บรรทัดสุดท้ายของนักอยากเขียน
ก้อนหินก้อนนั้นนอนอยู่ในกระแสน้ำ บางครั้งก็นิ่ง บางครั้งก็กลิ้ง ตามแต่จังหวะแห่งวารีจะพัดพาไป มันอาจจะเดินทางไปได้อีกไกล หรือสุดท้าย ก็พลิกตัวได้แค่คืบเดียว...
ผมรู้ดีว่า ก้อนหินใต้ธารน้ำนี้ไม่ได้มีชีวิตหรือความนึกคิด ผมก็แค่ฟุ้งซ่านไปเอง ตามประสานักอยากเขียนเท่านั้นแหละ
เมื่อสมัยเด็กๆ ผมเป็นพวกบ้าจินตนาการ เห็นก้อนเมฆ ต้นไม้ สัตว์ หรือกระทั่งภาพวาดสามเหลี่ยม วงกลม (ควรเรียกเรขาคณิตใช่ไหม) ผมก็วาดเรื่องราวให้เกิดขึ้นบนอากาศได้ มันอาจเป็นเพราะอย่างนี้เอง สิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ก็เลยกลายเป็นหนังสือ
จำได้ว่า หนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านคือหนังสือเรียน... อะไรนะครับ? อ๋อ ไม่นับนะครับ ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามไป เอาใหม่นะครับ... จำได้ว่า หนังสือเล่มแรกสุดที่ผมอ่านคือหนังสือนิทานอีสป
ในตอนนั้น ผมว่ามันเป็นนิทานที่สนุกมากๆ อ่านจนยุ่ยคามือ (อ่านได้ทารุณมาก) ถัดมาก็พัฒนาขึ้น โดยการซื้อหนังสือจากรถเร่ขายที่เอามาขายที่โรงเรียน เอ่อ... ผมว่า คงมีคนสงสัยแล้วนะครับ ว่ารถที่ว่าเป็นอย่างไร ผมขออธิบายให้ฟังเล็กน้อยตามความทรงจำนะครับ
รถคันที่ว่ามักมาขายหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ราคาห้าบาท สิบบาท ที่โรงเรียนเป็นประจำครับ เทอมนึงอาจมาสักหนึ่งหรือสองครั้ง และก่อนมาหนึ่งวัน เขาจะมีใบสั่งจองสินค้าให้ลงรายการไว้ก่อนว่าจะเอาเล่มไหน จำนวนกี่เล่ม พอถึงวันซื้อจริงก็ยื่นให้คนขายไป เขาก็จะจัดหนังสือมาให้ หนังสือที่นำมาจำหน่ายก็เช่นพวกบทสวดมนต์ สำนวนสุภาษิตไทย พระนามเต็มของพระมหากษัตริย์ไทย (ก็ยังรวบรวมมาขายได้สิน่า) ความรู้รอบตัว นิทานพื้นบ้าน นิทานรอบโลก เรื่องผี ตำนานเทพเจ้า... เป็นต้น
นั่นแหละครับ หลังจากหนังสือนิทานอีสปอำลาคามือผมไป ผมก็อาศัยซื้อหนังสือที่ราคาไม่แพงมาอ่าน (ร้านหนังสือสมัยนั้นหน้าตาเป็นยังไง ผมยังไม่รู้เลยครับ รู้จักแต่โรงงิ้ว ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ กับซุ้มเมียงู) เล่มที่ผมชอบซื้อก็จะเป็นพวกเรื่องผี อย่างกระสือ ซึ่งอินเทรนด์มากในยุคโน้น ที่ทุกคนร้องเพลง กระสือ กลางวันมันเป็นหญิง มีทุกสิ่ง ธรรมด๊า ธรรมดา... กันคล่องปาก หรืออย่างเปาบุ้นจิ้น ที่สร้างเพลงฮิต เปาบุ้นจิ้นชอบกินไข่เต่า ส่วนจั่นเจาชอบกินโอเล่ ผมก็ซื้อมาอ่านทั้งนั้น แต่ถ้าหากถามว่าอ่านแล้วคิดอะไรไหม รู้สึกอะไรรึเปล่า... ตอนนั้นไม่เลยครับ ไม่เลยสักนิด จริงๆนะ
ผ่านช่วงวัยแห่งหนังสือจากรถเร่ ก็เข้าสู่ยุคเรื่องสั้น ผมเริ่มอ่านเรื่องสั้นจากหนังสือรวมเล่มและนิตยสารในห้องสมุด โดยเฉพาะเรื่องลึกลับสยองขวัญ กับเรื่องสอบสวนสืบสวนจะโดนใจมากเป็นพิเศษ อย่างเชอร์ล็อก โฮมส์ ก็เดาเรื่องไม่เคยถูกเลย (ซึ่งผิดกับเดี๋ยวนี้ ที่แค่เห็นโครงเรื่องตอนต้นก็ไม่ต้องอ่านต่อ เพราะเดาได้หมดทุกเรื่อง ทุกชาติ) อ่านมาจนถึงจุดหนึ่ง มือของผมก็วาดออกไป คว้าเอาหนังสือนิยายมาอ่านเข้าจนได้ และอาจเป็นตรงนี้เอง ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
นิยายเล่มแรกที่ผมอ่านเป็นนิยายอันแสนหนัก เรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องสู้ชีวิตแสนยากจน พอตั้งตัวได้ก็ถูกญาติๆ มารุมล้อม มีทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ยังพอมีโชคตรงที่สามีฝรั่งของเธอคอยให้กำลังใจ
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมอ่านหนังสือเล่มหนาๆ จบภายในเวลาสองชั่วโมง คือ เลิกเรียนปุ๊บ กลับบ้าน อ่านหนังสืออย่างกระหาย (ไม่มีหื่น) แล้วกินข้าวเย็น
ตอนนั้นเองที่ผมถูกคำสาปแห่งอักษราพันธการไว้เรียบร้อยแล้ว
อ่านไปหลายๆ เรื่องเข้า ผมก็คิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ ที่จะลองเขียนอะไรออกมาบ้าง ลืมบอกไป ผมสั่งสมประสบการณ์จากการเขียนเรียงความ บันทึกประจำวัน และกลอน มาพอสมควรนะครับ ก่อนจะถึงจุดที่ว่า แล้วผมก็ตวัดปลายปากกา รังสรรค์เรื่องสั้นสุดยอดเยี่ยม - - ของผมคนเดียว ณ ตอนนั้น - - ออกมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทวทูตแห่งความตาย ที่มาเอาชีวิตคนใจบาปหยาบช้าในเวลาเที่ยงคืน... เรื่องสั้นเรื่องนี้ผมอุทิศให้ปลวกกินในอีกหลายปีต่อมา
ครั้นเมื่อเขียนเรื่องสั้นไปเรื่อยๆ ผมก็เบื่อ เลยหันมาเขียนนิยายบ้าง เป็นนิยายขนาดสั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนัง นิ้วเขมือบ เฟรดดี้ ครูเกอร์ ตอนแรกของนิยายเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความพ้องกันระหว่างการฆาตกรรมจริง ความฝัน และเนื้อหาในนิยายสุดโหด จากนั้นก็กลายมาเป็นเรื่องสืบสวน - สอบสวน แล้วจบท้ายด้วยการที่ทุกอย่างเปิดเผยออกมาว่าเป็นไสยศาสตร์ (เฮ้อ)... เขียนเสร็จผมถึงกับอึ้ง ด้วยมหิทธานุภาพใดเล่า ที่ดลใจให้ผมเขียนนิยายได้บรรเจิดขนาดนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ตอนนั้นแหละครับ ที่ผมคิดว่า เป็นนักเขียนดูสักทีก็ดีเหมือนกัน!
ผมงมหาแนวทางในการเขียนนิยายของตัวเองมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเขียนพอใช้ได้บ้างเหมือนอย่างเวลานี้ บางครั้งคนที่ผมรู้จักเขาก็ถามผมว่า ทำไมผมถึงเขียนดีจัง ผมก็ยอมรับ... ไม่ปฏิเสธ และบอกว่า เพราะผมฝึกมาไงล่ะ ที่ผมไม่ทำให้มาตรฐานมันต่ำลงไปก็เพราะฝึกมา
บทสัมภาษณ์ของนักเขียนคนดังหลายท่านหลั่งไหลสู่สมอง ทฤษฎีการเขียนทั้งหลาบซึมซาบสู่จิตใจ เว่อร์ใช่ไหมครับ นั่นแหละ มันเหลือเชื่อจริงๆ ที่คนฉลาดๆ เรียนรู้อะไรได้เร็วอย่างผมต้องมาวิเคราะห์ทฤษฎีการเขียน บทละเป็นเดือน และบางเรื่อง ก็ต้องทำความเข้าใจเป็นปี เพื่อให้เกิดความรู้กระจ่างแท้ ทั้งที่มันเป็นเรื่องสามัญ ช่วงเวลานั้นมันไม่ง่ายนัก แต่ก็สนุกดี
เหตุผลคงเป็นเพราะ ผมเป็นนักอยากเขียนนั่นเอง...
ผมเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง หรือที่จริงก็หลายเรื่องนั่นแหละ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนที่อยากเขียนหนังสือทั้งหลาย แม้ทุกคนจะมีอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ก็สามารถฝ่าฟันเอาชนะได้ในที่สุด... ทุกคนคือผู้รอดในจินตนาการของตน
พวกเขาคิดถูก... ผมเคยเชื่ออย่างนั้น!
ทว่า โชคชะตากลับเล่นตลก ในขณะที่สร้างให้ผมเกิดมารักชอบในงานที่ต้องเกี่ยวพันกับจิตใจของผู้คนมากมาย ก็กลับมอบอุปนิสัยแย่ๆ หลายอย่าง เช่น การขวางคลอง ความจริงจัง ความมีเหตุผลเกินไป และความยึดมั่นแบบไม่มีเหตุผลเกินไป ผมกลายเป็นคนที่ดุและห้าวเกินกว่าจะเขียนนิยายเพื่อความบันเทิงใจอย่างเดียว
ในขณะที่กระแสชีวิตพัดพาผมสู่สภาวะแห่งความเป็นจริง ผมไม่อาจแลเห็นผิวน้ำที่เรียบนิ่งกลางทะเลสาบสวยใส ไม่อาจเห็นก้อนเมฆล้อละเล่นแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์หรือคนแคระ ไม่อาจเห็นหมูบินไปดาวอังคาร และไม่อาจเห็นเอเลี่ยนทำงานบ้านต่อ... ดูเหมือนเด็กชายคนที่ช่างเพ้อเจ้อ จะถูกกลืนหายไปพร้อมจิตใจคับแคบแสนโสมมที่ผมสร้างขึ้นมาทดแทน เพื่อตอบสนองต่อสังคมแห่งวัตถุและตัณหาในแวดวงวรรณกรรม... สิ่งที่ผมเกลียด กับสิ่งที่ผมเป็น อยู่กันคนละขั้วก็จริง ทว่า... เราต่างกำลังจะดิ่งลงเหวหุบอันลึกเร้นด้วยกันในเร็ววัน
เด็กชายคนเดิมไม่อยู่แล้ว... ผมลืมถามเขาไปว่า เขาหลงรักตัวอักษรทำไม มีเหตุผลอย่างไรเขาถึงจับดินสอมาเขียนเรื่องราวต่างๆ ผมศึกษาเรื่องราวมามากมาย แต่ผมไม่เคยศึกษาอะไรจากเด็กชายคนนั้นเลย ผมได้แต่หวังว่า เด็กชายคนเดิมจะมีเรี่ยวแรงฉุดผมให้หลุดจากบ่อโคลนดูดที่ดึงผมให้ดิ่งลงลึกไปทุกที จนอะไรต่อมิอะไรเริ่มท่วมปาก ท่วมจมูก ท่วมตา จนจะมิดหัวอยู่รอมร่อ
น่าเศร้า เด็กชายคนเดิมไม่อยู่แล้ว
ก้อนหินก้อนนั้นนอนอยู่ในกระแสน้ำ บางครั้งก็นิ่ง บางครั้งก็กลิ้ง ตามแต่จังหวะแห่งวารีจะพัดพาไป มันอาจจะเดินทางไปได้อีกไกล หรือสุดท้าย ก็พลิกตัวได้แค่คืบเดียว... และนี่ อาจจะเป็นบรรทัดสุดท้ายของนักอยากเขียน... อย่างผม
P.S. Lovebird
1 กรกฎาคม 2552
จากคุณ :
PSlovebird
- [
1 ก.ค. 52 17:39:56
]