ความคิดเห็นที่ 35

คัดตำรามาให้อ่านกันครับ
====================== คมทวน คันธนู ตำนานฉันทลักษณ์กับหลักการใหม่
๔.
คำเอกที่ต้องระวังที่สุด คือ คำเอกของบาทที่สามตัวที่สอง เพราะนักโคลงลงเสียงพ้องต้องกันว่าให้หาคำตายแทนคำเอกได้ในโคลงนั่นแหละ แต่คำตายนั้นมีหลายเสียง มิใช่มีเพียงเสียงเดียว ฉะนั้น จะเที่ยวดึงกันแบบสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ โดยเฉพาะในคำเอกบาทที่สามตัวที่สอง (เสียงของคำตายที่เอก โท ตรี เช่น ดาบ คาบ คร้าบ) โคลงสี่สุภาพหลายบทที่รจนาโดยฝีมือชั้นครู อาจมิรู้ว่าถ้าให้คำตายเสียงตรีอยู่ตรงจุดนี้แล้วจะทำให้เสียงหลงอย่างมาก ฉุดกระชาก
ความไพเราะไปทั้งบาท ขออนุญาตสาธกยกตัวอย่าง
๏ พระสมุทรไหวหวาดด้วย คลองสรวล เมรุพลวกปลวกสำรวล ร่าเร้า สีหราชร่ำคร่ำครวญ สุนัขเยาะ หยันนา สุริยะส่องยามเย็นเข้า หิ่งห้อยยินดี
(โคลงโลกนิติ)
คำว่า เยาะ คือ คำตายเสียงตรี อ่านและจับให้ดี จับพบเสียงวิปริตชัดเจน ลำพังถ้าเป็นคำตายเสียงโท หรือคำเอกเสียงโท คลื่นเสียงก็โลเลเอาการ แต่นั่นพอจะอนุโลมอยู่
คำเอกคู่คำโทในบาทที่สอง ต้องระวังให้ดี ถ้าคำโทมีเสียงโทรูปโท คำเอกควรมีรูปเอกเสียงเอก คำเอกเสียงโทและคำตายเสียงโทพอกล้อมแกล้มกล้ำกลืน แต่ถ้าฝืนใช้คำตายเสียงตรี มีปัญหาเพราะไม่น่าฟัง ดัง:-
๏ คลองสองคลองแบ่งกั้น สองครอง คลองไม่เห็นเรียมปอง รักเจ้า
เราอาจแยกคลื่นเสียงไม่ใคร่ถนัดนัก แต่ถ้าใครจักส่งสัมผัสด้วยคำตายอาจเห็นได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้:-
๏ คลองหกสิบหกห้อง หาวหก เรียมร่ำน้ำตาตก ยกห้อง เรือล่องลัดทางรก ฤๅลัด รักพี่ ครุ่นคิดแต่หน้าน้อง นุชให้หกหา
คำเอกที่คู่คำโทอีก ๒ คำ คือ ในบาทที่หนึ่งกับบาทที่สี่นั้น ไม่สู้จะสำคัญนัก แต่พึงตระหนักถึงคำโทข้างเคียงว่า เป็นคำโทเสียงโทหรือโทเสียงตรีด้วย การใส่คำเอกเสียงโทช่วยรับ จะทำให้การขับขานหรืออ่านทำนองเสนาะไพเราะขึ้นโดยแน่แท้
ขอให้เล็งแล โคลงสี่สุภาพแบบฉบับใหม่ ดังตัวอย่าง
๏ แดดสายแทงส่องต้อง ตาสาย ไม้ดอกคลี่ดอกอาย อบต้อง พาผึ้งพึ่งพาผาย ผันเสพ สรรเสาะเกสรคล้อง คล่าวไซร้ไปผสม
๑. ส่งสัมผัสนอกด้วยเสียงสูง (สาย) ๒. รับสัมผัสนอกด้วยเสียงสูง (สาย) ๓. ทิ้งคำสุดท้ายด้วยเสียงสูง (ผสม) ๔. สัมผัสในใช้สัมผัสอักษร ตามจังหวะ (สาย-ส่อง-สาย, ดอก-ดอก, อาย-อบ, พาผึ้ง-พึ่งพา, ผาย-ผัน, สรรเสาะ-สร-ไซร้-ผสม) ๕. พยายามใช้คำเอกเสียงเอกให้มาก (ส่อง, ดอก, อบ, เสพ, เสาะ) ๖. คำโทบาทที่สอง คือ คำโทเสียงโท (ต้อง) รับกับคำโทบาทที่สี่ คือ คำโทเสียงตรี (คล้อง) แล้วฉีกคำโทแยกด้วย เสียงตรีเช่นกัน (ไซร้) ๗. คำเอกบาทที่สามตัวที่สอง ลงคำตายเสียงเอก (เสพ) ๘. คำเอกเคียงคำโท หลีกเลี่ยงการใช้เสียงเสมอคำโทหรือล้ำเสียงคำโท (ส่อง-อบ-คล่าว) ๙. ไม่มีสร้อยห้อยให้เยิ่นเย้อ ๑๐. โคลงทั้งบทใส่เสียงวรรณยุกต์ครบ ๕ เสียง ๑๑. ตำแหน่งคำเอก แต่เป็นรูปเอกเสียงโท คงคำคงรูปไว้ไม่ใช้ลักษณะเอกโทษ-โทโทษ ให้เวียนเศียรเวียนโสตดังเก่าก่อน
อุทาหรณ์แห่งโคลงสี่สุภาพแบบฉบับใหม่ ยกไว้คร่าว ๆ ดังนี้
แต่สิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่าสัมผัสใน กว่าการใช้ลีลาเอกโท คือ การใช้โวหาร และจินตนาการ ฉะนั้น อย่าเลือกรูปแบบก่อนเลือกรูปความคิด อย่าติดฉันทลักษณ์ กว่าติดฉันทะดำเนิน (แต่ก็อย่าหมางเมินถึงขนาดตัดขาดเยื่อใย แล้วจุดไฟเผาอัตตา)
สังเกตว่า โคลงสี่สุภาพดี ๆ บางทีคำและความงามอยู่ในตัว ก็ฝังหัวคนได้แนบสนิทติดมันสมอง ลองดูตัวอย่าง:-
๏ ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง
ลีลาของโคลงบทนี้แทบไม่มีเลย สัมผัสซึ่งจะเกยเกี่ยวหนึ่งเดียวก็ไม่มี ทว่าคำโตโวหารดี คือ ธรณีนี่นี้เป็นพยาน, เราก็ศิษย์มีอาจารย์, ดาบนี้คืนสนอง เป็นต้น
คนที่จะแต่งโคลงสี่ฯ จึงควรทบทวนให้ถ้วนถี่ เพราะบางทีบางบท เรามิได้กำหนดกฎเกณฑ์ลีลา แต่ทว่าความและคำจะเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นไปให้เราเอง นักเลงโคลงพึงสดับ
...
๖.
จงหาตำราอ่าน แล้วควานหากฎกติกาแห่งโคลงกลบท จดแล้วจำ และทำให้เหนือกว่า ถ้าทำกลบทใหม่ได้ให้ทำทันที สิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยการ ยกระดับการคุมทัพตัวอักษรได้ค่อนข้างมาก
แต่อยากให้ลองใช้โคลงกระทู้เป็นตัวหลัก ในการเป็นนักเลงโคลงสี่ฯ เพราะเป็นการฝึกปรือฝีมืออย่างดียิ่ง (สิ่งที่โคลงกลบทบังคับคือคำและจำนวน ส่วนโคลงกระทู้นั้นบังคับด้วยใจความและคำ ใครที่ทำจักไร้กังวลเรื่องการด้นโคลงไปเลย)
ขอเผยเคล็ดลับการเขียนโคลงสี่ ดังนี้คือ
๑. เปิดส่งด้วยการใช้เสียงสูงเหมือนกับการปิดท้าย พร้อมกับรับด้วยเสียงสูง (จัตวา) น่าจะเป็นบาทที่สาม จะให้ความไพเราะกว่าบาทที่สอง ๒. พยายามเลี่ยงรูปเอกโทษโทโทษ ๓. บาทบาทบางบาทอาจแทรกเป็นกลบทไว้ ๔. ใช้คำโทเสียงโทในบาทที่สอง แล้วคล้องสัมผัสด้วยคำโทเสียงตรีในบาทที่สี่ ก่อนที่จะทิ้งรับกับคำโทเสียงตรีเช่นกัน ๕. สอดคั่นสัมผัสอักษร ซ้อนเป็นจังหวะ คือ คำที่ ๒ ไปคำที่ ๔ หรือคำที่ ๕ (น่าจะดีที่สุดกับคำสุดท้ายของบาท และอาจใช้สัมผัสสระบ้างเป็นบางคราว อย่าใช้ยืดยาวทุกบทจะเสียรสโคลง จงอ่านนิราศสุพรรณฯ ของราชันย์แห่งกลอน คือ สุนทรภู่ดูเอาเทอญ) ๖. เดินเรื่องโดยใช้รสความ ตามด้วยรสคำ และรสน้ำเสียง ๗. หลีกเลี่ยงการใช้คำครึ่งพยางค์ บาทบทอาจใช้คำหนึ่งพยางค์ครึ่งเป็นหนึ่งพยางค์ แต่อย่าวางไว้ให้มากเกินจะทำให้เสียงสะเทินน้ำสะเทินบก ๘. ยกอุปมาอุปไมยให้เฉียบขาดถึงขนาดเฉียบคม อย่านิยมสิ่งใดที่ไร้ความไพเราะ (เพราะไม่รู้) เช่น การรับสัมผัสนอกด้วยคำที่มีวรรณยุกต์กำกับ หรือจับเรื่องราวอันใดมิได้ ดัง:-
๏ ดูงูขู่ฝูดฝู้ พรูพรู หนูสู่รูงูงู สุดสู้ งูสู้หนูหนูสู้ งูอยู่ หนูรู้งูงูรู้ รูปทู่มูทู
เสียงสระอูเกลื่อนกลาด เรียกกันว่า กลโคลงบาทเลื่อนล้า ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งมิมีเหตุผลอันใดจะควรเรียกได้ว่าไพเราะเพราะพริ้ง ยิ่งดูความหมายยิ่งไม่ได้เรื่อง ด้วยไม่มีหนูบ้านเมืองไหนไปลงในรูงู เพื่อจะต่อสู้กับงู และขอโทษหูที่จะสดับจับศัพท์การของการฟังรสน้ำเสียง หาเคียงใกล้ความไพเราะเสนาะโสตมิมี ดังกล่าว
สรุปเอาดื้อ ๆ คือ เพียรอ่านวรรณคดีที่มีลีลาโคลงงดงาม ดังนี้
- โองการแช่งน้ำ เพื่อค้นหาความหมายและการใช้แบบโบราณ สำหรับการประยุกต์โคลงทุกชนิด - ลิลิตยวนพ่าย เพื่อสังเกตความพรายพิลาสในการใช้โคลงบาทกุญชร - ลิลิตพระลอ เพื่อสังเกตการต่อคำต่อความว่ามีความงามงดฝังแฝง ณ แห่งใดในทั้งมวล - กำสรวลศรีปราชญ์ เพื่อสังเกตการใช้คำอันผงาดสง่า การใช้ลีลาเยี่ยงพญามือโคลง (บางบท) - ทวาทศมาส เพื่อสังเกตการลินลาศแห่งโคลงวิวิธมาลี - จินดามณี เพื่อตีความหมายสำหรับใช้ประโยชน์แห่งความรู้ - นิราศสุพรรณฯ เพื่อสังเกตการโอ่วรรณวิจิตร ตามจิตสำนึกลึก ๆ แบบสุนทรภู่ครูกวี - นิราศนรินทร์ เพื่อสังเกตการดิ้นคำ ว่าดำเนินได้ดีมีจังหวะเยี่ยมยอด ทอดทัศนาการใช้อุปมาอุปไมยบางบท (ย้ำ ในบาทบทเท่านั้นเอง) - ลิลิตตะเลงพ่าย เพื่อสังเกตความพรายเพริศบรรเจิดบรรจงของโคลงจำนวนหนึ่ง - โคลงโลกนิติ เพื่อพินิจการใช้ความบอกคำเปรียบเทียบหลายบทถือว่าเฉียบคมและคมลึก - ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน เพื่อสังเกตการใช้กลบทบางชนิด บางคำ เช่นเดียวกับ ประชุมลำนำของหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถุก จิตกถึก) ซึ่งให้ความรู้ลึก ๆ ในความ - ลิลิตสามกรุง สังเกตความมุ่งมั่น มุ่งหมายการใช้โคลงสี่ลีลา น.ม.ส.
และก็ตำราตำหรับทุกฉบับทุกเล่ม จงเต็มใจอ่าน ขุดเสาะเจาะสารเก็บไว้
เหล่านี้ล้วนให้พลังภายในทั้งสิ้น ยินดีและแยบยล นั่นคือผลาผลโดยรวม. ======================
จากคุณ :
ศาลายา
- [
16 พ.ค. 52 23:57:29
]
|
|
|