บทที่ 10
บนรถม้าของอวิ๋นฉาง อบอุ่นแสนสบาย...
เรือนเร้นกายที่ถูกลมฝนแห่งคาวโลหิตกลบจม ได้ลับหายจากสายตา...
พิงถิงนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของรถม้า ตาเหม่อมองจันทร์บนท้องฟ้า
นับจากวันนี้ จันทราแสนรัก จักไม่อ่อนโยนและงดงามไร้ที่ติเช่นกาลก่อนอีกต่อไป
มันได้สาดส่องหัวใจที่แหลกสลายเกลื่อนพื้น สาดส่องดวงตาที่ตายตาไม่หลับของเหล่าองครักษ์ในเสียงฆ่าฟันกระหึ่มฟ้า...อย่างเงียบงัน
เหอเสียผลักเปิดประตูชั้นแล้วชั้นเล่า แก้เชือกให้นางอย่างอ่อนโยน พาออกไปจากประตูพร้อมด้วยกล่องเลี่ยมทองใบนั้น
นางเหยียบย่ำผ่านเลือดที่ยังไม่เย็นเฉียบของเหล่าองครักษ์หนุ่มฉกรรจ์ ไปถึงประตูใหญ่ของเรือนเร้นกาย
รองเท้าผ้าไหมสีขาวสะอาด แดงก่ำดั่งม่านเมฆยามอาทิตย์อัสดง ทิ้งรอยเท้าสีแดงคล้ำรอยแล้วรอยเล่าไว้บนพื้นหิมะ
ใจดั่งถูกมีดกรีด
เลือดที่นองพื้นนี้ มิใช่เลือดของใคร เป็นเลือดของนางเอง
เลือดที่ท่วมทะลักขึ้นมาจากหัวใจนาง ไหลหลั่งลงสู่พื้นหิมะ มิอาจละลายความเหน็บหนาวได้แม้แต่เศษเสี้ยว
รถม้ารออยู่ข้างหน้า
ม่านสีขาวล้วน ขอบหน้าต่างแกะสลักอย่างประณีต กรงขังอันพิเศษงดงามนัก
จุ้ยจวี๋ไม่ทราบพุ่งออกมาจากทางใด แขนเสื้อเปื้อนสีแดงไปแถบใหญ่ ปลายนิ้วมีเลือดหยดหยาด นางโถมเข้ามาหมอบลงที่แทบเท้าของพิงถิง
กูเหนี่ยง กูเหนี่ยง! ให้ข้าได้ช่วยดูแลกูเหนี่ยงไปตลอดทางด้วยเถิดเจ้าค่ะ!
องครักษ์ที่ข้างกายของเหอเสียเงื้อดาบสาดประกายเย็นยะเยียบขึ้น
พิงถิงหันหน้าไปหาเหอเสีย นางเป็นสาวใช้ของข้า
ชายหนุ่มมองจุ้ยจวี๋ที่หมอบอยู่กับพื้น เอ่ยเสียงนุ่ม
ขึ้นไปบนรถเถอะ
ในรถม้า มีเพื่อนเพิ่มมาหนึ่งคน แต่กลับอ้างว้างดุจเดิม...เย็นเฉียบดุจเดิม
จุ้ยจวี๋ จุ้ยจวี๋ ไยต้องทำเช่นนี้?
พิงถิงฟังเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงถี่รัวผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ล้อรถหมุนวนอย่างรวดเร็ว นำพานางห่างออกไปจากที่ซึ่งฉูเป่ยเจี๋ยอยู่ทีละนิ้ว...ทีละนิ้ว
นางไม่รู้สึกเจ็บ และไม่คิดร้องไห้
นางได้ตัดสินใจที่จะลืมความเจ็บปวดและน้ำตา เหมือนเช่นที่นางตั้งใจจะลืมน้ำเสียงและรอยยิ้มของคนผู้นั้นไปตลอดกาล
ในที่สุดนางก็ได้ทราบว่า รักแท้...หาได้สำคัญมากมายดังที่นางคิด
บุญคุณของชาติลึกล้ำดั่งห้วงสมุทร ความแค้นของชาติหนักหน่วงดั่งขุนเขา
นางมีหรือจะลึกล้ำยิ่งกว่าห้วงสมุทร หนักหน่วงยิ่งกว่าขุนเขาได้?
ขับขานใต้จันทรา ดีดพิณกลางบุปผา เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณธรรมของชาติแล้ว นับเป็นอย่างไรได้?
ความรักอันพิสุทธิ์จริงใจมากที่สุดในโลกนี้ ใช่ว่าแข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย มันไม่อาจต้านทานชื่อเสียงอำนาจ ไม่อาจต้านทานความโลเล ไม่อาจต้านทานคำว่า ชาติ อันว่างเปล่า...และสายเลือดที่ดับดิ้น
เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของเหอเสีย หรือไม่ทราบว่านายน้อยของเจ้าคือยอดขุนพลแห่งยุค?
ยอดขุนพล หมายความว่าอย่างไร...หมายความว่าสามารถแยกแยะได้กระจ่างว่าสิ่งใดหนักสิ่งใดเบา หมายความว่าสามารถสละความรักชอบส่วนตัว สะบั้นความคิดเพื่อตัวเอง
คำกล่าวนั้นยังดังก้องอยู่ในโสต ป๋ายพิงถิงยิ้มขื่น
คนผู้นั้นหรือมิใช่ ยอดขุนพล เช่นเดียวกัน?
หรือมิได้สามารถแยกแยะกระจ่างว่าสิ่งใดหนักสิ่งใดเบา มิได้สามารถสละความรักชอบส่วนตัว สะบั้นความคิดเพื่อตัวเองเฉกเดียวกัน?
เขาเลือกได้ถูกต้อง เลือกได้เหมาะสม
ในเมื่อเป็นยอดขุนพล ก็ควรจะมือเงื้อขึ้นดาบฟันลง ป่นขยี้หัวใจซึ่งไร้บ้านให้หวนกลับ ทำลายวิญญาณซึ่งไร้ที่ให้พักพิงดวงนี้เสียให้สิ้น
คำสาบานชั่วนิรันดร์ รอยยิ้มสง่างาม ถูกปัดออกจากใจ
ยอดขุนพล
ในเมื่อเป็นยอดขุนพล ก็ต้องไม่เจ็บใจและเสียใจ
ล้อรถกระแทกกระเทือนไปตามทาง หมุนปั่นอย่างรวดเร็ว
เหอเสียร้อนใจใคร่รีบกลับ หลังได้ตัวพิงถิงมา ชายหนุ่มก็ขี่นำหน้า เร่งห้อตะบึงสู่บ้านหลังใหม่โดยไม่คำนึงถึงลมหิมะที่พัดสวนมา
อวิ๋นฉาง...ซึ่งอยู่ห่างออกไปสุดจะมองเห็นได้ วังหลวงอันโอ่อ่าน่าเกรงขามของภรรยาเขา...องค์หญิงเย่าเทียน จักเป็น บ้าน ไปชั่วชีวิตจริงๆหรือ?
หากไม่ใช่ บ้าน...เขายังจะไปที่ใดได้?
ที่ใดเล่ายังคงมีวังจิ้งอานหวางในวันวาน?
เหอเสีย...ยังมีป๋ายพิงถิง...ล้วนไม่อาจหวนกลับไปได้อีก
ไม่อาจหวนกลับไปได้อีกแล้ว...
<>::<>::<>
ความเย็นเฉียบอ้างว้าง ร้อยทะลวงผ่านใจ วนรัดรอบกระดูก เหอเสียหันกลับไปมองรถม้าซึ่งล้อหมุนปั่นดั่งเหินบินทางด้านหลังอยู่ชั่วแล่น
พิงถิงกลับมาแล้ว อย่างหัวใจสลายสิ้น วิญญาณสาบสูญ แต่เศษเสี้ยวความทรงจำของวังจิ้งอานหวาง...ยังคงอยู่
นางอยู่ วันวานก็ยังอยู่
นางอยู่ เหอเสียคนที่เคยยิ้มผยองให้สี่แคว้น องอาจสง่างาม เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้นั้น ก็จะเคยมีตัวตนอยู่จริงๆ
นายน้อยขอรับ! เสียงตะโกนของตงจั๋วดึงสติชายหนุ่มกลับคืนมาโดยพลัน ตงจั๋วขี่ม้ากลับมาจากด้านหน้าสุดของขบวนทัพ แล้วมารั้งม้าหยุดลงตรงหน้าเหอเสีย นายน้อย ข้างหน้ามีคนมาขวางทาง บอกว่าอยากจะพบนายน้อยขอรับ
นัยน์ตาเหอเสียทอประกายคมกล้า นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ค่อยโบกมือหยุดขบวนทัพที่ตามมาทางด้านหลัง
ทั้งขบวนทัพพากันหยุดชะงัก
ไปนำตัวมา
ครู่ถัดมา ชายหนุ่มซึ่งถูกมัดมือเอาไว้ก็ถูกผลักมาตรงหน้าม้าของเหอเสีย
เจ้าต้องการพบข้ารึ? เหอเสียก้มลงมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างพินิจ
อีกฝ่ายสวมชุดนักศึกษา รูปร่างผอมซูบ แต่บุคลิกกิริยากลับดูสุขุมหนักแน่น แม้เผชิญหน้ากับสายตาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องของเหล่าองครักษ์สองข้างกายเขา ยังคงเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างปราศจากวี่แววหวั่นเกรง
เสี่ยวเจียงนามว่า เฟยเจ้าสิง ขอรับ เสี่ยวเจียงเร่งเดินทางไม่หลับไม่นอนเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน และมารอเสี่ยวจิ้งอานหวางอยู่ที่นี่ได้สามชั่วยามแล้ว เพียงเพื่อจะพบหน้าเสี่ยวจิ้งอานหวางและส่งข่าวอันล้ำค่าให้เท่านั้น
เหอเสียนิ่งจ้องอีกฝ่าย ไม่ถามว่านั่นคือข่าวอะไร สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดโดยพลัน แค่นเสียงออกมา ก่อนจะถามเสียงเย็นยะเยียบ
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะผ่านมาทางนี้?
องครักษ์ข้างกายชักกระบี่ออกมาชี้ตรงไปยังเฟยเจ้าสิงในบัดดล ขอเพียงเฟยเจ้าสิงตอบผิดพลาดแค่คำเดียว จะโดนห่ากระบี่รุมแทงใส่ในพริบตา
แทนที่จะตื่นตระหนก เฟยเจ้าสิงกลับคลี่ยิ้ม เหลือบตามองมาพลางกล่าวว่า
ในสี่แคว้นผู้ใดบ้างที่ไม่มีหูตาของตัวเอง? ขอบอกต่อเสี่ยวจิ้งอานหวางโดยไม่ปิดบัง แม้แต่เจ้านายของเสี่ยวเจียงเองก็ไม่กล้ามั่นใจอย่างเต็มที่นักว่าเสี่ยวจิ้งอานหวางจะผ่านมาทางนี้ในเวลานี้ การที่เจ้านายส่งเสี่ยวเจียงมาเฝ้าอยู่ที่นี่ เป็นเพียงการลองสุ่มเสี่ยงดวงดูเท่านั้น อีกประการ หากเสี่ยวจิ้งอานหวางไม่ผ่านมาทางนี้ในเวลานี้ เช่นนั้นข่าวที่เสี่ยวเจียงนำมา ก็จะไม่มีประโยชน์ใดต่อเสี่ยวจิ้งอานหวางแม้แต่น้อย
สายตาซึ่งสามารถมองทะลุใจคนได้จับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเฟยเจ้าสิงอยู่ชั่วอึดใจ แต่มองไม่เห็นความเท็จใดๆแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเหอเสียค่อยผ่อนคลายลง เอ่ยถามว่า
นายของเจ้าคือผู้ใด? ข่าวที่ว่าคือข่าวอะไร?
นายของเสี่ยวเจียง คือ...... เฟยเจ้าสิงก้าวเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว ลดเสียงเบาลงกล่าวว่า หวางโฮ่วเหนียงเนี่ยงแห่งกุยเล่อ
<>::<>::<>
ฝีเท้าม้ากระหึ่มก้อง ห้อตะบึงไปทางตะวันตกภายใต้การนำของฉูเป่ยเจี๋ย
ทหารและม้าต่างเหนื่อยอ่อน แต่ไม่มีผู้ใดล้าหลังพลัดจากกลุ่มแม้แต่คนเดียว
ในที่สุดจันทราก็ขลาดกลัว หลบเร้นไปยังที่ซึ่งไร้ผู้คนอย่างเงียบงัน ยังไม่ถึงเวลาที่ดวงตะวันจะเผยโฉม
ใกล้รุ่งสาง ท้องฟ้ากลับยิ่งมืดสนิท
ย่าห์! ฉูเป่ยเจี๋ยยังคงขี่ม้าห้อตะบึงต้านลม
มือเท้าชายหนุ่มแทบจะชาด้าน มีเพียงกระบี่ที่ข้างเอวได้ส่งความร้อนระอุผ่านเสื้อผ้าสู่ผิวกาย ระบายความปรารถนาใคร่ดื่มเลือด
โลหิต ซากศพ และผืนทราย
ความกังวลและดาลเดือดสุมอยู่เต็มอก ชายหนุ่มกระหายใคร่สะบัดกระบี่ ให้รู้สึกถึงไออุ่นยามศีรษะของศัตรูร่วงตกลงสู่พื้น เหยียบย่ำซากศพของศัตรู จากนั้น...คุกเข่าลงกล่าวคำพูดสำนึกผิดอย่างจริงใจต่อร่างบอบบางนั้น ซึมซาบความหอมกรุ่นจากชายกระโปรงของนางอีกครั้ง
แนวเส้นของเทือกเขาเหิงต้วนปรากฎแก่สายตา ฉูเป่ยเจี๋ยควบตะบึงพุ่งขึ้นสู่ยอดบนสุดของเนินเขา ทอดตามองรอบด้านอันมืดสนิท ชั่วเวลาหนึ่งเค่อก่อนยามฟ้าสางของเหมันต์ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสีเดียวกัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยสายเลือดทอประกายกล้า กวาดมองไปรอบทิศ ภายใต้คลองจักษุ ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยบนทางภูเขาสายหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนักส่งผลให้รูม่านตาหดวูบโดยพลัน
เสียงม้าร้อง!
ในความมืดมิด ปรากฏเงาคนเคลื่อนไหวอยู่รางๆ
ฉูเป่ยเจี๋ยกลั้นหายใจโดยพลัน
ชายหนุ่มชักกระบี่ออกจากฝักอย่างเงียบงัน ความมุ่งมาดอันแรงกล้าเต้นระริกโชนแสงจ้าในดวงตา
เฉินโหมวตามมาจากด้านหลัง มองตามสายตาของผู้เป็นนายไป ก็ได้เห็นเงาคนที่แฝงกายอยู่ในความมืดเช่นกัน เนื่องด้วยเป็นแม่ทัพมานานปี ทำให้สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที จึงถามเบาๆ
ดูท่าทางจำนวนคนจะไม่มากนัก น่าจะเป็นกองกำลังที่เหอเสียทิ้งเอาไว้ดักซุ่มโจมตี
เมื่อได้พบร่องรอยของศัตรู ฉูเป่ยเจี๋ยก็กลับคืนสู่ความเยือกเย็นเช่นยามอยู่ในสนามรบดังเดิม เอ่ยเสียงหนัก
หากเหอเสียจำเป็นต้องทิ้งกำลังไว้ดักซุ่มโจมตีที่นี่ ก็หมายความว่ากองทัพหลักอยู่ในเทือกเขาเหิงต้วนนี่เอง
หากกองทัพหลักข้ามผ่านเทือกเขาเหิงต้วนไปอย่างปลอดภัยแล้ว กองกำลังดักซุ่มโจมตีจะต้องเร่งออกเดินทางไปสมทบกับกองทัพหลักในทันที
บุกตะลุยลงไป เหลือทหารที่มียศไว้สอบปากคำถามทิศที่ไปของกองทัพหลัก
พ่ะย่ะค่ะ!
กระบี่ในมือร้อนจนลวกมือ
หัวใจ...ร้อนยิ่งกว่ากระบี่
จากคุณ :
Linmou
- [
19 พ.ค. 52 06:11:03
]