Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    [นิยายแปล] จอมนางคู่บัลลังก์ เล่ม 2 บทที่ 9 เขียนโดย...เฟิงน่ง

    บทที่ 9


    เหอเสียยืนอยู่บนที่สูงของภูไพร เอามือไพล่หลังหันหน้าไปทางตะวันตก

    ณ เบื้องล่าง ท่ามกลางลมหิมะสลัวมัว ในส่วนลึกของเรือนเร้นกายอันเงียบสงัดวังเวง...ได้ซ่อนเร้นพิงถิงไว้

    สาวใช้ เพื่อนเล่น และผู้รู้สำเนียงในสิบห้าปีที่ผ่านมาของเขา...พิงถิงซึ่งเรียนหนังสือเป็นเพื่อนเขา ดูเขาฝึกกระบี่ และคอยปรบมือร้องชม

    สิบห้าปี...ใครบ้างจักตัดรอนได้ง่ายดาย? จากวัยเยาว์ที่เป็นเด็กตัวเล็กจ้อยจวบจนพิงถิงเป็นสาวน้อยอรชรในห้องหอ หนึ่งในสองมือพิณแห่งกุยเล่อ ป๋ายพิงถิงแห่งวังจิ้งอานหวาง เป็นดั่งดอกตูมในหุบเขาลึกที่รอวันแย้มบาน

    ผู้คนมากมายเพียงใดที่ลอบเมียงมอง

    ผู้คนมากมายเพียงใดที่ทอดถอนชมเชย

    เขาเฝ้าปกปักนางอยู่เงียบๆ รักใคร่เอ็นดูนาง พานางท่องทะยานไปทุกที่ สู่สนามรบ ชมอาชาศึกศาสตราวุธ ชมการสัประยุทธ์ดั่งสายลมคลั่งกวาดผืนทราย

    เดิมทีนางควรจะเป็นของเขา ทั้งโดยเหตุผลและความผูกพัน นางล้วนแต่เป็นของเขา

    แต่เขาไม่เคยแม้แต่คิดที่จะบังคับ รั้งให้นางอยู่กับเขา

    พิงถิงของเขา คือหงสาที่มีปีกสีรุ้ง...หงสาที่รอคอยบุรุษผู้ยืนหยัดท้าฟ้าดิน...มารับมือของนางไป นับแต่นั้นจักเป็นช้างเท้าหลัง ร่วมท่องทะยานไปสุดหล้าอย่างสำราญ ดังที่ใจนางปรารถนา

    ผู้ใดจะตระหนักดียิ่งไปกว่าเหอเสีย...ว่าหัวใจของป๋ายพิงถิงนั้นหยิ่งผยองอยู่สูงลิบเหนือหน้าผาหมื่นจ้าง

    แต่ผู้ที่แย่งชิงหัวใจของนางไปได้อย่างง่ายดาย...กลับเป็นฉูเป่ยเจี๋ย

    จะเป็นผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น...แต่ไม่ควรเป็นฉูเป่ยเจี๋ย

    เป็นผู้ซึ่งโชคชะตาได้ลิขิตมาให้เป็นศัตรูชั่วชีวิตของเขาคนนั้น แล้วจะให้เขาทนนึกภาพได้อย่างไร...พิงถิงของเขา...จะอิงแอบอยู่ข้างกายของฉูเป่ยเจี๋ย ชมจันทร์ชมดาวเป็นเพื่อนมัน เป็นเพื่อนคุยให้มัน ร้องเพลงเพื่อมัน ดีดพิณให้มันฟัง?

    จะให้เขาทนทำใจยอมรับได้อย่างไร เขาที่สู้อุตส่าห์ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดจากการพรากจากเพื่อความอ่อนโยนปรารถนาดีต่อนางซึ่งอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ สละพิงถิงทิ้งไป กลับกลายเป็นการช่วยฉูเป่ยเจี๋ยให้สมหวังไปเสียได้?

    ณ จุดรับลม ปุยหิมะปลิวมากระทบใบหน้า

    ฟ้าใกล้จะมืด วันนี้...คือหกค่ำแล้ว

    “นายน้อย?” ตงจั๋วเดินขึ้นมาหา แล้วหยุดยืนห้อยมืออยู่ห่างจากด้านหลังของเหอเสียออกไปหนึ่งจ้าง

    “ตงจั๋ว น้ำเสียงของเจ้าทั้งเศร้าสร้อยและหนักอึ้ง” เหอเสียเอ่ยถามเสียงหนัก “เจ้าคิดว่าฉูเป่ยเจี๋ยจะกลับมาทัน?”

    “ไม่ขอรับ”

    “หรือว่าเจ้ากลุ้มใจที่ฉูเป่ยเจี๋ยกลับมาไม่ทัน?”

    ตงจั๋วส่ายหน้า ทำท่าจะพูดแล้วกลับชะงัก อึดใจใหญ่ให้หลังจึงพลันเงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับ

    “ขอนายน้อยโปรดออกคำสั่งโจมตีเดี๋ยวนี้เลยเถิดขอรับ กำลังป้องกันของเรือนเร้นกายน้อยนิดเพียงแค่นี้ ด้วยความสามารถของนายน้อย การจะจับเป็นพิงถิง แล้วให้นางติดตามพวกเรากลับไป ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย รอจนนางกลับมาแล้ว พวกเราย่อมสามารถที่จะค่อยๆเกลี้ยกล่อมให้นางกลับใจได้”

    เหอเสียไม่ได้เอ่ยตอบ เงาหลังของชายหนุ่มภายใต้แสงตะวันรอน ดูเย็นชาและแข็งกระด้างถึงเพียงนั้น

    “นายน้อย ท่านกับนางโตมาด้วยกัน ท่านไม่สงสารนางเลยสักนิดหรือขอรับ?” ตงจั๋วจ้องมองเงาหลังของผู้เป็นนายเขม็ง ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านอยู่ในอกอย่างยากจะระงับ คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง แหงนหน้าอ้อนวอนทั้งน้ำตา “นายน้อย ทั้งที่ท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าฉูเป่ยเจี๋ยไม่มีทางกลับมาทัน แล้วไยต้องทำให้พิงถิงหัวใจสลายด้วยเล่า?”

    นัยน์ตาดำสนิทของเหอเสียเครียดเขม็งทันควัน ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฝังอยู่ในส่วนลึกถูกพลิกกลับขึ้นมาอย่างไร้ปรานี ประกายเด็ดเดี่ยวผุดขึ้นวูบเดียวก็หายวับ

    “ข้าไม่เพียงแต่จะทำให้นางหัวใจสลายเท่านั้น” ในดวงตาของเหอเสียสะท้อนภาพแสงไฟเป็นจุดๆจากโคมไฟภายในเรือนเร้นกายซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด กัดฟันกล่าวว่า “ข้ายังจะทำให้นางตัดใจ...จากฉูเป่ยเจี๋ย”


    <>::<>::<>


    หลังม่านราตรีคลี่คลุมลง เรือนเร้นกายยิ่งเงียบสงัดกว่าเดิม

    ต่อให้เป็นสุสานชานเมือง ก็ยังไม่เงียบสงัดจนวังเวงมากเท่านี้ ปุยหิมะที่พลิ้วปลิวอยู่ในอากาศ ยังปราศจากเสียงใดๆมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย ราวกับว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงมายาภาพ เมื่อยื่นมือไปสัมผัส ก็จะแตกสลายพลัดพราย...เหลือเพียงความว่างเปล่า

    พิงถิงจ้องมองไปทางตะวันออก

    เวลาอันไร้ปรานี...ได้ร่วงไหลผ่านร่องนิ้วเรียวบางไปทีละน้อย

    หญิงสาวจ้องมองอย่างแน่วนิ่งมาเป็นเวลาเนิ่นนานมาก โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา ราวกับนับตั้งแต่เกิดมา ไม่มีเรื่องใดจะสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว

    ทิศตะวันออก...คือเส้นทางที่ฉูเป่ยเจี๋ยจะกลับมา มองไม่เป็นถนนทอดตรงสู่บูรพา...ถนนที่ถูกภูไพรบดบังไว้...ถูกกองทัพของเหอเสียบดบังไว้ แต่พิงถิงไม่แม้แต่จะกังวลว่าสองสิ่งนั้นจะขวางกั้นย่างก้าวของฉูเป่ยเจี๋ยได้

    วันนี้คือหกค่ำ

    จันทราได้ปรากฏ

    ฉูเป่ยเจี๋ย...อยู่ ณ หนใด

    จุ้ยจวี๋ค่อยๆแหวกเปิดม่านประตู หลังจากยืนรอที่หน้าประตูอยู่นานมาก...นานเสียจนแทบจะหลงนึกว่าคืนวันหกค่ำนี้ได้ผนึกตัวแข็งอยู่ภายในอกเสียแล้ว

    นางเดินเข้ามาหาพิงถิง ลอบมองใบหน้าด้านข้างได้รูปงามหมดจดนั้น ก่อนที่หัวใจจะพลันสั่นสะท้านโดยแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่

    “ป๋ายกูเหนี่ยง......”

    พิงถิงหันหน้ามามองนาง ยิ้มอย่างอ่อนโยน

    ในเวลาเช่นนี้ รอยยิ้มสงบนิ่งเยือกเย็นเฉกนี้ยังชวนปวดร้าวใจยิ่งเสียกว่าร้องไห้คร่ำครวญปิ้มว่าจะขาดใจเสียอีก

    แต่เรื่องนั้น...ได้มาถึงขั้นมิอาจไม่พูดเสียแล้ว

    จุ้ยจวี๋จ้องมองหญิงสาวเขม็ง ไม่อนุญาตให้สายตาของตนมีความลังเลปรากฏอยู่ เมื่อรู้สึกว่าลมเหนืออันหนาวเหน็บได้อัดแน่นอยู่เต็มอก หนาวยะเยือกเสียจนสามารถทำให้นางกล่าวประโยคต่อไปออกมาอย่างแจ่มชัดเยือกเย็นได้ จึงค่อยพูดต่อว่า

    “หลังจากองค์ชายน้อยทั้งสองได้จากไป ต้าหวางก็ไม่มีพระโอรสองค์ใดอีก หากในวันหน้ายังมีเหนียงเนี่ยงคนใดให้กำเนิดพระโอรสแก่ต้าหวางได้ ย่อมจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้น...หวางเยี่ย...จะกลายเป็นประมุขของตงหลินต่อไปในกาลข้างหน้า”

    วาจาสั้นๆเพียงไม่กี่ประโยค หน้าอกจุ้ยจวี๋ก็สะท้อนขึ้นลงอย่างน่ากลัว สายตาของนางจับจ้องพิงถิงเขม็งโดยไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย ราวกับหวั่นเกรงว่าความตั้งใจของตนจะไม่แน่วแน่พอกระนั้น

    “พูดต่อไป” พิงถิงเอ่ยเสียงเรียบ

    “หากทารกในครรภ์ของกูเหนี่ยงเป็นชาย เขาจะเป็นบุตรชายคนโตของหวางเยี่ย”

    “จุ้ยจวี๋” สายตาพิงถิงจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจังในที่สุด “เจ้าคิดจะพูดอะไรรึ?”

    จุ้ยจวี๋หยุดชะงักเล็กน้อย ก้มหน้าลงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพลันกัดริมฝีปากโดยแรง กลิ่นคาวเลือดผุดซึมจากแนวฟันแผ่ซ่านเข้ามาในปาก กล่าวเสียงหนัก

    “ในใจของกูเหนี่ยงเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ฐานะของเด็กคนนี้จะมีความสำคัญต่อตงหลินมากเพียงใด และเหอเสียร้ายกาจมากแค่ไหน กูเหนี่ยงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของเหอเสียโดยที่กำลังอุ้มครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของหวางเยี่ยไม่ได้โดยเด็ดขาด” คำพูดนี้หนักแน่นเด็ดขาด กล่าวออกมาโดยไม่เว้นทางถอยแม้แต่น้อย จุ้ยจวี๋หันหลังไป ยกถ้วยยาที่ยังคงเหลือไออุ่นซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้น เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาว

    สายตาของพิงถิงสาดกระทบยาน้ำสีดำสนิทในถ้วย ก้าวถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณหนึ่งก้าว

    “กูเหนี่ยง ครรภ์ยังอ่อนนัก แล้วหวางเยี่ยก็ยังไม่ทราบ ท่านกับหวางเยี่ยต่างอายุยังน้อยอยู่นะเจ้าคะ” จุ้ยจวี๋ถือถ้วยยาก้าวคุกคามใกล้เข้ามาอีกหนึ่งก้าว

    สายตาพิงถิงพร่ามัว มือปกป้องท้องน้อย ก้าวถอยหลังกรูดๆ เพียง 4-5 ก้าวก็ถอยไปถึงผนังห้อง เมื่อแผ่นหลังเบียดต้องผนังเย็นเฉียบ หญิงสาวก็กลับสงบเยือกเย็นลงได้ ยืนหยัดมั่นคงอีกครั้ง ตามองยาในถ้วย เอ่ยเสียงหนัก

    “หกค่ำยังไม่พ้นผ่าน หวางเยี่ยต้องกลับมาทันอย่างแน่นอน”

    “หากหวางเยี่ยกลับมาไม่ทันเล่าเจ้าคะ?”

    หญิงสาวกัดฟัน เอ่ยเน้นหนักทีละคำ

    “เขาต้องกลับมาทันอย่างแน่นอน”

    “หากหวางเยี่ยกลับมาไม่ทันจริงๆเล่าเจ้าคะ?” จุ้ยจวี๋ทำใจแข็ง ไม่ยอมลดราวาศอก

    ความเงียบสงัดดั่งจะหายใจไม่ออกสะกดนิ่งทุกสิ่ง

    หญิงสาวจ้องมองจุ้ยจวี๋เขม็ง

    เล็บของนางได้จิกลงในฝ่ามือโดยไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

    นัยน์ตาของนางไม่ทอแสงนุ่มนวลอีกต่อไป แต่เป็นดั่งแก้วผลึกสีนิลที่เปล่งประกายวาวระยับค่อยๆแปรเป็นก้อนนิลสีดำด้าน ประกายเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดผุดวาบในดวงตาอยู่เลือนราง

    “หากเลยเวลาแล้วเขายังคงไม่กลับมาจริงๆ...” หญิงสาวเชิดลำคอระหงขึ้นอย่างทระนง “...เมื่อดวงจันทร์คล้อยผ่านกึ่งกลางฟ้า ข้าจะดื่มยานั่น”

    จุ้ยจวี๋จ้องหญิงสาวเขม็ง ระบายลมหายใจออกมาเหยียดยาว

    นางวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ แล้วคุกเข่าลงดังตึง โขกศีรษะให้พิงถิงหนักๆสามครั้งโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินแหวกม่านออกไปจากห้อง

    วิ่งหลับหูหลับตาโซเซเข้าไปในห้องข้าง โถมกายลงหาหมอนบนเตียงเล็ก แล้วร่ำไห้ออกมาอย่างสุดเสียง


    <>::<>::<>


    ฉูเป่ยเจี๋ยห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ทิวเขาทอดเหยียดยาวติดต่อกัน ในเงามืดที่มองไม่เห็นของทิวเขาทุกลูกล้วนแปรเป็นภาพหลอนของเรือนเร้นกายที่ถูกบุกโจมตีจนแหลกลาญ

    ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะคิดว่าในยามที่ตนกลับไปถึง เรือนเร้นกายจะมีสภาพเป็นเช่นไร

    ดอกเหมยผลิบานแล้วหรือไม่?

    เสียงพิณยังคงดังอยู่หรือไม่?

    ควันไฟหุงต้มยังคงมีอยู่ดังเดิมหรือไม่?

    ด้านหลัง ทหารป้องกันเมืองฝีมือดีที่นำมาด้วยจากม่อเอินมีอยู่หนึ่งพันนายที่ถูกทิ้งเอาไว้เนื่องจากอ่อนล้ามากเกินไป ที่เหลืออีกสองพันนายรวมกับทหารที่เฉินโหมวนำมาอีกหนึ่งพันเจ็ดร้อยนาย เป็นจำนวนทั้งสิ้นสามพันเจ็ดร้อยนาย

    กองทัพทหารม้าดาหน้าห้อเต็มเหยียด เสียงฝีเท้าย่ำทลายขุนเขานที

    บังเหียน...ถูกเลือดจากเม็ดพองน้ำที่โดนเสียดสีแตกย้อมจนแดงฉาน

    จากคุณ : Linmou - [ 10 พ.ค. 52 06:55:17 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com