ชายชราคนที่สี่
จำได้ว่ามีชายชาวจีนคนหนึ่งทำงานที่ร้านอาหาร
เป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานมานานตั้งแต่เถ้าแก่คนแรก
ที่เริ่มกิจการผลิตลูกชิ้นเนื้อวัวขายในหาดใหญ่
ต้องเข้าใจอย่างว่า คนจีนบางกลุ่มจะไม่กินเนื้อวัวเลย
และบางคนก็แอนตี้คนกินเนื้อวัวเป็นอย่างมาก
เพราะคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมจะไม่กินเนื้อวัวเลย
เพราะวัวใช้ทำไร่ไถนามีบุญคุญกับชาวนามาก
กับส่วนหนึ่งน่าจะเป็นอุบาย เพราะว่า
วัวตกลูกสูงสุดไม่เกินสองตัวต่อครอก ส่วนมากมักจะตัวเดียว
และใช้เวลาตั้งท้องเกินกว่าแปดเดือน
การกินเนื้อวัวมาก ๆ อาจจะมีปัญหากระทบต่อเกษตรกรรม
และจำนวนวัวในระยะยาวได้
แต่การค้าขายของเถ้าแก่เจ้านี้ก็ไปได้ดีมาก
เพราะจะมีกลุ่มคนจีนส่วนหนี่งที่ไม่ถือและคนไทยทั่วไปที่ไปอุดหนุน
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณชายเจ้าของรายการชวนชิม
ได้ไปชิมอาหารร้านนี้และบอกว่าอร่อยมากเลย
เจ้าของร้านคนแรกก็เลยขอใช้ชื่อ
ลูกชิ้นเนื้อวัวยี่ห้อเดียวกันกับคุณชายเจ้าของรายการชวนชิม
เป็นร้านในหาดใหญ่ที่ดังมาก
แถวถนนสายหลักจากสถานีรถไฟหาดใหญ่
ร้านนี้เปิดมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว
ก่อนที่พี่น้องจะแยกย้ายกันไปเปิดร้านใกล้ ๆ กันอีกสามร้าน
หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว
โดยต่างคนต่างผลิตสินค้าจำหน่ายในชื่อเดียวกัน
แต่สูตรการทำน้ำซุปและกรรมวิธีการผลิตลูกชิ้นจะแตกต่างกัน
ทั้งในด้านรสชาด จะแตกต่างกันด้านกลิ่นและความเด้งของลูกชิ้น
เหมือนกับร้านอาหารทั่วๆไป ที่จะมีวิธีการผลิตต้มยำทำแกงแตกต่างกัน
แม้ว่าจะมีเครื่องเคราและสมุนไพรพื้นฐาน
จะมีสูตรพื้นฐานใกล้เคียงกันหรือเหมือน ๆ กัน
ชื่อชายชราชาวจีนคนนี้จำไม่ได้แล้ว
เพราะเวลาไปกับเพื่อน ๆ มักเรียกแกว่า เสี่ยวเอ้อ หรือ เฮีย แล้วแต่อารมย์
การเรียก เสี่ยวเอ้อ เพราะช่วงนั้นจะมีหนังกำลังภายในใช้คำพูดนี้มาก
เวลาเรียกหาคนบริการตามโรงน้ำชาหรือโรงเหล้าของภาพยนต์กำลังภายในจีน
หน้าที่หลักของแกคือ รับคำสั่งอาหาร เสริฟอาหาร เก็บกวาดโต๊ะเก้าอี้
และการให้บริการน้ำดื่ม ประเภท น้ำเปล่า น้ำชา กาแฟ หรือ น้ำอัดลม
แล้วแต่คนที่มานั่งกินจะสั่งว่าต้องการน้ำดื่มประเภทใดบ้าง
แต่ตอนเก็บเงินจะเป็นของลูกชายเถ้าแก่ที่มารับทอดกิจการ
เป็นผู้ที่จะมาเก็บเงินเองจากลูกค้า
ช่วงหลัง ๆ แกก็เริ่มป้ำ ๆ เป๋อ ๆ สั่งอย่างก็บอกเถ้าแก่อีกอย่าง
สั่งน้ำดื่มอย่างหนึ่งก็ยกให้อีกอย่างหนึ่งเป็นต้น
จนสุดท้าย เถ้าแก่ก็ให้แกออกจากร้านไป
ซึ่งเป็นทั้งที่ขายของและที่พักของชายชราชาวจีนคนนี้
แกเลยต้องไปเช่าบ้านข้างนอกอยู่
แล้วดิ้นรนทำมาหากินอยู่พักหนึ่ง
เห็นแกเดินขายล้อตเตอรรี่อยู่พักหนึ่ง
ก่อนที่จะเลิกขายไปในที่สุด
เพราะแกเริ่มมีอาการเหมือนเดิมคือ
ความทรงจำที่เลือนลาง และป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนเดิม
ข่าวคราวสุดท้ายที่ทราบจากเพื่อนคือ
มีคนสงเคราะห์ส่งแกไปอยู่สถานอนาถารับเลี้ยงคนชรา
ของสมาคมคนจีนในหาดใหญ่
ซึ่งมีหลักเกณฑ์คือเป็นคนยากไร้และมีคนรับรอง
แต่การเข้าไปอยู่แล้วก็ไม่มีการออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก
โดยเด็ดขาดต้องอยู่แต่ในบริเวณสถานอนาถา ซึ่งไม่ต่างกับ
การกักขังในบริเวณที่กำหนดในพื้นที่ประมาณหนึ่งไร่เศษ
ที่มีการปลูกโรงเรือนอาคารไว้รับรองคนชราที่ขัดสน
และสถานอนาถาแห่งนี้ก็มีรายรับจาก ญาปนกิจสถานของคนจีน
และคนไปทำบุญเลี้ยงคนแก่เป็นหลักเท่านั้น
เมื่อหมดเวรหมดกรรมหรือใช้กรรมในโลกนี้หมดแล้ว
ก็แล้วแต่ความประสงค์ว่าจะฝังหรือเผา
ถ้าฝังก็ฝังรวมในสุสานอนาถาไร้ญาติ
ครบสิบปีก็ทำพิธีล้างป่าช้าขุดขึ้นมาเผาอีกครั้ง
ก่อนบรรจุกระดูกรวมในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
นี่คือคนจีนอีกคนหนึ่งที่เคยรู้จัก
ทำงานทุ่มเทมากมาย แต่ผลสุดท้าย
ก็ไม่แตกต่างกับนิทานอิสป เรื่อง หมาล่าเนื้อ
ที่พอแก่ชราตาฝ้าฟางก็ไม่เลี้ยงดูและเอาใจใส่แล้ว
เป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมที่
การเป็นลูกจ้างองค์การ
ได้นายดีก็ดีไปตลอดชีวิต
ช่วงบั้นปลายชีวิตก็ไม่ต้องตกระกำลำบากเท่าใด
แต่ถ้าได้นาย AubPee (ไม่ดี ไม่งาม ตามคำจัดความของท่านพุทธทาส)
ชีวิตสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย
แม้ว่าจะทุ่มเทพลังกายพลังใจให้มากมายในตอนหนุ่ม ๆ
เขียนไว้จากความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป
ถึงคนหาดใหญ่คนหนึ่งที่เคยรู้จักพบเจอ
จากคุณ :
ravio
- [
27 พ.ค. 52 20:47:45
]