Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    มิติวิญญาณ

    Note: เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นนะคะ  เป็นเรื่องเก่า เขียนไว้นานแล้ว ประเด็นมาจากประสบการณ์ตัวเองนี้แหล่ะ เลยตัวเองเป็นตัวเอกไปซะ (กล้าดีม๊า 5555) เรื่องนี้เป็นเรื่องเคยตีพิมพ์แล้วนะคะ ตีพิมพ์ครั้งแรกในรวมเล่มหนังสือประสบการณ์ผี 'สยองขนตั้ง' ปี 2546 ครั้วต่อๆ ก็...เยอะ จำไม่ได้แล้ว เอาแค่ครั้งนี่แหล่ะ ^____^'   พอดีว่ารื้อ File แล้วเกิดมาเจอเข้า เลยเอามาให้อ่านกันเล่นๆ ค่ะ ไม่มีความน่ากลัว(มั้ง)ตามเคย สงสัยเราจะไม่มีพรสวรรค์ใน



    มิติวิญญาณ


    วันนี้อากาศหนาวเย็นแปลกๆ ทั้งที่เป็นกลางเดือนมีนาคมอันอากาศควรร้อนจัดจ้า ปลายนิ้วมือที่เคลื่อนไหวไปมาบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์เริ่มชาด้วยเพราะลมเย็นจากระเบียงพัดผ่านกระทบต้องผิวกาย
    จากเพียงเสื้อแขนยาวธรรมดาๆ เราเลยต้องหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาขึ้นมาสวมใส่ สายตาที่จับนิ่งอยู่บนหน้าจอคอมมานับแต่หัวค่ำค่อยละออกไปนอกระเบียง


    ฟ้าเริ่มสาง... ประกายแสงสีทองอรุณรุ่งงามตา ทว่า ไร้แม้แว่วเสียงสกุณาดังเช่นเคย
    ไม่มีแม้เพียงเสียงขนรถของของบ้านตรงข้ามที่จะต้องออกส่งของทุกเช้าตี 5
    จะว่าไปแล้ว ตอนตี 4 จะต้องมีเสียงรถรดน้ำต้นไม้ขับผ่านมาหน้าบ้าน แต่วันนี้ ไม่มี...


    เช้าวันนี้... เช้าวันที่เงียบเหงาผิดปกติ เรามองออกไปนอกระเบียง ก็ไม่เห็นผู้คนที่ตึกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่เคยเห็นดังเช่นทุกครั้ง มองจากตึกสูงสี่ชั้นลงไปบนถนนหน้าบ้าน ป้ายรถเมล์ที่อย่างน้อยเวลานี้ต้องมีนักเรียนศิลปากรบ้านข้างๆ มายืนรอรถแล้ว แต่... ไม่มี...

    เรากวาดสายตาขึ้นมองทั่วท้องฟ้า เมฆครึ้มอึมครึมดั่งพิรุณจะสาดสาย ทว่า... มิใช่เมฆฝนดังเช่นคิด วันนี้บรรยากาศรอบกายเราแปลกไป ไม่รู้ว่าแปลกอย่างไรแต่เรารับรู้ได้ถึงความผิดปกติ อากาศเย็นเยียบท่ามกลางหน้าร้อนเดือนมีนาคม ผู้คนทั่วไปที่เหมือนไม่เคลื่อนไหว รถราไม่ผ่านไปมาดังเช่นทุกที ราวกับโลกเราในวันนี้ถูกสะกดอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ

    เราเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมตัวเข้านอน เป็นเวลาเดียวกับที่แม่และพ่อตื่นขึ้นมา เราไม่ได้บอกพ่อกับแม่ถึงความผิดปกติที่เรารู้สึก แต่ก็เหมือนพ่อกับแม่จะรู้ดีอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ไม่มีใครออกนอกบ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่ออกไปไหนทั้งที่ปกติพ่อจะต้องออกไปเดินเล่น
    ข้างนอกทุกวัน แต่วันนี้... ไม่มีใครไป

    เราเข้าไปนอนโดยที่ยังไม่ได้คุยอะไรกับพ่อและแม่เลย พ่อกับแม่ก็ดูเหมือนจะไม่บอกอะไรกับเรา จะว่าไปแล้วบรรยากาศของท่านทั้งสองก็ทำให้เรารู้สึกผิดปกติ เหมือนไม่ใช่พ่อกับแม่คนเดิมที่เรารู้จัก เราไม่ได้ยิ้มทักทายกันตอนเช้า ไม่ได้พูดคุยกัน พ่อกับแม่เพียงแต่มองหน้าเราเงียบๆ เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยกล่าวออกมาได้

    เราหลับไปได้คิดว่าไม่นานเท่าไหร่ ตื่นมาก่อนบ่ายเสียอีก ทั้งที่เข้านอนสายตั้ง 7 โมงเช้า
    และเมื่อตื่นขึ้นมา... ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...

    ไร้เสียงนกร้อง... ไร้เสียงพูดคุย... ไร้เสียงรถรา...

    วันนี้เหมือนมิใช่โลกที่เราเคยอยู่เสียอย่างนั้น...

    วันนี้เราไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเลย มันรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ได้กดดันในบรรยากาศที่ผิดแผกไปหรอกนะ แต่เราเหมือนไม่มีสมาธิจะทำงานเลย ร้อนรุ่ม ใจไม่สงบ อยากออกไปข้างนอก อยากออกไปนอกบ้าน เราคิดถึงเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตเรา เราไม่ได้พิศวาสอะไรเพื่อนหรอก แค่อยู่ดีๆ เราก็รู้สึกอยากอ่านการ์ตูนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และเพื่อนคนนี้จะเป็นคนที่เราไปยืมการ์ตูนมันมาอ่านเสมอ

    เราอยู่ไม่ได้แล้ว รู้สึกว่านั่งไม่ติดที่เลย ยังไงก็ต้องไปหาเพื่อนให้ได้ ก็จะไปไถการ์ตูน
    มาอ่านนั่นแหล่ะ แต่จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่า ถ้าวันนี้เราได้พบกับเพื่อนของเรา เขาคงเป็นคงเดียวที่ไม่ถูกสะกดอยู่ในความเงียบสงบของโลกใบนี้

    เขา... คงเป็นเพื่อนคนเดิมที่เรารู้จัก อย่างน้อยเราก็คิดอย่างนั้น...

    ท้ายที่สุดเราก็ทนนั่งอยู่ไม่ไหว เราลุกขึ้นหันไปดูนาฬิกา ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี เราจำได้อย่างแม่นยำ ถ้าเราแต่งตัวตอนนี้ บ้านเพื่อนเราอยู่แค่ที่บางโพนี่เอง คงใช้เวลาไม่นานน่าจะได้กลับก่อนค่ำ เราก็กลับบ้านค่ำบ่อยนะ แต่วันนี้รู้สึกว่าไม่ได้จริงๆ เราออกจากบ้านตอนค่ำไม่ได้ ไม่รู้ทำไม แต่เรารู้สึกว่าอย่างนั้น และเป็นความรู้สึกที่รุนแรง
    มากเหลือเกิน

    เรามั่นใจที่สุดถึงที่สุดว่าเราใช้เวลาแต่งตัวเพียงไม่นาน อย่างมากไม่มีทางเกิน 30 นาทีแน่นอน  ทว่า...

    เราแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้อง สิ่งที่ได้พบคือท้องฟ้ามืดสนิท...

    ค่ำแล้วอย่างนั้น ? เป็นไปได้อย่างไร ?

    ขณะที่เรากำลังยืนตะลึงอยู่กับช่วงเวลาที่หายไป โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นมันหายไปไหน พ่อก็เดินเข้ามาหาเรา ถามเราว่าเราจะออกไปข้างนอกเหรอ

    สังหรณ์เรารุนแรงมากที่ว่า กลางคืนของวันนี้อันตรายยิ่งนัก หากลึกลงในความรู้สึกเราไม่รู้ว่าทำไม เราต้องไป เราต้องออกไปข้างนอกให้ได้ แม้ว่า... จะเป็นเวลาค่ำคืนของวันอันน่าพรั่นพรึงก็ตาม...

    เราหันไปตอบกับว่าพ่อ ใช่ เราจะออกไปข้างนอก ซึ่งก็แน่นอนว่าพ่อจะต้องห้ามเรา แต่เราก็ยังดึงดันจะออกไปให้ได้ เราโกหกไปว่าเราแค่จะไปซื้อของที่ร้านใกล้ๆ แต่พ่อก็ไม่ยอม สุดท้ายเราเลยต้องใช้มุขเดิม (ที่เราใช้ประจำเวลาแอบออกไปซื้อของกลางดึก) คือรอให้พ่อเผลอแล้วแอบแวบออกจากบ้านมา

    บ้านเราอยู่ที่ถนนอำนวยสงคราม จากบ้านเรามีทางไปหาเพื่อนเราได้สองทางคือ ออกมาทางบางกระบือหรือศรีย่านแล้วต่อรถเมล์สาย 16 30 66 ปอ. 5 อ้อ! ตอนนี้ต้องเป็นสาย 505 ไปลงที่หน้าโรงพยาบาลบางโพ เพื่อนเราทำร้านลูกโป่งอยู่แถวๆ นั้น อีกทางก็ใกล้หน่อย จากหน้าบ้านเราเดินข้ามสะพานเกษะโกมล (อยู่ใกล้กันนิดเดียว) ไปตรงถนนพระรามที่ 5
    แล้วขึ้นรถเมล์สาย 5 ไป ลงหน้าบ้านเพื่อนเราได้เลย

    ปกติเราจะไปทางพระรามที่ 5 เพราะใกล้และสะดวก เสียแต่รถเมล์สาย 5 ตอนค่ำๆ
    จะรอนานเป็นชาติ เท่านั้นล่ะที่ทำให้เราไม่ชอบ แต่จนแล้วจนรอดเราก็จะเลือกไปทางนั้นอยู่ดี

    แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไง เราลังเลอยู่ตั้งนานว่าควรจะไปทางไหนดี เราจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ของช่วงวันที่ผ่านมา แต่คุ้นๆ เหมือนมีใครบอกเราว่าอย่าเดินทางไปเส้นพระรามที่ 5

    เราไม่รู้หรอกว่าทำไม ความทรงจำในส่วนนั้นก็ลางเลือนเสียเหลือเกิน และชั่วขณะที่ลังเล... ท้ายที่สุดเราก็ตัดสินใจไปทางปกติที่เราเคยไปคือทางพระรามที่ 5 กระนั้นอีกใจหนึ่งเรายังคิด
    อยู่เลยว่า เราควรจะขึ้นรถเมล์สาย 70 ที่ผ่านหน้าบ้านเราเพื่อไปต่อรถที่เตาปูนดีไหม คิดได้เช่นนั้นเราเลยยืนรอรถเมล์สาย 70 อยู่พักหนึ่ง ไม่นานเลย เวลาไม่ถึงแค่เสี้ยววินาที
    รถเมล์สาย 70 ก็ผ่านมา ทว่า...

    เราไม่เคยเห็นรถเมล์สาย 70 คันสีขาวมาก่อน เพราะรถคันนี้จะมีอยู่สองสีคือรถเมล์แดง
    ธรรมดากับรถยูโรสีส้มเท่านั้น แต่สาย 70 คันที่ผ่านมานี้เป็นสีขาว แถมเมื่อมองเข้าไปข้างในรถยังรู้สึกไม่ดีเอามากๆ อีกด้วย

    เวลาค่ำถึงเพียงนี้ แต่ในรถกลับปิดไฟมืดสนิท น่าแปลก...เรามองเห็นสภาพภายในรถคันนั้นได้อย่างชัดเจนทั้งที่รถไม่ได้ชะลอความเร็วเมื่อวิ่งผ่านหน้าเราไปแม้เพียงน้อยนิด

    ในรถเมล์อันมืดแสนมืดคันนั้น เราเห็นคนขับรถและผู้โดยสารที่มีอยู่เพียงคนเดียว ผู้โดยสารรถเมล์คันนั้นช่างน่าประหลาดนัก เค้านั่งนิ่งอยู่บนรถที่ปิดไฟมืด หน้าตาไร้รอยยิ้ม
    รูปร่างผอมแห้ง ผิวพรรณดำคล้ำจนดูเหมือนคนป่วยเป็นโรค ทั้งบนศรีษะยังไม่มี
    ผมแม้แต่เส้นเดียว

    ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบอก แต่ก็เหมือนกับเรารับรู้ได้ รถเมล์คันนั้นจุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่ใด
    ที่หนึ่งที่อยู่บนโลกนี้อย่างแน่นอน มันราวกับว่า... รถเมล์คันนั้นกำลังพาผู้โดยสารไปยัง
    โลกวิญญาณเสียอย่างนั้น อย่างน้อยก็เป็นไปในความคิดของเรา...

    จากคุณ : Lady_Ren - [ 27 มิ.ย. 52 01:42:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com