ความคิดเห็นที่ 1
ประชาสัมพันธ์ด้านล่างบอกกับแจจุงว่า เพื่อนของเขาออกไปตั้งแต่ตอนเที่ยง และจวบจนบัดนี้ที่เข็มนาฬิกาชี้ที่เลข 7 ยุนโฮก็ยังไม่ได้เยี่ยมกรายผ่านมาที่เคาท์เตอร์แห่งนี้อีกเลย
แล้วมีโบรชัวร์เกี่ยวกับรายการแสดงอะไรดีๆ บ้างไหมครับ เขาถามพนักงานคนนั้นอย่างสุภาพ พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานๆ อันทรงอานุภาพให้
มันใช้ได้ผลเสมอไม่ว่ากับเพศไหน หญิงสาวคนนั้นเจอรอยยิ้มพิฆาตเข้าไป ถึงแก่เบิกตากว้าง สติหลุดลอยไปพักใหญ่ ใบหน้าคมเข้มที่มีส่วนผสมของเชื้อสายสแปนิชแดงก่ำไปจนถึงใบหู และหลังจากตั้งสติได้ เธอก็ส่งกระดาษทั้งปึก ที่อยู่บนโต๊ะประชาสัมพันธ์ให้กับชายหนุ่ม พร้อมกับชม้ายชายตา
ถ้าสนใจรายการไหน บอกนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะลดราคาให้เป็นพิเศษ
แจจุงกำนัลรอยยิ้มหวานๆ สำหรับความเอื้ออารีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหอบกระดาษตั้งนั้นกลับมาหาที่นั่งอ่านในคอฟฟี่ช็อบ ของโรงแรม
มีรายละเอียดของหลายรายการโชว์ทีเดียวที่น่าสนใจ และน่าจะอำนวยประโยชน์แก่เขา ในการนำกลับไปต่อยอด สร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ อย่างเช่น รายการโชว์มายากลของคอปเปอร์ฟิลด์จูเนียร์ ตอนนั้นเหมือนกับชางมินเปรยๆ ว่า น่าจะลองเอามายากลมาใช้รวมกับการแสดงคอนเสิร์ตบ้าง มันคงจะเป็นการเอ็นเตอร์เทนต์คนดูได้ดีทีเดียว แจจุงก็เลยใช้ปากกาสีเมจิกสีแดงวงกลมรอบโชว์นั้นเอาไว้
จากนั้นเขาก็เพลิดเพลินอยู่กับแผ่นพับสีสวย และรายการโชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจในหน้ากระดาษเหล่านั้นจนแทบจะลืมเวลา และกว่าจะรู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง คอฟฟี่ช็อปที่เขามานั่งเอกเขนกดูแผ่นโบรชัวร์ มันก็เปลี่ยนสภาพไปแล้ว
ในตอนแรกทั้งห้องเป็นโซฟาเดี่ยวนุ่มๆ ราวสิบตัว ตั้งกระจายคละกับกระถางไม้ประดับใบสีเขียวเข้ม ในตอนนี้เห็นจะเหลือแต่ โซฟาของเขาเพียงตัวเดียวที่ยังตั้งแอบอยู่ด้านหลังเสาต้นสูง ส่วนตัวอื่นๆ นั้น กลายสภาพไปเป็นเก้าอี้โลหะสีทองแบบวูบวาบ อย่างที่เขาเคยเห็นมันโฆษณาในหนังสือตกแต่งบ้านชื่อดัง รูปแบบดีไซน์ที่ดีไซเนอร์ผู้โด่งดังแห่งทศวรรษนี้บอกว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะอันห่างไกลของคนเผ่าในแอฟริกา และมันก็เป็นตัวเดียวกับที่ชางมินเคยชี้ให้เขาดู แล้วป้องปากวิจารณ์ดังๆ ว่า ชนเผ่าตื่นทองน่ะสิ ประสาท
เอาเถอะถึงมันจะดูแปลกๆ ตอนที่เห็นในหน้าหนังสือและตั้งโชว์เดี่ยวในร้าน แต่เมื่อมันมาวางเรียงติดกันเป็นพืด มันก็ดูดีแบบแปลกๆ ล่ะ และให้บรรยากาศชนเผ่าแอฟริกาขึ้นมานิดหน่อย คล้ายๆ กับหม้อยาทองคำของของหมอผีวูดู อะไรทำนองนั้น
อืม...และที่แปลกไปหน่อยก็คือ คนในชุดสูทกับชุดราตรีที่ค่อยๆ ทยอยกันมานั่งเรียงราย เป็นทิวแถวที่เก้าอี้พวกนั้น ไม่ค่อยจะเหมือนคนป่าสักเท่าไร
บรรยากาศมันคล้ายมินิคอนเสิร์ต...คนที่เชี่ยวชาญกับงานด้านบันเทิงงึมงำออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อหาทางหนีทีไล่เผื่อจะมีเหตุไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น
เขาไม่รู้เหมือนกันว่า นั่นเป็นมินิคอนเสิร์ตของใคร แต่วงการบันเทิงไม่กว้างเลย เขาอาจจะเจอใครสักคนที่รู้จักเขาเป็นอย่างดี จนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ตนเองไม่ใช่ยองอุงแจจุงแห่งดงบังชินกิ
ดังนั้นทางออกที่เหมาะสมที่สุด คือหลบออกไปก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่มขึ้น
แจจุงคิดอย่างนั้น และกำลังจะหอบกระดาษที่ตัวเองอ่านกลับขึ้นห้องไปแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าหูซึ่งมีความไวเป็นพิเศษต่อเสียงดนตรี ของเขา จะได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน และมันก็มีอานุภาพมากพอ ที่จะจับความสนใจทั้งหมดของเขา เอาไว้ในทันทีที่เสียงโน้ตตัวแรกดังขึ้น
กระแสเสียงนั้นกังวานและใส ราวกับเป็นเสียงน้ำที่หยดลงบนแผ่นกระจก มันค่อยๆ ไล่บันไดเสียงสูงขึ้นทีละน้อย แล้วจากนั้นก็พร่างพรมดุจหยาดฝน ที่ตกต้องลงบนกิ่งก้านของพฤกษาต้นสูง เสียงน้ำแต่ละหยดที่เผาะผ็อย เสียงใบไม้ที่ไหวระริกรับน้ำฟ้า เสียงซัดซ่ายามกระทบลำต้นสูงตระหง่าน และในท้ายที่สุดเสียงของน้ำ ที่ค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดินอันชอุ่มเบื้องล่าง
แจจุงไม่เคยได้ยินเสียงเปียโน ที่เหมือนกับเสียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต เสียงดนตรีที่เขาไม่มีปัญญาบรรยายอะไรมากไปกว่าคำว่า เสียงสวรรค์
หากมันยังไม่จบเพียงแค่นั้น...
เพราะในทันทีที่หยาดฝนซาลง เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกเหวี่ยงเข้าไปหาทะเลในบรรยากาศฤดูร้อน วันที่ท้องฟ้ามีสีฟ้าจัดที่สุด แสงแดดสีทองสะท้อนทำประกายกับสายน้ำ สายลมพัดโชยรอบกาย คลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเรื่อยซัดไล่ หยอกล้อกันบนหาดกว้าง กระทบเม็ดทราย แล้วบิดตัวพรายฟองคลื่นสีขาวสัมผัสแนบเนากับโขดหิน ความคมชัดและความคล่องแคล่วของนิ้วมือผู้บรรเลง ทำให้เขาได้ยินกระทั่งถึงเสียงที่ทรายแต่ละเม็ด ค่อยๆ ทิ้งตัวตามกระแสน้ำลงสู่ห้วงทะเลลึก
ทุกสเกลในบทเพลงนั้นพลิ้วไหวอย่างน่าประทับใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขายิ่งทวีความประทับใจกับสิ่งที่ได้ยินมากขึ้นไปอีกนั้น ไม่ใช่เพราะความไพเราะของบทเพลงเลย หากแต่คือภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในความรู้สึก ภาพที่เขาแทบจะมองเห็น และเอื้อมมือไปจับได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้จักเพลงที่กำลังได้ยินต่างหาก
ความยากในการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาทางบทเพลง เป็นเรื่องที่นักร้องอย่างแจจุงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี เขาต้องสนุก ต้องเศร้า ต้องเสียใจให้มากกว่าที่เพลงนั้นบรรยายเอาไว้ เพื่อจะได้ส่งต่อความรู้สึกนั้นแก่ผู้ฟัง
แล้วภาพอย่างไรเล่า? ที่มันกำลังแสดงอยู่ในหัวใจของผู้บรรเลงเปียโน ถึงได้สื่อความรู้สึกที่ชัดเจนและงดงามขนาดนี้มาถึงเขา จะเป็นฝนที่เย็นเยียบและทะเลที่รุ่มร้อน หรือกระทั่งสวนดอกไม้ที่หวานหอม...
ในส่วนสุดท้าย ผู้บรรเลงพาเขาล่องลอยไปกับสายลมที่อบอุ่น สู่ทุ่งกว้าง ดินแดนที่มีดอกไม้หลากสีสันเบ่งบานอวดโฉม ตรงนั้นมีแมลงตัวน้อยที่ฮือห่างเมื่อมีลมพัดเข้าไปใกล้ ใบไม้เล็กๆ ระเริงไหวตามสายลม มันแกว่งตัวอย่างน่าสนุกบนก้านสีเขียวสด แล้วก็พาให้ช่อดอกที่มีสีส้มจัดจ้าไกวตัวตามไปด้วย ตรงจุดโน้นมีกอไม้ดอกสีชมพู และหย่อมนั้นก็มีดอกไม้สีฟ้าสะท้อนรับ กับแผ่นฟ้ากระจ่าง สายลมช่างแกล้งเลี้ยวไล่ หยอกล้อกับดอกไม้ใบหญ้า แล้วก็หอบเอาละอองไอสีทองอร่ามหอมหวาน พัดพรูขึ้นสูงเทียมเท่าปุยเมฆสีขาว ก่อนจะค่อยๆ โปรยตัวอย่างอ้อยอิ่งกลับคืนสู่ผืนหญ้างามลออ
นอกจากจะเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความซาบซึ้งในสิ่งที่ได้ยินแล้ว แจจุงยังตะโกนเสียงดัง พร้อมกับตบมืออย่างแรงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ให้กับผู้บรรเลงเพลงที่แสนจะยอดเยี่ยมพวกนั้น
มันดีเสียจนเขารู้สึกเสียดายแทนยูซอน ที่ไม่ได้มีโอกาสมาฟังเพลงนี้ด้วยกัน และเพลงนั้นก็เป็นแรงผลักดันที่บ้าระห่ำที่สุดในชีวิต ที่คิมแจจุงตัดสินใจจะทำมัน ทั้งๆ ที่รู้ผลของการกระทำดี
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องรู้จักผู้บรรเลงเปียโนคนนี้ให้ได้!
จากคุณ :
ปาล์ม.
- [
6 ก.ค. 52 01:32:40
]
|
|
|