บทที่ ๑๖ : ประชันหน้าพระที่นั่ง (ท่อนเริ่ม)
แสงสลัวของชวาลาที่ถูกปรับไส้ให้ต่ำลงนั้นส่องให้เห็นวรกายสูงยืนนิ่งอยู่ข้างพระที่ ทอดพระเนตรวรกายบางที่ผ่อนอัสสาสะปัสสาสะสม่ำเสมออย่างคนหลับสนิทด้วยสายพระเนตรเจ็บปวด นับแต่ราตรีนั้นเป็นต้นมา เจ้าหลวงเมืองแก้วก็ทรงวางพระองค์ห่างเหินกับพระชายามาตลอด ด้วยการปลีกพระองค์ไปทรงวุ่นวายอยู่กับกองทัพเสีย จวบนิวัติคืนเวียงภูแก้วแล้วก็ยังทรงจงพระทัยเลี่ยงหลบด้วยการทรงงานจนดึกดื่น คะเนว่าพระชายาทรงเข้าที่บรรทมแล้ว จึงค่อยเสด็จมาประทับแรมที่คุ้มภาวิลาศ รอยแย้มพระโอษฐ์ขมจัดปรากฏบนพักตร์เข้มคม ด้วยทั้งขันทั้งสมเพชเวทนาองค์เองอยูไม่น้อย เมื่อเพิ่งรู้สึกพระองค์บัดเดี๋ยวนี้เองว่า ต่อให้หทัยขื่นขมปวดร้าวสักเพียงใด ก็ยังทรงเลือกที่จะเข้ามาหาความเจ็บปวดนั้นอยู่เรื่อยๆ ด้วยการเสด็จกลับมาบรรทมแนบข้างเจ้านางทอรุ้ง แทนที่จะเสด็จไปประทับค้างแรมที่คุ้มจันทรา หรือไม่ก็ประทับอยู่แต่ที่หอคำ
จอมคนเวียงภูแก้วทรุดองค์ลงประทับคุกพระชานุลงกับพื้นข้างพระที่ ทอดพระเนตรพักตร์หวานที่ยังบรรทมสนิท อยากจะทรงเกลียดแต่ก็ทรงเกลียดไม่ลง แต่จะให้ทรงแสดงออกว่ารักดังเช่นกาลก่อนก็ให้กระดากพระทัยอยู่ไม่น้อย ถึงอีกฝ่ายจะรู้สึกถึงท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปของพระองค์ แต่ทอรุ้งก็ยังคงเป็นทอรุ้งคนเดิมอยู่นั่นเอง ไม่เคยถาม ไม่เคยก้าวก่ายในเรื่องส่วนพระองค์ของพระสวามี หากองค์เองจะไม่เป็นฝ่ายรับสั่งเล่าความใดออกมาก่อน จะมีก็แต่สายตาที่ทอดมองด้วยความห่วงใยกึ่งไม่เข้าใจคู่นั้นเท่านั้นเอง ที่ยังทำให้หทัยที่แห้งผากเพลานี้กลับชุ่มเย็นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยทอรุ้งก็มิได้เมินเฉยต่อพระองค์ ทั้งที่เพลานี้อยากจะทรงกอดวรกายบางไว้ในอ้อมพระอุระเฉกที่เคยทำเสมอมา แต่เมื่อทรงหวนนึกถึงถ้อยสนทนาที่บอกสิ้นถึงความในพระทัยของเจ้านางทอรุ้งกับพระอนุชาในราตรีนั้นแล้ว ก็ได้แต่ทอดถอนพระทัยยาว สุดท้ายจึงตัดสินพระทัยก้มพักตร์ลงจุมพิตหัตถ์บางที่ทอดวางอยู่ใกล้ๆเพียงแผ่วเบาเท่านั้น แต่กระนั้นวรกายบางก็ยังอุตส่าห์รู้สึกพระองค์ตื่นบรรทมจนได้
"เจ้าพี่"
สุรเสียงหวานที่ตรัสเรียกพร้อมกับการขยับวรกายจะลุกขึ้นประทับของพระชายา ทำให้เจ้าหลวงเมืองแก้วที่ยังมิทันได้ตั้งพระองค์ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะทรงได้พระสติกดอังสาบางให้ลงบรรทมอีกครา พลางรับสั่งสุรเสียงอ่อนโยนดั่งเคย
"นอนเถิดทอรุ้ง ขอโทษด้วย พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าตื่น"
เจ้านางทอรุ้งทรงขืนพระองค์ไว้ไม่ทรงยอมทำตามโดยง่าย จนพระสวามีต้องทรงปล่อยให้ทำตามพระทัย และเลื่อนพระองค์ขึ้นมาประทับเคียงบนพระที่แทน เจ้านางทอรุ้งทอดพระเนตรจับอยู่ที่พักตร์พระสวามีอย่างทรงพิจารณา หัตถ์บางประณตไหว้ก่อนจะทรงยกหัตถ์ขวาขึ้นแตะปรางพระสวามี ตรัสด้วยความเป็นห่วง
"ทรงโหมราชกิจมากเกินไปแล้วหนาเจ้า เจ้าพี่ไม่ทรงรู้พระองค์หรอกเจ้าว่าทรงซูบไปมาก ถนอมพระวรกายด้วยเถิดเจ้า"
เจ้าหลวงเมืองแก้วเหลือบทอดพระเนตรหัตถ์ของพระชายาที่ยังคงแตะอยู่ที่ปรางนิดหนึ่ง เนตรสีนิลค่อยมีประกายความแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย ยามทรงยกหัตถ์องค์เองขึ้นกุมทับหัตถ์บางนั้นอีกทอดหนึ่ง
"ห่วงพี่ด้วยหรือทอรุ้ง"
"ไยรับสั่งเช่นนั้นเจ้า ยังจะมีหญิงใดในหล้าอีกหรือเจ้าที่จะมิห่วงสวามีแห่งตน"
พระชายาตรัสถามอย่างประหลาดพระทัยมากกว่าจะมีความหมายอื่นใดแอบแฝง หากประกายความแจ่มใสที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นกลับหม่นแสงลงทันใด จริงแล้ว ด้วยหน้าที่แห่งเมียที่ดี ย่อมต้องห่วงใยในผัวเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะรักหรือไม่ก็ตาม เมื่อดำริดั่งนี้ จึงทรงปล่อยหัตถ์พระชายา เบี่ยงพักตร์หลบไปทางหนึ่งเสีย สุรเสียงที่รับสั่งนั้นจึงแปร่งปร่าร้าวลึกในพระทัย
"เจ้าห่วงพี่ เพียงเพราะพี่เป็นสวามีเจ้าเท่านั้นใช่ไหม"
เจ้านางทอรุ้งทรงชะงักเมื่อสดับสุรเสียงและทีท่าของพระสวามี แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าหลวงเมืองแก้วมิทรงเคยเป็นดั่งนี้ ชะรอยจะทรงมีบางสิ่งในพระทัยกระมังหนา จึงตรัสอ่อนโยน
"เจ้าพี่เจ้า ข้าเจ้ามิได้หมายความเยี่ยงนั้นเลยนะเจ้า ข้าเจ้าห่วงเจ้าพี่ด้วยใจจริง พักหลังนี้ข้าเจ้าเห็นเจ้าพี่ทรงโหมราชกิจอยู่จนดึกดื่น เกรงจะประชวรไปเสียก่อน"
ถ้อยพระวาจานั้นประหนึ่งฟางเส้นสุดท้ายที่ลอยผ่านพระพักตร์ที่พระองค์ต้องทรงรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่จะลอยลับหาย หัตถ์ใหญ่รวบรั้งเอาวรกายบางเข้ามากอดไว้แนบพระอุระแน่น โดยไม่รับสั่งอันใดแม้สักคำ เจ้านางทอรุ้งทรงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งกับพระกิริยาเช่นนี้ ก่อนจะทรงยกหัตถ์ขึ้นโอบกอดตอบวรกายสูง ตรัสถามด้วยความห่วงใยยิ่ง
"เจ้าพี่เจ้า ทรงเป็นอันใดหรือเจ้า บอกข้าเจ้าได้หรือไม่"
"เปล่าทอรุ้ง พี่มิได้เป็นอันใด เพียงแต่...พี่ไม่ได้กอดเจ้ามาหลายเพลาแล้ว พี่คิดถึงเจ้า อยากกอดเจ้าไว้อย่างนี้ อย่าเพิ่งผลักไสพี่เลยหนาทอรุ้ง"
สุรเสียงรับสั่งเกือบจะเป็นการกระซิบแผ่วอยู่ข้างพระกรรณ ปลายสุรเสียงสั่นน้อยๆ ฟังคล้ายเสียงสะอื้นไห้ เจ้านางทอรุ้งทรงตกพระทัยไม่น้อย ที่จู่ๆ เจ้าหลวงเมืองแก้วก็ทรงมีอาการราวกับทรงเป็นเด็กน้อยที่กำลังจะถูกผู้อื่นแย่งของรักไปจากมือตนเช่นนี้ นานเท่านานกว่าที่อ้อมพระกรแกร่งนั้นจะคลายออก เจ้านางทอรุ้งดันองค์เองขึ้นทอดพระเนตรพระสวามี จึงทอดพระเนตรเนตรสีนิลนั้นมีรอยแดงช้ำ แม้จะมิมีร่องรอยของอัสสุชลก็ตามที ในที่สุด พระนางจึงตัดสินพระทัยเผยอองค์ขึ้นจุมพิตริมพระโอษฐ์พระสวามีนุ่มนวล
"ข้าเจ้ามิรู้หรอกหนาว่ากลใดเจ้าพี่จึงทรงดูผิดประหลาดไปกว่าเคยเยี่ยงนี้ แต่สิ่งเดียวที่ข้าเจ้าอยากให้เจ้าพี่ทรงทราบก็คือ ทอรุ้งคนนี้จะอยู่เคียงข้างเจ้าพี่เสมอ ทุกเพลา อยู่ที่ว่าเจ้าพี่จะทอดพระเนตรข้าเจ้าในสายพระเนตรหรือไม่เท่านั้นเจ้า"
'เคียงตัวแต่มิได้เคียงใจ จะมีประโยชน์อันใดเล่าหนา'
เจ้าหลวงเมืองแก้วรับสั่งพ้อในพระทัย หากการประทับอยู่ชิดใกล้เช่นเพลานี้ ความรักและความต้องการตามธรรมชาติที่ทรงกดเก็บไว้มาหลายเพลานั้นเริ่มล้นเอ่อจวนเจียนจะแตกทำลายทุกขณะ เมื่อวรกายบางขยับเบียดชิดเข้าหาอีกครา ก็สุดที่พระองค์จะทรงต้านทานแข็งขืนได้อีกสืบไป หัตถ์ใหญ่ร้อนผ่าวลูบไล้ฉวีเนียนไปทั่วทั้งสรรพางค์ พระปัสสาสะร้อนผ่าวเป่ารดปรางนวล ขณะที่ริมพระโอษฐ์พระราชทานจุมพิตคลอเคลียมิห่าง เจ้านางทอรุ้งทรงทราบถึงความต้องการและความปรารถนาของพระสวามีดี แม้องค์เองก็ถวิลหาอยู่ไม่น้อยด้วยห่างหายมาเสียหลายเพลาแล้ว วรกายบางจึงทรงขยับเอนองค์ลงบรรทมบนพระที่โดยไม่ทรงมีท่าทีขัดขืนอันใด สุรเสียงครางที่ลอดพ้นจากพระโอษฐ์อิ่ม ยิ่งทำให้พระสวามีทรงรุกไล่เอาแทบมิเว้นช่วงให้ได้หายใจ การตอบสนองด้วยดีจากพระชายา ยังให้พระทัยของเจ้าหลวงเมืองแก้วทรงอบอุ่นขึ้น และทรงลืมความขุ่นข้องหมองพระทัยที่มีมาก่อนหน้านี้ลงสิ้น
ใช่เพียงเจ้านางทอรุ้งพระองค์เดียวที่ทรงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพระสวามี แม้เจ้านางม่านจันทร์และบุญคำเองก็จับสังเกตได้เช่นกัน บุญคำนั้นไม่รอช้า รีบส่งคนไปตามสืบเรื่องนี้ในทันที เมื่อรู้ถึงสาเหตุก็มองเห็นช่องทางและโอกาสอันดี ที่จะฉวยโอกาสนี้สร้างรอยร้าวฉานระหว่างเชษฐา อนุชา และเจ้านางทอรุ้งให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยตราบใดทั้งสามพระองค์ยังคงมีสายสัมพันธ์กลมเกลียวแน่นเหนียวเช่นนี้สืบไป นอกจากชั้นเชิงการต่อสู้ของเจ้าหลวงเมืองแก้วและเจ้าอุปราชแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังทรงมีกำลังทหารที่เข้าแข็งอยู่ในพระหัตถ์อีกด้วย เมื่อผนวกกับการวางแผนรบที่เด็ดขาดของเจ้านางทอรุ้ง ย่อมทำให้กองทัพนั้นตั้งอยู่ในความเข้มแข็ง ยากที่ศัตรูคนใดจะเอาชนะได้ ไม่เพียงเท่านั้น การใหญ่ที่เขาคบคิดกับเจ้านางม่านจันทร์อยู่เพลานี้ก็ยากจะสำเร็จลงได้ เพื่อที่เจ้านางม่านจันทร์และตัวเขาจะได้อำนาจที่มีอยู่เดิมกลับคืนมา บุญคำจึงแนะให้เจ้านางม่านจันทร์ทรงเข้าหาเจ้าหลวงเมืองแก้วและทูลยุยงให้เจ้าหลวงทรงระแวงพระอนุชาและพระชายาอยู่เรื่อยๆ เจ้านางม่านจันทร์สดับคำชู้รักแล้วก็ทอดถอนพระทัยยาว
"อย่าว่าแต่เข้าหาเจ้าหลวงเลยบุญคำ แม้แต่หน้าข้าเจ้าหลวงก็ไม่อยากทอดพระเนตร เจ้าลองตรองดูเอาเถิด มีเรื่องเยี่ยงนี้แล้ว ก็หาเสด็จมาหาข้าสักน้อยไม่"
"ไม่เสด็จมา เจ้านางน้อยก็เสด็จไปหาเองสิเจ้า มารยาหญิงทรงมีเท่าไรก็ใช้เสียให้สิ้น ขึ้นชื่อว่าชายแล้ว ต่อให้มั่นคงดังหินผาสักปานใดก็พ่ายแพ้ได้เช่นกัน"
"พูดด้วยลมปากนั้นแสนง่ายแต่ทำนั้นสิยากนัก กับอีบ้านป่านั่นก็เหมือนกัน ข้าเบื่อที่ต้องฝืนทำดีกับมันนักแล้ว"
"เหลือเพลาอีกเพ็ญเดียว ก็จะถึงวันแต่งตั้งเจ้านางหลวงแล้ว หากไม่ทรงชิงลงมือเสียตอนนี้ ทุกอย่างก็จะยิ่งยากขึ้นหนาเจ้า"
บุญคำพูดขรึมๆ เจ้านางม่านจันทร์ทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่อย่างทรงครุ่นคิด การแต่งตั้งเจ้านางหลวงที่ทรงทราบดีว่าไม่มีวันที่จะได้ทรงนั่งตำแหน่งนี้ได้ หากยังมีเจ้านางทอรุ้งทรงขวางทางอยู่เยี่ยงนี้ การกำจัดเจ้านางทอรุ้งไปเสียให้พ้นทางก่อนวันแต่งตั้งคงเป็นหนทางที่ดีกว่า ถึงแม้เพลานี้ในหอคำ ข้าราชบริพารจะแตกออกเป็นสองฝ่ายเพราะเหตุแห่งการแต่งตั้งเจ้านางหลวงนี้ก็ตาม แต่คนอย่างเจ้าหลวงเมืองแก้วก็คงไม่มีวันยอมเลิกล้มความตั้งพระทัยเด็ดขาด เมื่อทรงตรองดูแล้ว จึงตกพระโอษฐ์รับคำ
"ข้าจะลองดู แต่ผลนั้นจะเป็นไปในทางใดนั้น ข้ามิรับรองหนา"
***มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 52 16:17:05
จากคุณ :
อินทรายุธ
- [
4 ก.ค. 52 16:59:00
]