Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เรื่องเล่าสยองของข้าพเจ้า ตอน ผีที่อินเดีย (ภาคสอง เสียงในความมืด)

    ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (หลอนครั้งแรก)
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7555350/W7555350.html
    ตอน ผีโพรงที่ลำตะคอง (ฝูงผีบุก)
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7561061/W7561061.html
    ตอน ผีทวงสมอง
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7569912/W7569912.html
    ตอน ช่วยด้วย
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7575674/W7575674.html
    ตอน หัวใคร ในทะเล
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7581096/W7581096.html
    ตอน ทำไมพี่ถึงไม่ช่วยผม!
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7589318/W7589318.html
    ตอน กลิ่น
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7650035/W7650035.html
    ตอน เขามาเตือน
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7630569/W7630569.html
    ตอน วิญญาณป่าที่เขาใหญ่
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7613807/W7613807.html
    ตอน เขามานำทาง
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7664958/W7664958.html
    ตอน เหงามั้ยจ๊ะ
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7689756/W7689756.html
    ตอน ผีถ้วยแก้ว
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7703708/W7703708.html
    ตอน ผีที่อินเดีย ตอนแรก
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7732635/W7732635.html
    ตอน เขา....มาเกาะที่ไหล่
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7754283/W7754283.html
    ตอน ท่อนแขนใครบนหาดทราย
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7784939/W7784939.html


    เรื่องที่ 17 ผีที่อินเดีย (ภาคสอง เสียงในความมืด)

    ครั้งก่อนเคยเล่าเรื่องผีที่อินเดียไปแล้ว คราวนี้จะเป็นการเล่าที่ออกจะตื่นเต้นกว่า เพราะเป็นเหตุการณ์ที่พี่ไปประสบพบเจอมาด้วยตัวเอง เรื่องมันยังไงน่ะเหรอ เขยิบเข้ามาอีกนิดสิ พี่จะแหกอกหลอก เอ๊ย....จะเล่าให้ฟัง

    ก่อนอื่นขออธิบายให้ฟังพอให้เข้าใจกันสักนิด การไปอินเดียวของพี่ จะเป็นการเดินทางสามครั้ง คือในปีแรกจะไปอินเดียโดยใช้เส้นทางเดิมคือนั่งเครื่องไปลงที่กัลกัตตาและแวะพักผ่อนอิริยาบถที่สวนสาธารณะวิคตอเรีย อ้อ ที่นี่พี่เพิ่งได้ชิมชาแขกเป็นครั้งแรก เขาจะใส่ถ้วยดินเผาขนาดเล็ก ดูเหมือนจะถ้วยละ 10 รูปี เป็นชาใส่นมเติมขิงผงนิดหน่อย อร่อยมาก(ตอนอ่านช่วยลากเสียงยาวๆหน่อย)

    จากนั้นเราก็ไปรับประทานอาหารค่ำและนั่งรถไฟไปลงที่สถานีคยาประมาณตีห้า มัคคุเทศก์นำรถปรับอากาศหรูมารับ เป็นระบบทันสมัยมากคือหากร้อนก็เปิดแอร์ ถ้าหนาวก็ปิดอย่างเดียว ไม่มีหรี่ ลด กดเพิ่ม ขอบอกว่าการไปอินเดียอย่างมีความสุขจะต้องไปช่วงหน้าหนาว ซึ่งก็หนาวสะใจเพราะขนาดหกโมงเช้าอากาศยังขมุกขมัวเต็มไปด้วยหมอก พวกเรานั่งขดในรถเพื่อปรับสภาพร่างกาย หลังจากรถวิ่งไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงชาร้อนๆที่ดื่มในสถานีก็เริ่มออกฤทธิ์ แต่ละคนกระสับกระส่ายไปมาจนไกด์รู้ทัน เธอเดินไปบอกคนขับให้หาที่เหมาะๆเพื่อลูกทัวร์จะได้ลงไปปลดทุกข์

    อ้อ...ที่อินเดียไม่มีสถานีบริการน้ำมันมากมายเหมือนบ้านเรานะคะ ธรรมเนียมของคนที่นั่น การปลดทุกข์สามารถทำได้ตามทุ่งนาข้างทางโดยต้องไปไปเหยียบย่ำผลผลิตเขาจนเสียหาย หลังจากพยายามเสาะหาทำเลเหมาะๆในที่สุดเราก็พบทุ่งโล่งซึ่งมีหมอกหนาทึบ ทันทีที่รถจอดทุกคนก็กรูกันลงมาและแยกย้ายกันไปหามุมสงบเพื่อปล่อยอารมณ์

    พี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

    หลังจากเดินวนไปวนมาชั่วอึดใจพี่ก็เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ไม่รอช้าล่ะเดินดุ่ยๆเข้าไปทันทีเหลือแค่ไม่กี่ก้าวพี่ก็จะถึงที่หมายตาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาคนสองคนยืนอยู่ เขาทำท่าโบกไม้โบกมือให้พี่ไปที่อื่น พี่ก็รีบหมุนตัวและเดินไปอีกด้าน พอปลดทุกข์เสร็จก็รีบขึ้นรถ ทันทีที่ประตูปิดหมอกหนาก็ค่อยๆจางลง พี่หันไปมองต้นไม้ที่ตั้งใจจะไปปลดทุกข์ครั้งแรกเพราะสงสัยว่าตรงนั้นมีบ้านคนหรือยังไงกัน แต่พอเห็นทุกอย่างชัดถนัดตาพี่ก็ต้องนั่งอ้าปากค้าง เพราะที่โคนต้นไม้ที่ว่านั่น

    มีหลุมศพตั้งเรียงกันสองหลุม

    แล้วเงาคนที่เราเห็นนั่นล่ะ คืออะไร

    พี่นั่งถามตัวเองและถอนใจเพราะอย่างน้อยเขาก็ออกมาบอกเราดีๆว่า อย่าไปฉี่รดหัวเขานะ นี่ถ้ามากันแบบเห็นหน้าเห็นตากันจะจะ พี่คงวิ่งป่าราบแน่

    จากนั้นรถของเราก็วิ่งต่อไปยังรัฐพิหารซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเพื่อมุ่งหน้าไปยัง
    นาลันทา เมืองที่มีชื่อว่า เคยมีมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

    การเดินทางต้องผ่านเขาคิชกูฏ ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราจะต้องย้อนมาเที่ยวในวันรุ่งขึ้น ก่อนเข้านาลันทาเราจะต้องผ่านตำบลเล็กๆซึ่งพี่จำชื่อไม่ได้แล้วแต่ดูเหมือนจะอยู่ในเขตราชคฤห์ ที่นี่จะมีขนมเก่าแก่ซึ่งว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลชื่อ คาฉา (พวกพี่เรียกขาชา) ซึ่งเป็นขนมทอดอร่อยมากมีทั้งรสเค็มและหวาน น่าเสียดายไม่ความกรอบของมันแตกเป็นผงง่ายเพียงแค่กระทบนิดเดียว เลยไม่มีโอกาสหอบมาให้น้องๆที่เมืองไทยได้ชิมกัน

    คณะของพี่เข้าพักในวัดนาลันทา ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ โดยที่พักจะอยู่ในส่วนของอารามชีซึ่งอยู่ด้านในสุด อากาศที่เย็นจัดประกอบกับความเงียบทำให้ที่นี่น่าขนลุก หลังจากจัดเก็บข้าวของและนมัสการเจ้าอาวาสรวมทั้งพระลูกวัดและหัวหน้าแม่ชีแล้วพวกเราก็ออกไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และที่อื่นๆอีกสองสามแห่งและกลับมายังที่พักในเวลาเย็น เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปนอนโดยพี่พักกับแม่สองคนในห้อง และเพราะอากาศหนาว พี่เลยตกลงใจว่า วันนี้ขอล้างหน้าอย่างเดียวก็พอ

    ลืมเล่าเรื่องห้องไป ที่พักในนาลันทาดีตรงที่มีห้องน้ำในตัว แต่ละห้องจะมีสองหรือสามเตียง ห้องที่พี่พักมีขนาดเล็ก เตียงจะวางชิดหน้าต่างติดประตูและถัดเข้ามาด้านใน แม่พี่เลือกเตียงข้างที่ติดหน้าต่างซึ่งจะมีสวิทช์ไฟอยู่ที่ปลายเท้า (เป็นสวิทช์แบบเก่าคือเป็นเดือยแหลมๆกดขึ้นลงเพื่อเปิดปิด)

    ตกดึก พี่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเดิน ตอนแรกคิดว่าเป็นพระแต่นึกอีกทีไม่น่าจะใช่เพราะมันเป็นส่วนของอารามชี ซึ่งก็ไม่ใช่หัวหน้าแม่ชีอย่างแน่นอนเพราะเสียงที่ได้ยินจะเหมือนคนใส่รองเท้าแตะแล้วเดินลากเท้าตั้งแต่ห้องท้ายสุดมาจนถึงห้องพี่ ดังกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้งในที่สุดก็หยุด

    ค่ะ หยุดที่หน้าห้องพี่พอดี

    จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังกดสวิทช์ไฟเล่น

    ป๊อก แป๊ก ป๊อก แป๊ก

    ดังอยู่แบบนี้สองสามครั้ง ลืมตามองก็ไม่เห็นใครจนแม่ต้องลุกขึ้นมาจ้องและพูดเบาๆว่า

    “มาทำบุญ เหนื่อย อย่ามากวนกันเลย”

    เสียงที่ดังก็หายไป จากนั้นแม่พี่ก็ล้มตัวลงนอน ส่วนพี่น่ะเหรอ คลุมโปงสิคะ ถึงจะบ้าแต่ใจไม่กล้าพอหรอกค่ะ

    ตื่นเช้าขึ้นมาถามแม่ว่าเขาเป็นใคร แม่บอกเป็นคนที่นั่นน่ะแหละ เขาแค่มาดูว่าพวกเรากินอยู่กันสบายดีไหม ปลอดภัยกันดีหรือเปล่าเท่านั้น

    เฮ้อ.....ท่านหวังดีกับเรานั่นเอง

    */*/*/*/*

    ผีที่อินเดียยังมีอีกหลายเรื่อง แต่จะเป็นการพบแบบสั้นๆแว่บเดียว ดังนั้นเลยดูไม่ค่อยน่ากลัว แต่ตอนที่เจอต่อหน้า อารมณ์มันสยองมาก เพราะด้วยสภาพเมืองที่ไม่สว่างไสวเหมือนกรุงเทพค่ะ


    scottie-ไม่รู้ว่าเป็นแขนใครด้วยซ้ำค่ะ ตอนนั้นมีเรื่องแบบนี้บ่อยมาก

    Artasi@ กุลธิดา (kdunagin)-เวลาเจอชิ้นส่วนศพเขาห้ามวิจารณ์กลิ่นน่ะ เห็นว่าจะตาม ชายหาดตอนกลางคืนน่ากลัวจริงๆค่ะ ทั้งจากผีและคนด้วยกันนี่แหละ

    กุลธิดา (kdunagin)-อ๊ะ แบบนี้ก็รู้อายุกันหมดสิคะ ฮี่ๆ

    ZoXigEn_TonG_x_Zhi- ดีใจและขอบคุณมากๆค่ะที่ตามอ่านเรื่องชุดนี้

    beautystone-แหะๆ  

    โก้ (เซโก้4)-ตอนนั้นจำได้ว่าแค่ขนลุกแต่ยังไม่ได้คิดอะไร ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้คงเผ่นกลับกันตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะ = =

    หริชา (หริชา)-นั่งเขียนเรื่องสยองตอนกลางคืน บางทีก็เห็นเงาเดินลงมาจากชั้นสอง หรือเดินผ่านข้างหลังไปเหมือนกันค่ะ บรื๋ยยย

    KTH-จริงด้วยค่ะ อาศัยว่าพวกมากเลยยังไม่ค่อยกลัว

    คุณพีทคุง (พิธันดร)-ตอนนั้นพวกคนเรือค่อนข้างน่าเห็นใจค่ะ หนีภัยสงครามมาตายเสียเป็นส่วนใหญ่เหลือแต่ศพลอยมาติดฝั่ง

    Psycho man-ตอนนั่งเขียนก็เสียวสันหลังเหมือนกันค่ะ T.T

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 09:25:44

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 52 09:23:52

    จากคุณ : Moony_Lupin - [ วันแรงงาน 09:23:07 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com