Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ตราบรัก เคียงใจ บทนำ-บทที่1

    บทนำ

    เช้าวันนี้อากาศสดใสทีเดียว...

    ขนาดสีสันของดอกลีลาวดีและยี่โถในสวนยังเปล่งประกายเหมือนหลุดออกมาจากภาพถ่ายที่ถูกปรับเปลี่ยนจากโปรแกรมแต่งรูป ทว่า ทั้งที่บรรยากาศรอบตัวดูงดงามราวภาพฝันอย่างนี้ แต่นครินทร์กลับรู้สึกไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ใช่เพราะขี้เกียจไปทำงานหรอก หากเป็นสัญญาณซึ่งร้องเตือนไม่หยุดอยู่ในอกขณะเฝ้ามองชายหนุ่มผู้กำลังหลับลึกอยู่ตรงหน้าเขานี่ต่างหาก

    “วันนี้ไม่ไปทำงานหรือ หนึ่ง”

    คำทักทายด้วยเสียงแหบแห้งทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะตื่นแล้ว ก่อนขยับตัวนั่งลงบนเตียงเดียวกับที่ชายคนนั้นนอนอยู่ จับปอยผมสีดำสนิทซึ่งยาวระหน้าไปเหน็บไว้ที่หูให้อย่างอ่อนโยนพลางตอบ

    “กำลังคิดอยู่”

    “เดี๋ยวแม่นายก็โวยตายหรอก... ไปเถอะ ถ้าเกิดปัญหาอะไรฉันก็ยังมีป้าปานอยู่นะ”

    “แต่เช้านี้ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยดี”

    “มันคงไม่แย่ไปกว่านี้หรอกน่ะ”

    หลังจากพินิจคนนอนแหมบอีกพักเขาก็ถอนใจ... ใช่... เต้ไม่มีทางดีหรือแย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่

    “งั้นนายก็นอนต่อเถอะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำแล้วจะมากินข้าวด้วย”

    มีเพียงรอยยิ้มบางเป็นคำตอบรับ ชายหนุ่มจึงตบไหล่เขาเบาๆ สองสามครั้งก่อนลุกขึ้นเพื่อเข้าห้องน้ำ

    บ้านชั้นเดียวแถบชานเมืองทำจากไม้ทั้งหลังนี้เพิ่งสร้างได้ไม่นานหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น นครินทร์ยังจำได้ดีถึงวันที่ได้รับโทรศัพท์ว่ารถพนักงานบริษัทที่เต้นั่งไปด้วยนั้นเกิดประสานงากับรถบรรทุกน้ำมันและพลิกคว่ำ คนที่รอดชีวิตมาได้มีไม่ถึงสิบและชายคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่กว่าจะผ่านช่วงนาทีวิกฤตมาได้ นายเต้ก็ยังต้องนอนไอซียูต่อถึงสี่เดือนก่อนที่หมอจะอนุญาตให้ย้ายมานอนในห้องพักฟื้น ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นผ่านมาได้สักสี่หรือห้าปีแล้วกระมัง

    ชายหนุ่มปิดฝักบัวและสวมแค่เสื้อคลุมอาบน้ำเพื่อลงไปยกถาดอาหารเช้าที่เขาสั่งป้าปาน อดีตพยาบาลวัยห้าสิบเศษให้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่หลังตื่นนอนไม่นาน เกือบเป็นกิจวัตรทุกเช้าที่เขาต้องเข้าไปดูแล พูดคุย หรือทานอาหารกับเต้ก่อนออกจากบ้าน แต่ช่วงสัปดาห์หนึ่งก็จะมีสักวันหรือสองวันที่เขาต้องกลับบ้านใหญ่ไปใช้เวลากับครอบครัวหรือต้อนรับแขกเหรื่อจากต่างประเทศที่มาติดต่องานกับบริษัท เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะเขาคือทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าของกิจการใหญ่โตภายใต้แบรนด์เนมกิมเจริญสถาพรอนันต์ ที่มีทั้งตลาดสด สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม และโลจิสติกส์ ไม่นับการลงทุนในต่างประเทศอีกสามสี่แห่ง โชคยังดีที่เขาไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด ญาติฝ่ายมารดากับเพื่อนวัยเด็กอีกสองคนมีศักยภาพมากพอจะช่วยเติมเต็มบางจุดที่อาจรอดหูรอดตาเขาไปได้

    “อ๊ะ คุณหนึ่ง วันนี้ตื่นเช้าจังนะคะ”

    เสียงใสแจ๋วของเด็กสาววัยกำดัดทำให้ชายหนุ่มแอบเบ้ปากขณะตักข้าวต้มหมูที่ป้าปานปรุงขั้นต้นเสร็จแล้วในหม้อ เธอชื่อปิ่น อายุราวสิบเก้าปี เป็นหลานสาวของอดีตพยาบาลมือดีที่จะมาช่วยดูแลงานบ้านบ้างบางครั้งหากหญิงวัยใกล้ชราเกิดโรคประจำตัวอย่างพวกไขข้อ ซึ่งนครินทร์เองก็กะจ้างไว้เป็นแม่บ้านประจำถ้าไม่ติดว่าเห็นความคิดเกินลูกจ้างที่แสดงออกอย่างชัดเจนในแววตาของผู้หญิงอายุน้อยกว่าร่วมสิบปีคนนี้

    “ป้าปานล่ะ”   เขาถามโดยทำเป็นง่วนอยู่กับการจัดเครื่องปรุงข้าวต้ม

    “ไปหาหมอค่ะ เห็นบอกว่ายาหมด”   เธอพูดพลางเดินเขามาช่วยเขารินน้ำทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด ในห้องคนป่วยมีตู้เย็นและแก้วน้ำไว้พร้อมอยู่แล้ว

    “ฉันจัดการตรงนี้เอง เธอไปทำงานต่อเถอะ”

    “หนูรดน้ำต้นไม้กับกวาดลานบ้านเรียบร้อยแล้วค่ะ เผื่อคุณเต้อยากออกไปสูดอากาศ ชมนกชมไม้”

    นั่นไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อมาอยู่ใกล้ชิดเขา แถมสัญญาณแปลกๆ ในอกก็ยิ่งร้องเตือนจนน่าหงุดหงิดทันทีที่เด็กสาวพูดจบประโยค ชายหนุ่มกระแทกทัพพีลงกับชามก่อนมองหน้าปิ่นด้วยสายตาเย็นชา

    “วันนี้ฉันไม่ให้เต้ออกนอกบ้าน ห้ามพาเขาออกมาเด็ดขาดเลยนะ ฝากบอกป้าปานด้วย”
     
    “แต่ว่า...”   ปิ่นพูดได้เท่านั้นเมื่อสบกับดวงตาสีดำสนิทของเจ้านายหนุ่ม ความกลัวแล่นจุกคอจนพูดไม่ออก หายใจติดขัดขณะพยักหน้ารับคำสั่ง จนกระทั่งคนตัวสูงใหญ่ลับสายตาไปแล้วนั่นแหละ ร่างกายจึงกลับมาเป็นปกติ

    “คนอะไรน่ากลัวชะมัด”   เด็กสาวบ่นพลางเบ้ปาก ทว่าสักพักเธอก็อมยิ้ม   “แต่ก็หล่อเป็นบ้าแถมยังรวยมากเสียด้วย อย่างกับเจ้าชายในฝันแน่ะ”

    เจ้าชาย... ที่เธอหมายมั่นไว้ว่าสักวันจะได้ครอบครองเขา ปิ่นมั่นใจมากว่าเสน่ห์และรูปร่างหน้าตาของตนไม่เป็นสองรองใครเพราะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในตลาดต่างก็ชื่นชมเธอด้วยกันทั้งนั้น ขนาดนายลูกเศรษฐีใหม่แถวนี้ยังแอบหลงรักเธอเลย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกที่เจ้าชายรูปงามนามนครินทร์คนนั้นจะเมินเฉยต่อความสวยของปิ่นมณีคนนี้

    สักวันเถอะ ใบหน้าหล่อเชิดหยิ่งนั่นจะต้องมาสยบแทบเท้า... ปิ่นมณียิ้มแสยะก่อนเดินไปชำเลืองหม้อข้าวต้มบ้าง ถึงป้าปานแยกหม้อระหว่างนายบ่าวเอาไว้แล้ว แต่คนซึ่งใกล้เกี่ยวดองในอนาคตจะกินข้าวหม้อเดียวกันก็คงไม่แปลก รวมไปถึงสิทธิ์ในการใช้จานชามราคาแพงที่แยกจัดไว้ต่างหากในตู้นั่นก็เหมือนกัน เด็กสาวจึงหยิบชามแก้วเจียระไนออกมาใบหนึ่งและตักข้าวต้มนั่งกินตามลำพังในครัวด้วยสีหน้าเบิกบาน

    “นายนี่เผด็จการไม่เปลี่ยนเลยนะ โตแต่ตัวหรือไง”

    เสียงบ่นง้องแง้งของเต้หลังจากได้ยินคำสั่งห้ามออกจากบ้านวันนี้ ทำให้คนกำลังกินเกือบกระแทกช้อนลงชามข้าว ถ้าไม่ติดว่าเจ้าคนปากไวกำลังป่วยอยู่ล่ะก็ คงได้มีการไขขมับสั่งสอนเหมือนเมื่อสมัยเรียนมัธยมกันบ้างล่ะ

    “ก็นายไม่สบาย เสียงแหบเสียงแห้งอย่างนั้น จะออกไปตากลมทำไม”


    “เขาเรียกแหบเสน่ห์เฟ้ย หัดตามเทรนด์ให้ทันหน่อยไอ้คุณชายตลาดสด”

    หนึ่งวางช้อนลงบนชามอย่างเบามือก่อนจะยิ้มให้คนพลั้งปากซึ่งทำหน้าเหวอเหมือนรู้ชะตากรรมในอนาคตอันใกล้ของตัวเอง ร่างสูงใหญ่ผุดลุกจากเก้าอี้เพื่อย้ายไปนั่งลงบนเตียงคนเจ็บ เลือกจับตรงส่วนเนื้อหนังบนใบหน้าที่ยังเป็นปกติดีอยู่แล้วหยิกด้วยแรงที่ไม่มากนัก แค่พอให้นายปากดีได้เจ็บๆ คันๆ บ้าง ทว่าผลที่ได้กลับเป็นเสียงโวยวายดังลั่นจนผู้กระทำใจเสีย

    “เต้ เป็นยังไงบ้าง ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ”

    พูดพลางลูบปลอบขวัญคนที่กุมหน้าร้องโอดโอยเหมือนปวดร้าวเสียเต็มประดา จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกหลุดออกมานั่นแหละ มือที่ลูบอยู่จึงเปลี่ยนเป็นตบกบาลคนเจ็บด้วยแรงซึ่งหนักกว่าเดิม

    “เจ็บนะโว้ย ไอ้ซาดิสม์”

    “เออ ก็กะให้เจ็บ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่จำว่าบ้านนี้ใครเป็นใหญ่”
    ผู้ถูกทำร้ายเบะปากและแลบลิ้นใส่ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ปากตัวเองต่อ สปีดในการกินช้าลงจนคนมองถอนหายใจก่อนแย่งทั้งช้อนทั้งชามมาตักข้าวจ่อปากคนเจ็บ แต่เต้กลับส่ายหัว

    “ฉันกินเองได้น่า”

    “แต่มือนายสั่นนะ ฉันเห็น”

    “ฝืนๆ ไปเดี๋ยวก็กินเองได้แหละ เถอะน่าหนึ่ง... ให้ฉันทำอะไรบ้าง อย่าให้คิดว่าตัวเองไร้ค่ามากไปกว่านี้เลย”

    เห็นแววอ้อนวอนในดวงตากลมโตแล้วก็ได้แต่ลอบถอนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่อยากให้เต้ทำอะไรด้วยตัวเอง หากเพราะกำลังวังชาของหมอนี่ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำร้ายหน้าตาและร่างกายนายคนนี้ไปถึงสามในสี่ส่วน แค่มือสองข้างที่ไม่สามารถหาเนื้อเยื่อมาปลูกถ่ายศัลยกรรมใหม่ยังขยับได้อยู่นี่ก็ปาฏิหาริย์มากแล้ว

    “ไม่ บ้านนี้ฉันใหญ่ คำสั่งฉันคือประกาศิต”

    แม้รู้เต็มอกว่าคนตรงหน้าทำเพราะหวังดี แต่ในใจเต้ก็อดหงุดหงิดไม่ได้... ช่างเถอะ อยากป้อนนักก็ให้ป้อนไป ดีเหมือนกัน เขาจะได้ออมแรงไว้ไถวีลแชร์ออกนอกบ้านไปชมนกชมสวนตอนไอ้คุณชายตลาดสดนี่ไม่อยู่...

    หากสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า นครินทร์คงยอมให้คนเจ็บกินข้าวเองจนขยับแขนไม่ไหว หรือไม่ก็เชื่อสัญญาณในอกซึ่งยิ่งดังถี่และร่ำร้องไม่หยุดขณะที่เขาขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่บริษัท

    จากคุณ : g_maru - [ 21 พ.ค. 52 23:35:25 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com