Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    เกาเหลาไกด์...ไม่งอก - ตอน 2 "ไกด์เอ๋ย..ไกด์น้อย"

    ไกด์เอ๋ยไกด์น้อย
    ความรู้เรายังด้อยเร่งเรียนหนอ
    เป็นไกด์ใหญ่คงได้ค่าน้ำพอ
    จ่ายหนี้พ่อหนี้แม่แลน้าอา
         ไกด์เอ๋ยไกด์น้อย
    กรนค่อยๆอย่าบ่อยนักเพื่อนรักจ๋า
    เรียนก็หลับสอบก็ตก..ตายละวา
    ไม่เป็นไรปีหน้ามาใหม่เอย !

           เราเขียนกลอนนี้ไปแปะไว้หน้าห้องเรียน   ด้วยความง่วงของเช้าวันหนึ่ง   ใครอ่านก็อดอมยิ้มไม่ได้...เราเห็น       แล้วพวกเราก็ยังก้มหน้าก้มตาเรียนกันต่อไป

           หลายสถานที่ที่เราไปเรียนกัน เป็นสถานที่ที่มีศิลปะอันงดงามและยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อีกด้วย   ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆ  , วัดอรุณฯ  , วัดโพธิ์ ,  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  ฯลฯ        

           ส่วนที่วัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังนั้นเป็นไฮไลท์เลยเชียวแหละ    
           ระหว่างที่เราฟังอาจารย์บรรยายอยู่นั้น     ก็ให้พอดีกับนักท่องเที่ยวสาวญี่ปุ่น 2 นางยืนขนาบนายทหารยามที่ประจำการณ์อยู่บริเวณด้านหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท     แต่สาวเจ้าเอื้อมมือมาจะโอบไหล่พี่ทหารของเราซึ่งยืนเท่ห์อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ    นั่นทำให้เขาต้องปัดมือเธอออก   เนื่องจากบนบ่าของเขานั้นติดเครื่องหมายยศอยู่   ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะเอามือไปวางไว้เหนือตราสัญลักษณ์ดังกล่าว    

          แต่โชคร้ายมือของพี่ทหารไปปัดโดนดาบปลายปืนเข้า ถึงกับเลือดออก    เนื่องจากดาบปลายปืนนั้นคมปลาบทีเดียว     ไม่ใช่อาวุธที่จะมาถือกันเล่นๆ     พวกเราสาวๆแทบจะกรี๊ด    มองนักท่องเที่ยวสองคนนั้นด้วยสายตาตำหนิ   แต่สองคนนั้นทำหน้าว่าไม่รู้ไม่เห็น...ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เดินจากไป    

           เรารีบช่วยกันซับเลือดล้างแผลให้พี่ทหารด้วยความตกใจ    แม้แผลจะลึกจริงแต่พี่เขาบอกแต่ว่าไม่เป็นไร    เดี๋ยวเขาเปลี่ยนเวรแล้วค่อยไปทำแผลก็ได้ยังต้องยืนยามอยู่    
           ดูซิ...ยังอุตส่าห์ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่    ทั้งๆที่เขาต้องมาเจ็บตัวด้วยเรื่องไม่เข้าเรื่องแท้ๆ

           พอได้ออกต่างจังหวัด     คณะของเราก็ตามประกบอาจารย์หม่อมแจ    เนื่องจากต้องคอยอัดเทปเสียงด้วย    จะได้ไม่ต้องจด    แกะเทปซะคนที่เหลือก็เอาไปก๊อปอ่านได้แล้ว    แถมยังมีชีทรุ่นพี่ๆมาให้ถ่ายเอกสารกันกระหน่ำ...อุ่นใจดี  (ยังไงก็ต้องสอบผ่านละวะ)  

           คณะนางสนองพระโอษฐ์ (ฉายาที่ได้รับ) จึงประกอบไปด้วยนางทั้ง 4  ทำหน้าที่ต่างกันดังนี้        คนที่หนึ่งคอยอัดเทป     คนที่สองคอยเตรียมน้ำดื่ม   คนที่สามคอยถือร่ม    คนที่สี่คอยถือพัด  
           ตำแหน่งพวกนี้ไม่ได้กำหนดตายตัว     ผลัดเปลี่ยนกันไปแล้วแต่สะดวก    ส่วนเราได้รับมอบหมายให้เป็นนางพัดแล้วเลยติดมาเกือบทุกทริปที่ไปซะงั้น      ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย  ,  อยุธยา   หรือว่าพิมายก็ตาม      

           ถ้าสังเกตให้ดี ...เวลาที่มีภาพถ่ายอาจารย์ก็มักจะมีนางทั้งสี่ติดมาด้วยแทบทุกช็อตเลยเชียว   (แล้วเพื่อนๆก็แอบไปตัดรูปพวกเราออกเหลือไว้แต่รูปอาจารย์หม่อม  อิ  อิ)

           แล้ววันสอบก็ใกล้เข้ามา   ต้องเตรียมสอบล่ะ.....เรากับเพื่อนๆนัดกันไปวัดพระแก้ว    เพื่อความแน่ใจเราเดินไปท่องไปว่าแต่ละจุดต้องพากย์เป็นภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง   เราไม่รู้ว่าอาจารย์จะออกตรงไหน  แค่คำศัพท์ที่จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษแต่ละอย่างก็จะแย่อยู่แล้ว   ยังต้องมาลุ้นอีกว่าอาจารย์จะออกอะไร    

           แต่เราถือคติจีนว่า “เหลือดีกว่าขาด”   เพราะฉะนั้น..ท่องเอาไว้ก่อนดีกว่า  

           เริ่มกันมาตั้งแต่วัดพระแก้วเลยจนมาถึงหมู่พระที่นั่งชั้นกลาง  เหนื่อยอ่อนไปหมดเพราะไปเดินกันมาตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงแล้ว  
           เราขอนั่งพักดีกว่า   ในขณะที่เพื่อนๆเดินไปหลบมุมต่างๆด้วยอาการเดียวกัน   คือ  ยืนแหงนมองนั่นมองนี่เปลี่ยนไปตรงจุดต่างๆแล้วก็บ่นงึมงำอะไรซักอย่าง    มองไกลๆก็ไม่ต่างอะไรกับคนสติไม่ดียืนพูดอยู่คนเดียว (แหะ แหะ ..นินทาซะเลย)   ไม่สนใจแล้ว  

           เราได้ที่นั่งในศาลาหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทก็แปะลงไปอย่างหมดแรง     ใช้กระดาษพัดตัวเองให้เย็นขึ้นได้แป๊ปเดียว    ก็มีฝรั่งแบ็คแพ็คเดินมาที่โต๊ะที่เรานั่งอยู่  

           “Excuse me”   จะเอาอะไรหว่า   คนยิ่งร้อนๆอยู่...กำลังหงุดหงิดเชียว
           “คือ  ไออยากรู้ว่าอาคารนี้ใครสร้าง    สร้างมาเมื่อไหร่ ?  สำคัญยังไงสำหรับที่นี่เหรอ?”    โห...มาเป็นชุด
           “เอ่อ...คือ..เอ่อ...อ๋อ..เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง    จำลองแบบมาจากพระที่นั่งในอยุธยา  เอ่อ....สร้างโดยรัชกาลที่ 1 ของราชวงศ์จักรี   ผู้สร้างกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว     เดี๋ยวนี้ใช้สำหรับการพระราชพิธีที่สำคัญ  เช่นงานพระบรมศพ   และงานวันฉัตรมงคล   ถ้ายูเข้าไปด้านในยูจะได้เห็นพระแท่นราชบัลลังก์ประดับมุขที่สวยงามมากองค์หนึ่ง     แล้วก็จะได้ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังลายไทยที่เขียนไว้สวยงามเป็นระเบียบเหมือนเอาวอลเปเปอร์มาปิดเลยแหละ”    
           “โอ้   ไอซี  ขอบคุณยูมากนะ”   แล้วนักท่องเที่ยวคนนั้นก็เดินขึ้นไปชมด้านในของพระที่นั่ง

           อืมม์...รู้สึกว่าตัวเองได้ทำตัวเป็นประโยชน์ขึ้นมานี้ดส์นึง    
    ตอบจบไปหนึ่ง   แป๊ปเดียวฝรั่งผู้หญิงสูงวัยแต่งตัวสวยเช้งอีกคนก็เดินเข้ามาถามบ้าง
           “เอ่อ    ขอโทษนะเคอะ   คือ  ไออยากรู้ว่าอาคารหลังนี้มีความสำคัญยังไงแล้วอาคารหลังคาแหลมๆข้างๆนี่ไว้ทำอะไรละเคอะ?”
           “เป็นพระที่นั่งองค์แรก   แล้วก็.....จุด จุด จุด.............”    กล่าวคำขอบคุณแล้วเธอก็เดินจากไปชื่นชมความงามของสถานที่แต่เพียงลำพัง

           เพื่อนๆยังไม่มีใครยอมแพ้แสงแดดเดินมานั่งพักเหมือนเราเลยซักกะคน   เรานั่งหอบอย่างเหงาๆอีกไม่นาน   ก็มีสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารัก 2 คนเดินมาถามบ้าง
           “เอ่อ..คือว่า    ตึกนี้มีไว้ทำอะไรก๊ะ?    แล้วด้านหน้ามีตุ๊กตาแบบนี้ไว้ทำไมก๊ะ?”  
           กรุณาทำเสียงและหน้าตาแอ๊บแบ๊วแบบสาวญี่ปุ่น
           “เป็นพระที่นั่งองค์แรก   สร้างแบบ......จุดจุดจุด   รูปปั้นด้านหน้าแบบจีน (อับเฉาเรือ)   ได้มาจากประเทศจีนเวลาขนสินค้าทางเรือสำเภาในสมัยก่อน..........”    
           เราก็ว่าไป...เขาก็ผลัดกันถามไปเรื่อย....
           “แล้ว...เอ่อ....พวกเราเข้าไปดูด้านในได้หรือเปล่าก๊ะ?   ข้างในมีอะไร?”
           “ได้ค่ะ.....ด้านบนจะเป็น....(ว่าไปตามตำราที่ท่องมาอย่างดี)..”
           “อ๋อ....ขอบคุณมากก่ะ”   ยิ้ม...โค้ง  
           “ขอบคุณมากนะก๊ะ”  ยิ้ม...โค้งอีก    
           “ไม่เป็นไรค่ะ  ยินดี”  จะบอกว่าหยุดโค้งได้แล้วค่ะพี่ ...มารยาทดีจริงๆ

           มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย     ทำไมพวกนักท่องเที่ยวมันเดินมาถามเราอยู่คนเดียววะ ?    ทหารยงทหารยามยืนกันอยู่ไม่ยักกะไปถามกัน    แล้วเพื่อนๆเราก็เดินเตร่ไปเตร่มาตั้งหลายคน  หน้าตาก็ฉลาดๆกันทั้งนั้นไม่ยักกะถามแฮะ

           คนที่สี่กำลังรออยู่     แล้วเขาก็เดินมาถามเราจริงๆ
           “Excuse me……..”   เขาถามมา...เราก็อธิบายไป
           “ขอบคุณมากนะ   ยูทำงานที่นี่มานานหรือยัง?”    
           หา?  ทำงาน?   งงเป็นไก่ตาแตก
           “คือ...เราเป็นนักเรียนอ่ะ   ไม่ได้ทำงานที่นี่นะ”
           “อ้าวเหรอ ?   ไอเห็นยูนั่งโต๊ะประชาสัมพันธ์   เลยนึกว่ายูเป็นประชาสัมพันธ์ที่นี่ซะอีก    ขอโทษนะที่รบกวนยู”
           “เหอะ  เหอะ  ไม่เป็นไร   ไอเตรียมสอบจะเป็นไกด์อยู่แล้ว   ไอต้องขอบคุณยูที่ช่วยให้ไอได้ทดลองอธิบายเป็นภาษาอังกฤษต่างหาก   แหะ  แหะ”    ยิ้มเข้าไว้...เจ้าบ้านที่ดี..ยิ้มสิ

           พอฝรั่งคนนั้นเดินไปปุ๊บ     เราก็รีบเดินอ้อมมาดูด้านหน้าของโต๊ะ    ถึงจะเห็นป้ายตัวเบ้อเร่อว่า
           “INFORMATION”    
           มิน่า...นักท่องเที่ยวเดินเรียงหน้ากันมาถามอย่างไม่เกรงใจเลยวุ้ยไม่น่าเลยตู     ตอนเดินมานั่งดันเดินมาด้านหลัง   ก็เลยไม่เห็นป้าย   แล้วมาวัดพระแก้วร้อยวันพันชาติก็ไม่เคยเห็นมีโต๊ะประชาสัมพันธ์มาตั้งอยู่ตรงนี้นี่หว่า   ทำไมวันนี้มันโผล่มาจากไหนฟะ?  

           จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีวะเนี่ย ?        
     
           ย้ายทำเลดีกว่า....ฮวงจุ้ยไม่ดีซะแว้ววววว      ว่าแล้วก็รีบจรลีหนีนักท่องเที่ยวออกมานอกศาลา   เล่าให้พวกเพื่อนๆฟังขำกันใหญ่...แต่สายตามันไม่ใช่สายตาเห็นใจเลยนะ..สาบานได้    

           ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากบริเวณนั้น    เราแว่วเสียงไกด์ใหญ่คนหนึ่งกำลังพากย์พระที่นั่งองค์นั้นให้ฝรั่งกลุ่มใหญ่ฟัง  
           ดูที่แกพากย์ (พากย์..ภาษาไกด์หมายถึงการอธิบายประวัติสถานที่ต่างๆให้ลูกทัวร์ฟัง)  ทั้งสีหน้าน้ำเสียงแถมยังออกท่าออกทาง..น่าสนุก  เลยแกล้งเนียนเดินไปแอบฟังเขาดู    
           อยากรู้ว่าไกด์ที่ทำทัวร์มานานๆเขามีวิธีพากย์กันยังไง

           “ตอนนั้นนะมีไฟไหม้ใหญ่เลย....พระที่นั่งเดิมตรงเนี้ยะติดไฟไปหมด”    
           ฝรั่งล้อมวงตั้งใจฟัง   ใช่..พระที่นั่งองค์เดิมนั้นถูกไฟไหม้ลงจนหมด
           “คนก็ช่วยกันดับไฟใหญ่   รัชกาลที่ 1 ถือดาบวิ่งออกมา   นึกว่าข้าศึกบุกโจมตีวังซะอีก   ตะโกนลั่นว่าไหนวะ..ข้าศึก”    แกออกท่าออกทางทำมือทำไม้เงื้อง้าประกอบ    จนฝรั่งขำ

           “ที่ไหนได้ก็แค่ไฟไหม้   ไม่มีอะไรซะหน่อย”  
           ฝรั่งหัวเราะกันทั้งกลุ่ม     แต่เราอึ้ง.... แกเล่าได้สนุกมาก   แสดงท่าทางราวกับกำลังเล่นละครเวที   ทำให้ลูกทัวร์สนุกสนานและเพลิดเพลิน   เสียอย่างเดียว    สิ่งที่แกเล่าไม่เป็นความจริงซักนิด!!    

           ตามประวัติแล้ว  เมื่อพระที่นั่งองค์เดิมถูกไฟไหม้นั้น   รัชกาลที่ 1 ทรงออกสั่งการในการระงับเพลิงด้วยองค์เองจริง   และไม่ได้มีการเข้าใจผิดว่าข้าศึกยิงโจมตีจนไฟเข้ามาติดไหม้ถึงในวัง    และยิ่งไม่มีทางที่จะทำท่าทางน่าตลกขบขันอย่างที่อีตาลุงคนนั้นทำให้ฝรั่งดู    

           การทำให้ลูกทัวร์รู้สึกสนุกกับเรื่องที่เราเล่านั้น   จะทำให้ลูกทัวร์ตั้งใจที่จะฟังเรา    แต่ต้องรู้กาลเทศะไม่ใช่นึกจะเล่าอะไรให้ตลกก็ใส่สีใส่ไข่เสียจนเรื่องราวนั้นบิดเบือนไปจนหาความจริงไม่ได้  

           โดยเฉพาะเรื่องของราชวงศ์ไทยก็ยิ่งต้องระมัดปากระวังคำ !!    
           
            นี่เอง...เราถึงพยายามให้มีการอบรมมัคคุเทศก์เพื่อให้ทุกคนให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวได้ถูกต้อง    โดยเฉพาะความเข้าใจในวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ  
           ที่สำคัญความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดของคนไทย   ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง      ไม่ใช่ให้คนชาติอื่นที่รู้เรื่องของเรางูๆปลาๆแล้วเล่าเป็นตุเป็นตะอย่างออกรสออกชาติ        

           ว่าแต่..อีตาลุงคนนั้นแกใช่คนไทยหรือเปล่าหว่า ?

                         *********************

    ตอนที่ 2 แล้วค่ะ   อยากฟังคอมเมนท์จากเพื่อนๆว่าอ่านแล้วชอบมั้ย ?

    ลิงค์ตอน 1   http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7986915/W7986915.html

     
     

    จากคุณ : สร้อยสยาม - [ 19 มิ.ย. 52 12:35:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com