Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ เล่ม 2 บทที่ 7 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 7


    เหล่าองครักษ์ต่างตั้งขบวนเตรียมรับมืออย่างเคร่งเครียด เหล่าสาวใช้ต่างหุบปากเงียบดั่งจักจั่นหน้าหนาว เรือนเร้นกายอันใหญ่โตเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดในเวลาเพียงชั่ววัน ประกอบกับปราศจากเสียงขันคูของนกพิราบสื่อสาร ส่งผลให้ยิ่งเงียบสงัดดั่งสุสาน

    ไม่มีผู้ใดส่งเสียงไอ ไม่มีผู้ใดพูดเสียงดัง กระทั่งเดินไปมายังเขย่งเท้าย่องเดิน ด้วยเกรงว่าเสียงที่ดังเกินไปแม้เพียงนิด จะสะกิดให้ศัตรูที่รายล้อมอยู่รอบด้านพากันบุกมาโจมตีในพริบตา

    พิงถิงได้เข้ามานั่งในห้องหนังสือของฉูเป่ยเจี๋ยเป็นครั้งแรก

    หญิงสาวหยิบหนังสือที่วางซ้อนกันเป็นตั้งๆอยู่บนโต๊ะมาพลิกเปิดดูคร่าวๆไปหนึ่งรอบ ในเอกสารราชการมีตัวหนังสือเขียนอนุมัติของฉูเป่ยเจี๋ย หากพบเจอเรื่องขอยืดเวลาก่อสร้างหรือคลาดเวลาตามที่กำหนดไว้ของเรื่องใหญ่โตอย่างกองทัพหรือกิจแคว้น ข้อความที่ใช้จะเคร่งเครียดเย็นชาจนเห็นแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น หากพบเจอเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจของแคว้นหรือความเป็นอยู่ของทวยราษฎร์ ข้อความจะอ่อนโยนเรียบง่ายอย่างเห็นได้ชัด

    นานๆทีจะมีบ้าง 1-2 หน้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นบทกลอนที่ฉูเป่ยเจี๋ยเคยเขียนเอาไว้ในกาลก่อน ลายมืออันคุ้นเคย ทั้งมั่นคงและโลดทะยาน เหมือนดั่งตัวตนของเขาไม่มีผิดเพี้ยน

    มุมล่างสุดของหนังสือมีสีขาวโผล่ให้เห็นรำไร ไม่ทราบว่าคือสิ่งใดจึงได้ถูกผู้เป็นเจ้าของเก็บซ่อนเอาไว้อย่างระมัดระวัง พิงถิงดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาอย่างตาไว ตั้งสมาธิเพ่งมอง ปรากฏว่าคือภาพวาดที่วาดบรรยายอย่างเป็นระเบียบภาพหนึ่ง

    ภาพที่วาดดูประดุจมีชีวิต น้ำหนักพู่กันเหมาะเจาะทั้งหนักเบา

    มีต้นไม้ มีสระน้ำ มีหิมะ มีพิณ แล้วยังมีคนนั่งดีดพิณอีกหนึ่งคน สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ปล่อยให้สายลมโชยปอยผมดำขลับ 2-3 ปอยพัดพลิ้ว ดวงหน้าคลี่ยิ้มงดงามดั่งบุปผชาติ

    รอยยิ้มนั้นงดงามถึงเพียงนี้ งดงามเสียจนพิงถิงหัวใจสลาย...

    นิ่งเหม่อมองอยู่พักใหญ่โดยไม่อาจตัดใจเบนสายตาออกห่าง

    “ป๋ายกูเหนี่ยง ที่อยู่บนโต๊ะคือเอกสารราชการของเมื่อก่อนกับสิ่งของบางอย่างของหวางเยี่ยขอรับ แผนที่กับรายงานในระยะนี้ที่กูเหนี่ยงต้องการ ข้านำมาให้แล้วขอรับ”

    ครั้นได้ยินเสียงม่อหรานรีบเร่งตรงมาหา หญิงสาวจึงค่อยรั้งสติกลับคืนมาจากห้วงภวังค์แห่งความสุข และรีบพับเก็บภาพนั้น เดิมทีคิดจะสอดกลับเข้าไว้ที่เดิม แต่แล้วพลันชะงักงัน กัดฟันกรอด เปลี่ยนเป็นเก็บเอาไว้ในอกเสื้อของตัวเอง

    ยามเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ม่อหรานก็ได้หอบข้าวของกองใหญ่เข้ามาภายในห้องแล้ว

    “นี่คือสารลับลายพระหัตถ์ที่ต้าหวางส่งมาบัญชาให้หวางเยี่ยรีบกลับไปม่อเอินขอรับ” ม่อหรานคลี่กางสารลับสีเหลืองสว่างที่ชายมีพู่ระบายห้อยอยู่

    พิงถิงเริ่มอ่านตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด อ่านไปพลางเอ่ยไปพลางว่า

    “กองทัพพันธมิตรอวิ๋นฉางกับเป่ยม่อ? เจ๋ออิ่นได้จากไปแล้ว จอมทัพของเป่ยม่อคงไม่พ้นรั่วหานหรือเซินหรงสองคนนี้ ข้าคิดว่าโอกาสที่จะเป็นรั่วหานน่าจะมากกว่าเล็กน้อย แต่อวิ๋นฉาง......” ชื่ออันคุ้นเคยชื่อหนึ่งปรากฏแก่สายตา ส่งผลให้ถึงกับหน้ามืดไปชั่ววูบ

    หญิงสาวรีบกะพริบตา แล้วตั้งสติมองดูใหม่อย่างถี่ถ้วน ก็ยังคงเป็นชื่อที่คุ้นเคยเสียจนเสียดแทงใจชื่อนั้นอยู่เช่นเดิม...ถูกเขียนลงบนผ้าต่วนนี้อย่างชัดเจน

    หัวใจปวดแปลบดั่งถูกทิ่มแทงในบัดดล

    พิงถิงหน้าซีดขาว ค่อยๆนั่งกลับลงบนเก้าอี้ ถามอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ

    “เหอเสียถูกกุยเล่อหวางตามล่าไปทั่วทิศ แล้วจะมานำทัพอวิ๋นฉางคุกคามชายแดนตงหลินได้อย่างไร?”

    ม่อหรานอดกระอักกระอ่วนใจไม่ได้ อธิบายว่า

    “เหอเสียได้สมรสกับองค์หญิงเย่าเทียน กลายเป็นพระชามาดาของอวิ๋นฉาง กุมอำนาจคุมทัพของอวิ๋นฉางแล้วขอรับ ข่าวนี้ทั่วหล้าล้วนทราบกันดี เพียงแต่ในเรือนเร้นกาย......หวางเยี่ยบอกว่าป๋ายกูเหนี่ยงกับเหอเสียไม่มีความเกี่ยวข้องใดต่อกันอีก จึงไม่จำเป็นต้องให้กูเหนี่ยงได้ทราบขอรับ”

    ชายหนุ่มลอบมองอีกฝ่าย ดวงหน้าเผือดสีซีดขาวดั่งหิมะ

    ...เช่นนี้นี่เอง...

    ...เหอเสียแต่งงานแล้ว...

    ...ภรรยาของเหอเสีย คือองค์หญิงแห่งอวิ๋นฉาง...

    ...เหอเสียได้ใช้ประโยชน์จากการแต่งงานแสวงมาซึ่งต้นทุนก้อนใหญ่มหาศาลก้อนแรกเป็นผลสำเร็จ...

    ...ที่แท้...เขายังคงไม่ยอมละเว้นนาง...

    ...หรือก็คือ...เขาไม่ยอมละเว้นฉูเป่ยเจี๋ย...

    เงื่อนงำทุกอย่างได้กระจ่างแจ้งแล้ว พร้อมด้วยความปวดร้าวและกังวลอย่างลึกล้ำ แม้นเฉลียวฉลาดสักเพียงใดก็ไม่อาจคลี่คลายปมที่รัดพันใจได้

    พิงถิงไม่เอ่ยคำ ม้วนเก็บสารลายพระหัตถ์ของตงหลินหวางอย่างเงียบงัน แล้ววางไว้ด้านข้าง ก่อนจะขยับริมฝีปากเอ่ยว่า

    “การศึกที่ชายแดนจะไม่มีการปะทะกัน”

    ม่อหรานถามอย่างประหลาดใจ “กูเหนี่ยงทราบได้อย่างไรขอรับ?”

    พิงถิงส่ายหน้าน้อยๆ “เป็นเพราะเหอเสียได้มาที่นี่แล้ว จอมทัพของฝ่ายที่มารุกรานชายแดนไม่ได้อยู่ในสนามรบ แล้วจะเกิดการปะทะกันได้อย่างไร?”

    ม่อหรานหน้าเปลี่ยนสี พูดเสียงหนัก

    “กูเหนี่ยงอย่าล้อเล่นสิขอรับ ที่นี่อยู่ภายในเขตแดนของตงหลิน หากเหอเสียเข้ามาได้ถึงที่นี่ มิเท่ากับว่าตงหลินพ่ายแพ้แล้วหรือขอรับ?”

    “จะไปมีแพ้ชนะได้อย่างไร? ก็แค่การแลกเปลี่ยนที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้เปรียบเท่านั้น หากไม่มีตงหลินหวางออกคำสั่งปล่อยให้เคลื่อนทัพมาได้ตลอดทาง เหอเสียมีหรือจะสามารถนำทัพมาคุกคามเรือนเร้นกายแห่งนี้ได้?” พิงถิงยิ้มขื่น โงนเงนลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้

    ...ฝ่ายตรงข้าม กลับเป็นเหอเสียเสียได้...

    ยอดขุนพลแห่งยุคที่เรืองนามทัดเทียมกับฉูเป่ยเจี๋ย กาลก่อนก็เป็นเพราะมีเขาอยู่ ตงหลินถึงได้ไม่กล้ายกทัพใหญ่บุกเข้าตีกุยเล่อ ฉูเป่ยเจี๋ยถึงต้องทุ่มเทสมองคิดแผนการยุแยงให้วังจิ้งอานหวางกับกุยเล่อหวางแตกแยกกัน บีบให้เหอเสียต้องไปจากกุยเล่อ

    เหอเสียคิดการละเอียดรอบคอบ เมื่อลงมือจะต้องวางกับดักครอบคลุมหมดทุกด้าน จวบจนศัตรูมีอันตกลงสู่กลางวงล้อมโดยไม่รู้ตัว จึงค่อยดำเนินการโจมตีอย่างรวดเร็วดุดันในนาทีสุดท้าย โดยไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูสามารถเล็ดลอดไปได้แม้แต่น้อยนิด

    มาบัดนี้ วิธีการสายฟ้าแลบของเหอเสีย ได้ถูกนำมาใช้กับป๋ายพิงถิงเข้าให้แล้ว...

    ในใจของพิงถิงขมขื่นเสียจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ริมฝีปากกลับเค้นรอยยิ้มเย็นชาให้ผุดขึ้น

    “แผนที่กับของอื่นๆพวกนี้จงเอากลับไปให้หมดเถิด ไม่จำเป็นต้องดูแล้ว หากมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน พวกเรายังพอจะเหลือหนทางให้ดิ้นรนได้บ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่มีหนทางชนะแม้แต่เศษเสี้ยวเสียแล้ว”

    นัยน์ตาเย็นชาเหลือบมามองม่อหราน ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่นเยือกเย็น

    “แม้ไม่มีหนทางชนะ แต่พวกเราก็ไม่แน่ว่าจะต้องพ่ายแพ้”

    ไม่สนใจสีหน้างุนงงของม่อหราน พิงถิงก้าวออกจากห้องหนังสือ เดินลงบันไดไป(๑)


    <>::<>::<>


    หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังประตูใหญ่ของเรือนเร้นกายได้ครึ่งทาง ก็ไม่ทราบว่าคิดอะไรขึ้นได้ ฝีเท้าค่อยๆทอดช้าลง นิ่งคิดอยู่ชั่วแล่น แล้วเหมือนจะเปลี่ยนใจ หันกายเดินกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง

    จุ้ยจวี๋กับหงเฉียงกำลังรออยู่อย่างกระวนกระวาย ครั้นเห็นพิงถิงเดินตรงมา ก็รีบออกจากห้องข้างเข้าไปรับหน้า แต่กลับไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไรดี

    พิงถิงมองทั้งสอง ทราบดีว่าแม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจของทุกคนต่างร้อนรน กระนั้นนางก็ไม่มีเวลาจะมาปลอบใจ ได้แต่ถามออกไปว่า

    “ที่นี่มีใครมีชุดกระโปรงสีแดงเข้มบ้าง?”

    “ข้ามีตัวหนึ่งเจ้าค่ะ” หงเฉียงตอบ

    “รีบไปนำมาเร็วเข้า” พิงถิงก้าวเข้าไปในตัวเรือน แล้วหยิบหวีขึ้นมาถือไว้ในมือ หวีเรือนผมดำขลับอย่างประณีต จนเส้นผมเป็นเงางามบาดใจดุจสายน้ำตก

    จุ้ยจวี๋เห็นนางคิดจะเกล้าผม ก็เดินเข้ามาหา

    “ข้าจะช่วยเจ้าค่ะ” จบคำก็ทำท่าจะรับหวีไป

    พิงถิงส่ายหน้า “ข้าจะเกล้าเอง”

    หญิงสาวส่องกระจก ค่อยๆแบ่งเรือนผมออกเป็นสองส่วน วนรอบนิ้วมือขึ้นไปทีละรอบๆ เพียงครู่เดียวก็ร้อยรัดกันเป็นวงสีดำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนดอกไม้

    พิงถิงส่องกระจกดูด้านข้าง แล้วส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะปล่อยมือให้เรือนผมดำขลับทิ้งตัวลงมาอีกครั้ง

    หงเฉียงหยิบกระโปรงสีแดงเข้มตัวที่บอกไว้มาถึงในเวลานี้พอดี นางยื่นกระโปรงมาตรงหน้าพิงถิงพร้อมกับถามว่า

    “สีแดงเข้มมีแต่ตัวนี้ตัวเดียวเจ้าค่ะ แต่นี่เป็นชุดเอาไว้ใส่ตอนหน้าร้อน บางมากเลยนะเจ้าคะ”

    “ใช่สีนี้แหละ” พิงถิงรับกระโปรงมา ลองลูบเนื้อผ้าดู ปรากฏว่าเนื้อผ้าบางมากจริงๆ “ช่วยข้าเปลี่ยนมาสวมชุดนี้หน่อยนะ”

    “อากาศหนาวออกอย่างนี้ ใส่ชุดบางแบบนี้จะได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” จุ้ยจวี๋ขมวดคิ้ว “ข้ามีชุดสีม่วงแดงอยู่ตัวหนึ่ง ถึงสีจะไม่ค่อยเหมือนกันนัก แต่ก็อุ่นกว่าตัวนี้”

    พิงถิงยืนกรานหนักแน่นว่า

    “ต้องใช้สีนี้เท่านั้น”

    คิ้วหญิงสาวเลิกขึ้นเล็กน้อย กลับส่งผลให้ผู้ที่ได้เห็นไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของนาง และได้แต่ยอมช่วยนางเปลี่ยนชุดแต่โดยดี

    หิมะยังคงตก แม้จะอยู่ภายในตัวเรือน แต่เมื่อถอดเสื้อแนบเนื้อชั้นในตัวหนาออก พิงถิงก็ยังต้องสั่นยะเยือกไปหลายครั้ง จุ้ยจวี๋รีบหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ขลิบขนสัตว์ตรงชายมาห่อตัวพิงถิงเอาไว้

    พิงถิงมองอีกฝ่ายอย่างขอบคุณ กล่าวเบาๆ

    “ข้ายังต้องเกล้าผมต่อ”

    พิงถิงนั่งพยายามเกล้าผมที่หน้ากระจกอยู่พักใหญ่โดยไม่ยอมให้หงเฉียงและจุ้ยจวี๋เข้ามาช่วย นิ้วทั้งสิบจับผมตรงโน้นทีตรงนี้ที จากนั้นค่อยๆใช้ปอยผมเล็กม้วนเป็นดอกไม้สีดำเล็กประณีตทีละดอกๆ ส่วนเส้นผมสองข้างศีรษะถูกหวีเรียบแนบศีรษะ ทิ้งตัวลงระลำคอระหงอย่างอ่อนโยน ขับเน้นผิวขาวผุดผ่อง งดงามตราตรึงใจถึงที่สุด

    หงเฉียงนิ่งมองเงียบๆอยู่ด้านข้าง ถอนหายใจพูดว่า

    “ถึงจะสวยดี แต่ก็ยุ่งยากมากเกินไป แล้วกูเหนี่ยงก็ยังอุตส่าห์เกล้าออกมาได้อีกนะเจ้าคะ หากเปลี่ยนเป็นข้าละก็ คงไม่ทราบว่าต้องเกล้าอยู่นานแค่ไหน”

    จากคุณ : Linmou - [ 26 เม.ย. 52 08:27:54 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com