย...
แหม นั่นมันเรื่องของทฤษฎีนี่น่า ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย แต่อย่างไรเราก็ว่า สำหรับเรา คีก็เป็นนักเปียโนที่เก่งที่สุดในมหาลัย
ทิชากรฉีกยิ้มกว้างด้วยความจริงใจ ระคนภาคภูมิใจในตัวเพื่อนสาว อาคีราส่ายหน้าเบาๆ คลี่ยิ้ม
เป็นแค่ คนเล่นเปียโน เองแก้ว ไม่ใช่ นักเปียโน ยังอีกไกลกว่าจะถึงจุดนั้น
ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็เราพูดไว้ก่อน เพราะมันต้องถึงแน่ๆอยู่แล้ว
รอยยิ้มบนดวงหน้าหม่นลงไปน้อยๆ ใจของเธอผุดคิดขึ้นมาว่า อาจทำให้เพื่อนคนนี้ต้องผิดหวัง เพราะเธออาจจะทำไม่ได้อย่างที่หล่อนมั่นใจ... ความมั่นใจที่เธอเคยมี มันใกล้สูญสลายไปหมดแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น... แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร จะสิ้นหวังหรือท้อแท้ไม่ได้ ไม่ใช่หรือ
ทิชากรเหลือบดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วก็ต้องโพล่งขึ้น อุ๊ย ตายจริง ถึงเวลาลุงคนขับรถมารับแล้ว... หล่อนอุทานบอกกับตัวเอง ก่อนหันไปหาเพื่อนสาว คี เราต้องไปก่อนนะ ไว้คราวหน้า ถ้ามีแสดงเปียโน คีต้องบอกเรานะ
อาคีราหัวเราะน้อยๆ ได้...
ครั้นแล้วทิชากรก็โบกมือลาให้ทีหนึ่ง ก่อนวิ่งลับสายตาไป อาคีรายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง เหลือบตามองยังฟ้าเบื้องบน ทอดถอนลมหายใจออกมา พลันก็ส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดบางอย่างที่สิงสู่อยู่ในจิตใจขณะนั้นให้ออกไป ก่อนมุ่งเดินทางกลับบ้าน
จากคุณ :
MeiDong
- [
24 เม.ย. 52 13:10:23
]