บทที่ 8
ทั้งสองต่างลอบถอนหายใจ
ม่อหรานกล่าวว่า แม้เหอเสียได้รับปากว่าจะไม่เคลื่อนไหวก่อนวันหกค่ำ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี ข้าเห็นจะต้องไปปรับเปลี่ยนแก้ไขการจัดวางกำลังป้องกันภายในเรือนเร้นกายนี้สักหน่อยเสียแล้ว
จุ้ยจวี๋พยักหน้า ครั้นเห็นม่อหรานหันกายทำท่าจะเดินจากไป ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ อุทานดัง โอ๊ะ ออกมาเบาๆ ทำท่าจะพูดแล้วกลับชะงัก สุดท้ายก็ปล่อยให้ม่อหรานเดินจากไปโดยไม่ได้เรียกเอาไว้
กลับเข้ามาในห้อง หงเฉียงกำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก นางมีจิตใจตื้นเขินที่สุด ทั้งก่อนหน้านี้ยังได้รับความตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย เมื่อเห็นพิงถิงกับม่อหรานปลอดภัยกลับมา ก็นึกว่าสถานการณ์คับขันได้คลี่คลาย
ครั้นได้ยินเสียงม่านประตูแหวกเปิดออก หงเฉียงก็ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้เห็นว่าจุ้ยจวี๋กลับมาแล้ว ก็ยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเบาๆ
ชู่ว..... นิ้วชี้ไปที่ห้องด้านใน หลับตาลง พนมมือแนบแกมข้างหนึ่งพร้อมกับเอียงศีรษะเล็กน้อยในกิริยาบอกความหมายว่ากำลังนอนหลับ
จุ้ยจวี๋มองตอบนางด้วยสายตาบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะค่อยๆย่องเดินเข้าไปในห้องด้านใน ยื่นศีรษะเข้าไปมองเล็กน้อย
พิงถิงนอนอยู่บนเตียง มวยผมถูกปล่อยลงแผ่สยาย ปอยหนึ่งห้อยระอย่างอ่อนโยนลงมาตามขอบเตียง นางกำลังหลับตา ดูท่าทางคงจะหลับแล้ว
ตัวห่มผ้าห่มเนื้อหนา แต่หน้าต่างยังคงเปิดอยู่ ลมหนาวพัดกรูเข้ามา
จุ้ยจวี๋พูดเบาๆ นิสัยเสียนี้ไม่ยอมแก้สักทีสิน่า
เดินแผ่วเบาไปถึงริมเตียง ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง ยังไม่ทันได้แตะถูกหน้าต่าง ก็พลันได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากด้านล่างว่า
อย่าปิด ให้ลมได้พัด สมองจะได้ปลอดโปร่งหน่อย
จุ้ยจวี๋ก้มหน้าลงมอง พิงถิงได้ลืมตาขึ้นแล้ว นัยน์ตาใสกระจ่างสุกสกาว ไหนเลยมีวี่แววง่วงงุน?
ปิดเสียเถิดเจ้าค่ะ เกิดเย็นจัดจนล้มป่วยขึ้นมาจะไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะเจ้าคะ จุ้ยจวี๋ยืนกรานปิดหน้าต่าง แล้วหันกายไปนั่งลงตรงขอบเตียง สอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม คลำหาข้อมือเรียวบางของพิงถิง แล้วยื่นนิ้วสองนิ้วไปกดลงบนเส้นชีพจร ตั้งสมาธิฟังอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มบางๆ ยังดี
รั้งมือกลับออกมาดังเดิม ลดเสียงเบาลงกล่าวว่า
ม่อหรานเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ไม่ทราบจะพูดอย่างไรดีจริงๆ
พิงถิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ย้อนถามว่า
หรือกระทั่งเจ้าก็เป็นกังวลว่าหวางเยี่ยจะกลับมาไม่ทัน?
จุ้ยจวี๋มองอีกฝ่ายแน่วนิ่ง
นางติดตามซือฝุรักษาช่วยชีวิตผู้ป่วย ได้พบผู้มั่งมีสูงศักดิ์จนเห็นเป็นเรื่องปกติ เหล่าคุณหนูแห่งตระกูลใหญ่โตทรงอำนาจในตงหลิน หรือกระทั่งพระสนมในวังหลวง นางล้วนแต่พอจะรู้จักมักจี่ด้วยบ้างทั้งสิ้น แต่นางกลับไม่เคยเห็นใครที่เป็นเช่นป๋ายพิงถิงมาก่อน
ความฉลาดปราดเปรื่อง องอาจผ่าเผย หยิ่งทะนงถึงเพียงนี้ กลับแทรกซึมอยู่ภายในแก่นกระดูกทั้งสิ้น วังจิ้งอานหวางคือสถานที่เช่นใดกันหนอ เพราะไม่เพียงแต่มีผู้ซึ่งสง่าผ่าเผยองอาจ ถือกระบี่ขับขานเพลงเช่นเหอเสียเท่านั้น หากยังสามารถอบรมบุคคลเช่นป๋ายพิงถิงออกมาได้ด้วย?
พิงถิงเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ จึงมองตอบกลับไปบ้าง
ดวงตาสุกสกาวสองคู่ต่างนิ่งมองกันอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังคาดคะเนความคิดของอีกฝ่าย และราวกับว่าต่างกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด
หงเฉียงเดินเข้ามาในจังหวะนี้พอดี เห็นทั้งสองต่างเหม่อมองกันนิ่ง ก็ถามอย่างประหลาดใจ
ที่แท้ก็ยังไม่นอนหรอกหรือ ทำเอาข้าไม่กล้าขยับทำอะไรหนักๆเลยเชียว กลัวจะไปปลุกป๋ายกูเหนี่ยงสะดุ้งตื่น พวกท่านมองหน้ากันไปทำไมหรือ หรือบนหน้ามีดอกไม้งอกออกมาได้ด้วย?
จุ้ยจวี๋รั้งสายตากลับ หันมาทางหงเฉียว ดุกลั้วหัวเราะ
เจ้านี่เอะอะมะเทิ่งจริงเชียว คนเขากำลังนิ่งคิดอะไรอยู่เงียบๆ ดันมาถูกเจ้าก่อกวนเอาเสียได้
พิงถิงมองไปทางหงเฉียงเช่นกัน เอ่ยถามว่า
เจ้าเข้ามาทำอะไรหรือ?
ดูฟ้าสิเจ้าคะ หงเฉียงชี้ไปที่นอกหน้าต่าง เมื่อกี้เห็นว่ากูเหนี่ยงกำลังหลับ ข้าจึงไม่กล้าถาม หรือพวกท่านไม่รู้สึกหิวกันเจ้าคะ?
จุ้ยจวี๋ชะโงกศีรษะออกไปดูข้างนอก
ก็จริงนะ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกหิว ใจตุ๋มๆต้อมๆมาทั้งวันจนทำเอาลืมเรื่องใหญ่อย่างทานข้าวไปเลย
กับข้าวทำเสร็จแล้วล่ะเจ้าค่ะ ข้าจะไปยกมาให้นะเจ้าคะ กล่าวจบหงเฉียงก็เดินออกไป
<>::<>::<>
ถึงแม้บรรดาต้าเหนียงในครัวเองก็อกสั่นขวัญแขวนกันมาทั้งวันเช่นกัน แต่รสมือก็ยังคงยอดเยี่ยมอยู่เช่นเดิม
กล่องสำรับอาหารหลายชั้นถูกส่งมา ข้างในมีเนื้อสัตว์สองจาน ผักสองจาน เคียงด้วยกับแกล้มสำหรับทานเล่นจานเล็ก 2-3 จานเช่นเคย
พิงถิงทานน้อยมาแต่ไหนแต่ไร วันนี้นางใช้ความคิดไปมาก ยิ่งไม่นึกอยากอาหารแต่อย่างใด จึงใช้ตะเกียบคีบๆเขี่ยๆไปอย่างนั้นแค่ไม่กี่ครั้ง จุ้ยจวี๋เห็นนางทำท่าจะวางตะเกียบในมือลง ก็รีบพูดว่า
อย่างน้อยก็ต้องดื่มน้ำแกงร้อนกับทานข้าวในถ้วยให้หมดนะเจ้าคะ
กล่าวพลางคีบเนื้อและผักใส่ลงในถ้วยของพิงถิงติดต่อกัน แล้วเหลือบสายตามองมา
พิงถิงไม่นึกอยากอาหารแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของจุ้ยจวี๋ ก็ยื่นมือไปลูบหน้าท้องเบาๆ ก่อนจะกล้ำกลืนทั้งข้าวและกับในถ้วยลงไปจนหมด
จุ้ยจวี๋ค่อยยิ้มออกมาได้อย่างพอใจ
หลังอาหาร จุ้ยจวี๋กับหงเฉียงช่วยกันเก็บโต๊ะ นำถ้วยชามทั้งหมดใส่กลับลงไปในกล่องสำรับ
ให้ข้าไปเอง จุ้ยจวี๋เอ่ยพลางทิ้งให้หงเฉียงอยู่เป็นเพื่อนพิงถิง ส่วนตัวเองหิ้วกล่องสำรับหนักอึ้งเดินออกไปจากเขตเรือนเล็ก และพบกับต้าเหนียงจากในครัวกำลังเดินตรงเข้ามาหาพอดี
เมื่อต้าเหนียงจากในครัวเห็นจุ้ยจวี๋เข้า ก็ชะงักเท้า
จุ้ยจวี๋กูเหนี่ยง อากาศออกจะหนาว ไม่ต้องยกไปส่งคืนเองหรอกเจ้าค่ะ ให้พวกข้ามาเอาเองนั่นแหละดีแล้ว
จุ้ยจวี๋ส่งกล่องสำรับไปให้นาง แล้วล้วงของอย่างหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
ไม่แค่เพราะจะส่งเจ้านี่กลับไปให้หรอก ข้ายังมีรายการอาหารของวันพรุ่งนี้จะให้พวกท่านด้วย ให้ทำออกมาตามที่เขียนเอาไว้ในใบรายการนี้ ในรายการนี้จะมีตัวยาบางอย่างใส่อยู่ ให้เลือกแต่ชนิดที่คุณภาพดีที่สุดเท่านั้นมาใส่ จำให้ดีล่ะ อย่าใส่ปริมาณผิดเป็นอันขาด
คนในวังเจิ้นเป่ยหวางต่อให้ไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็พอจะอ่านหนังสือออกบ้างกันทั้งนั้น ต้าเหนียงอาศัยแสงจันทร์ดูรายการอาหารที่จุ้ยจวี๋ส่งให้ แล้วจุปากพูดว่า
งานละเอียดมากจริงๆนะนี่ ลำบากจุ้ยจวี๋กูเหนี่ยงแล้ว กระทั่งแค่จะทานข้าวก็ยังต้องเปลืองสมองมากถึงขนาดนี้ มิน่าเล่าระยะนี้สีหน้าป๋ายกูเหนี่ยงถึงได้มีเลือดฝาดขึ้นไม่น้อยเทียว เพียงแต่...... น้ำเสียงต้าเหนียงเปลี่ยนไป สีหน้าปรากฏแววลำบากใจ ตังกุย(๑)ที่เขียนอยู่ในนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนนำมาตุ๋นพุทราแดงให้ป๋ายกูเหนี่ยง ในครัวก็ใช้หมดไปพอดี กลีบดอกสาวเย่า ในครัวไม่ได้มีเก็บตุนเอาไว้มาแต่แรก ส่วนโสมม่วงภูเขาแก่(๒)ยังพอจะมีอยู่บ้าง
เรื่องนี้จะเสียเวลาไม่ได้ ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่ได้เสียด้วย เอาเป็นว่ารีบไปซื้อมาสักหน่อยก็แล้วกัน แล้วทำไปตามใบรายการของข้าเป็นใช้ได้
โอ๊ยยย...กูเหนี่ยงหลงๆลืมๆไปแล้วหรือไร สถานการณ์แบบนี้คนในเรือนเร้นกายนี่มีใครบ้างที่ออกไปข้างนอกได้? ประตูใหญ่น่ะถูกพวกทหารองครักษ์เฝ้าเอาไว้แน่นหนายิ่งเสียกว่าประตูเมืองหลวงเสียอีก
จุ้ยจวี๋เพิ่งจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าข้างนอกมีทหารล้อมอยู่ จึงตบหน้าผากแปะพูดว่า
ข้านี่หลงๆลืมๆแล้วจริงๆ พูดถึงเรื่องนี้ ของในครัวพอจะอยู่ได้ถึงวันหกค่ำหรือเปล่า?
ข้าวสารมีตุนเอาไว้เยอะตลอดทั้งปีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย แต่กับข้าวมีไม่พอ ถึงด้านหลังจะปลูกผักสวนครัวเล็กๆกับเลี้ยงเป็ดไก่เอาไว้บ้าง แต่กูเหนี่ยงลองคิดดูเถิดว่า ในเรือนเร้นกายนี้มีคนตั้งกี่คน เด็กผู้หญิงน่ะยังพอทำเนา เพราะทานกันน้อย แต่องครักษ์พวกนั้นนี่สิตัวใหญ่บึกบึนอย่างกับม้ากับวัวกันทั้งนั้น ขืนไม่มีเนื้อกับผักชามโตๆให้ทาน จะไปทนไหวหรือ? ข้าดูแล้วคิดว่าทั้งเนื้อทั้งผักอย่างมากน่าจะยันอยู่ได้อีกแค่วันเดียวเท่านั้น ต้าเหนียงเหลียวซ้ายแลขวา แล้วยื่นหน้าใกล้เข้ามาอีกนิด ลดเสียงเบาลงพูดว่า เนื้อหมูน่ะจะมาส่งสามวันต่อครั้ง เนื้อหมูที่ส่งมาเมื่อสองวันก่อน มื้อนี้ทานหมดไปแล้ว พรุ่งนี้น่ะจะไม่มีแม้แต่เศษเนื้อหมูสักชิ้น เนื้อปลาก็ไม่มีที่สดๆ ส่วนเป็ดไก่เก็บเอาไว้ก่อนเถอะ ท่านแม่ทัพฉู่บอกว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ห้ามไม่ให้ป๋ายกูเหนี่ยงทราบให้ต้องยุ่งยากใจเด็ดขาด ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าก็อย่าไปปากโป้งเชียวละ
จุ้ยจวี๋พยักหน้า ข้าจะไปที่ครัวกับท่าน ไปดูว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง ดูว่าต้องจำกัดวัตถุดิบตัวไหนบ้างแล้วค่อยเขียนรายการอาหารอีกครั้ง ต้าเหนียง ต้องกำชับพวกเขาด้วยนะว่าให้ทำตามใบรายการของข้าอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าข้างนอกจะมีทหารล้อมอยู่มากแค่ไหนก็ช่าง ข้าสนแต่ว่าต้องบำรุงร่างกายของป๋ายกูเหนี่ยงให้ดีๆเท่านั้น
แน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่ในครัวมีของ ก็ต้องปรุงให้ตามในใบรายการของเจ้าอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องได้แน่นอน
ทั้งสองเดินทอดน่องไปบนพื้นหิมะ พระจันทร์ขึ้นแล้ว แสงสีเหลืองนวลดูสลัวราง เท้าเหยียบย่างลงบนชั้นหิมะบางๆ เกล็ดหิมะแตกออกจากกันดังเป็นจังหวะตามรอยเท้า
เพิ่งจะไปถึงประตูครัว ก็พลันมีเสียงความเคลื่อนไหวดังมา
มีอะไรรึ?
จุ้ยจวี๋ร้องถามเบาๆอย่างตื่นตระหนก ตามองไปยังแสงไฟสีแดงเหนือประตูใหญ่ของเรือนเร้นกาย ราวกับว่ามีคบไฟเป็นจำนวนมากกำลังแผดรังสีออกมาอย่างดุร้ายที่ด้านนอกประตู
เสียงประตูใหญ่หนาหนักถูกเปิดออกกลางวิกาลดึกสงัดดังมาแต่ไกล แม้จะแผ่วเบา แต่กลับให้ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างหนักหน่วง
ต้าเหนียงแหงนหน้าขึ้นมองแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่กลางอากาศ พูดเสียงสั่นสะท้าน
สวรรค์ช่วย คงไม่ใช่ว่าบุกโจมตีเข้ามาได้แล้วหรอกนะ
จุ้ยจวี๋ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ทำใจกล้าเดินอ้อมออกไปจากลานหน้าครัว ออกจากประตูด้านข้างของเรือนครัวจะเป็นทางทอดตรงไปยังประตูใหญ่ของเรือนเร้นกาย หญิงสาวย่องเข้าไปใกล้ แล้วซ่อนตัวแอบมองจากด้านหลังกำแพง ก็เห็นว่าที่นอกประตูมีคนถือคบไฟยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่
ในเวลาแบบนี้ผู้ที่สามารถมายืนอยู่ด้านหน้าประตูเรือนเร้นกายได้ นอกเสียจากคนของฝ่ายเหอเสีย ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว
เพียงครู่สั้นๆประตูใหญ่ก็ค่อยๆปิดลง สกัดกั้นแสงไฟจากภายนอกเอาไว้ที่ด้านนอกประตูจนสามารถมองเห็นร่องรอยของแสงไฟได้เพียงจากด้านบนของกำแพง
จุ้ยจวี๋เห็นม่อหรานนำทหารองครักษ์สองนายเข็นเกวียนเล่มหนึ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทางระวังป้องกันอย่างเต็มที่ ก็ปรากฏกายออกไปจากด้านหลังกำแพง
นั่นใคร? ม่อหรานตวาดเสียงต่ำ กระบี่ของสององครักษ์ที่ข้างกายถูกชักออกมาเป็นที่เรียบร้อย
จากคุณ :
Linmou
- [
3 พ.ค. 52 06:04:23
]