Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  
 


ลาวใต้ในความทรงจำ วันที่ 1  

    ลาวใต้ในความทรงจำ วันที่ 1

    คณะทัวร์เดินทางมาถึงจังหวัดอุบลราชธานีโดยสายการบินภายในประเทศประมาณเก้าโมงเช้า พร้อมๆ กับอาการเมาเครื่องของผม ทั้งๆ ที่เคยขึ้นเครื่องบินมาแล้ว 7-8 ครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอาการกลัวของผมจะไม่ได้ทุเลาลงเลย หนำซ้ำกลับดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าตอนแรกๆ ด้วยซ้ำ

    ก่อนเข้าประเทศลาวโดยผ่านด่านที่เรียกว่า "ช่องเม็ก" แน่นอนว่าคณะทัวร์ต้องไปสถานที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนี้เสียก่อน นั่นคือ "อุทยานแห่งชาติผาแต้ม" ซึ่งหลายๆ คนน่าจะรู้จักในแง่ของภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์

    ก้าวแรกที่เดินลงจากรถทัวร์ปรับอากาศเมื่อรถจอดอยู่ในที่หมาย ไอร้อนที่แผ่พุ่งเข้ามาปะทะร่างกายก็แทบจะทำให้หลายๆ คนเปลี่ยนใจกลับขึ้นรถแทบจะในทันที

    ...ไหนๆ ก็มาแล้ว ลงไปดูหน่อยก็ดี จะได้เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังถูกว่ามันเป็นยังไง...เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจใครหลายคนทีเดียวที่มาถึง แน่นอนว่ารวมทั้งผมด้วย

    เมื่อลงไปสัมผัสบรรยากาศภายนอก ผมเห็นแต่ซากต้นไม้แห้งแล้วก็ดินแดงเต็มไปหมด ว่าแล้วพวกเราก็รีบเดินไปยังจุดชมวิวและถ่ายรูปร่วมกับป้าย “อุทยานแห่งชาติผาแต้ม” ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา เพื่อเป็นที่ระลึกและให้ได้รู้ว่าเคยมาที่นี่แล้ว

    หลังจากนั้นไกด์ของอุทยานก็พาพวกเราซึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้วเดินลงไปยังจุดชมภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ ทางเดินจะเป็นลักษณะเหมือนหน้าผาที่มีทางให้เดินลงไปเรื่อยๆ และระหว่างทางจะมีจุดให้พักเป็นระยะ

    หลังจากเดินเท้ามาสักครู่หนึ่ง เราก็พบแผ่นศิลาจารึกพระนาม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งที่เคยเสด็จเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติผาแต้มวันที่ 20 พฤษภาคม 2531 ต่างคนต่างก็จัดแจงเก็บภาพไว้ตามระเบียบ

    ต่อมาอีกหน่อยหนึ่งไกด์ของอุทยานก็บอกให้พวกเราหยุดเดิน แล้วให้มองไปยังชะง่อนหินก้อนหนึ่งแล้วก็พูดว่า

    "เห็นอะไรมั้ยครับอาจารย์ มองด้วยตาเปล่าอาจจะดูไม่ออก งั้นอาจารย์ลองเอากล้องมาให้ผมสิครับ"

    ในที่นี้ไม่มีใครเป็นอาจารย์หรอกครับ แต่ไกด์ที่นี่จะเรียกนักท่องเที่ยวทุกคนว่าอาจารย์ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

    ว่าแล้วไกด์ก็เล็งกล้องไปยังเป้าหมายแล้วก็ชี้ให้พวกเราดู

    "เห็นมั้ยครับอาจารย์ นั่นเป็นหัวสิงโต"

    หลังจบเสียงไกด์ ทุกคนที่กำลังมองอยู่ก็ฮือฮากันเป็นแถว ยกเว้นแต่ผมคนเดียวที่ดูยังไงก็ดูไม่ออกถึงแม้จะเอากล้องมาเล็งแบบที่ไกด์เค้าว่าแล้วก็ตาม

    "ไหนอ่ะ" ผมหน้านิ่วถามพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ในขณะที่เค้าก็คงไม่ได้สนใจผมสักเท่าไหร่เพราะเค้าเองก็กำลังเล็งแล้วก็ถ่ายรูปหัวสิงโตอยู่เหมือนกัน

    "ก็นั่นไง" เค้าก็ชี้ไปที่ผาที่ผมกำลังดูอยู่นั่นล่ะ แต่ผมก็ยังมองไม่ออก จนสุดท้ายผมก็เลยถ่ายรูปชะง่อนผานั้นเอาไว้เผื่อเอากลับมาดูดีๆ อีกทีอาจจะดูออกก็ได้

    เก็บภาพหัวสิงโตกันไปพักหนึ่งเราก็เดินเท้ากันต่อ ถึงแม้จะมีร่มไม้ตลอดทางในบริเวณนี้แต่อากาศกลับอบอ้าวมาก ตัวผมตอนนี้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่เริ่มเกิดอาการเดินไม่ไหวขึ้นมาแล้ว

    เมื่อเดินทางมาถึงจุดดูภาพเขียนจุดที่หนึ่ง ก็เช่นเคยที่ต่างคนต่างถ่ายภาพ ต่างคนต่างดูว่ามันคือรูปอะไร ในขณะที่ไกด์ก็บรรยายไปเรื่อยๆ ถึงรูปที่เราเห็น

    ตอนแรกผมนึกว่ารูปเขียนจะเป็นรูปเล็กๆ เสียอีก ที่ไหนได้รูปใหญ่มาก แต่สีของรูปเขียนเริ่มจะซีดลงไปแล้วเพราะแสงแดดที่ส่องมาปีแล้วปีเล่านั่นเอง

    บางคนก็บอกนั่นปลา นั่นปลาหมึก แต่เช่นเคยที่ผมดูไม่ออกอีกแล้ว ก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้มาดูทีหลังอีกเหมือนกัน

    หลังจากจุดนี้แล้วบางคนเดินต่อเข้าไปอีก แต่สำหรับผมแล้วขืนไปไกลกว่านี้เดินกลับมาไม่ไหวแน่ๆ ดังนั้น ผมและคณะอีกกลุ่มหนึ่งจึงเดินขึ้นเพื่อกลับมายังรถ

    ก่อนจะเคลื่อนขบวนออกจากผาแต้ม รถก็จอดให้เราได้ถ่ายรูปผาเฉลียงกันบนรถเลยเนื่องจากตารางเวลาไม่ทัน ต่างคนก็ต่างเก็บภาพกันไปได้คนละภาพสองภาพเท่านั้น

    จะว่าไปมันก็แปลกดีที่มีหินเป็นแผ่นๆ อยู่บนหินที่เป็นเสาอย่างนั้นได้

    เมื่อจัดการกับอาหารกลางวันเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปยังด่าน "ช่องเม็ก" โดยเมื่อถึงที่นั่นทุกคนจะต้องลงเดินเข้าไปยังด่าน ส่วนรถทัวร์แล่นไปรอเราที่อีกฝั่ง

    ที่นี่ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าพออยู่ในเขตไทยถนนเป็นคอนกรีตหรือยางมะตอยนี่ล่ะดูดีทีเดียว แต่พอเดินผ่านด่านของไทยไปปุ๊บ อีกฝั่งกลายเป็นลูกรังทันที โห อะไรจะแบ่งเขตกันได้ชัดเจนขนาดนี้นะ

    แล้ว "ช่องเม็ก" นี่ก็ช่องสมชื่อจริงๆ คือ เค้าเอาลูกกรงคล้ายๆ รั้วสะพานลอยมากั้นไว้สองข้างเหลือที่ให้คนเดินสวนกันได้ แล้วตรงกลางของทางเดินก็จะมีคล้ายๆ รั้วเตี้ยๆ ให้คนเดินข้ามให้แสดงให้เห็นว่าเราเดินข้ามประเทศแล้วนะ

    ที่ฝั่งลาวจะมีร้านค้าเรียงรายอยู่ที่เรียกว่าร้านค้าปลอดภาษี แต่ละร้านจะขายของคล้ายๆ กัน ทางไกด์ของคณะทัวร์ปล่อยให้พวกเราเดินจับจ่ายของอยู่สักพักในระหว่างที่พวกเขาต้องติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ฝั่งลาว

    พอทุกอย่างเรียบร้อยคณะก็เริ่มเดินทางต่อโดยที่คราวนี้รถแต่ละคันจะมีไกด์สาวชาวลาวเพิ่มขึ้นมาอีกคันละหนึ่งคน

    เป็นประเพณีของที่นี่ว่าไกด์ชาวลาวจะต้องนุ่งผ้าถุงเสมอ จนบางครั้งที่ผมดูผมก็ยังว่ามันขัดๆ ยังไงอยู่เหมือนกัน แต่ก็น่ารักไปอีกแบบล่ะนะ (มีพี่ที่ไปด้วยเข้าใจว่าที่เค้านุ่งผ้าถุงเพราะเลียนแบบหนังไทยที่เคยไปถ่ายที่ประเทศลาวมา)

    ระหว่างเดินทางไปที่พักไกด์ชาวลาวก็เล่าเกร็ดความรู้ให้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาก (เน้นว่ามากจริงๆ ขนาดบรรยายว่ามีประชากรกี่คน พื้นที่กี่ตารางกิโลเมตร ป้ายทะเบียนสีนี้หมายถึงอะไร ฯลฯ)

    ในระหว่างที่เล่าก็มีการยิงมุกและร้องเพลงให้ฟัง ต้องขอบอกว่ามุกประเภทนี้ของชาวลาวนี่ช่างเหมือนกับของคนไทยเสียจริงๆ (ไกด์ชาวลาวจะพูดภาษาลาว แต่ฟังออกได้ไม่ยากเท่าไหร่)

    ในที่สุดคณะทัวร์ก็เดินทางมาถึงแขวงจำปาสัก เมืองปากเซ อันเป็นที่หมายเมื่อใกล้พลบค่ำ เราจัดแจงเช็คอินเข้าโรงแรมที่อยู่ติดกับสะพานมิตรภาพ ลาว-ญี่ปุ่น หลังจากนั้นก็จัดแจงกับอาหารเย็นและเข้านอน

    ปล. เรื่องเล่านี้เขียนขึ้นจากความทรงจำและความประทับใจ (ไปมาตั้งแต่กุมภมพันธ์) เลยอาจจะไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่ หากผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ (เคยพยายามเขียนตั้งแต่กลับมาแล้ว แต่ไม่รู้จะเขียนยังไงดี -__-")

    อุทยานแห่งชาติผาแต้ม (เค้าว่าฝั่งนั้นเป็นฝั่งลาว)

    แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 52 19:19:40

     
     

จากคุณ : KTHc
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 16:35:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com