 |
ID ECO SUPER ECO
|
|
ท่านผู้อ่านที่เคารพคงเคยได้ยินชื่อของนายแพทย์ซิกมุนด์ ฟรอยด์ จิตแพทย์ชาวออสเตรียผู้เป็นเจ้าของเรื่อง อิด อีโก้, ซุปเปอร์อีโก้ ที่มีการพูดถึงกันอยู่ในแวดวงมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ เพราะนักศึกษาต้องเรียนวิชาจิตวิทยาเป็นวิชาบังคับ ซึ่งสมัยก่อนนั้นวิชาจิตวิทยานี่อยู่ในสาขามนุษยศาสตร์นะ ถือว่าเป็นสาขาเดียวกับวิชาปรัชญาเลยทีเดียว เนื่องจากเมื่อก่อนนี้วิชาจิตวิทยาเขาศึกษาเรื่อง จิต จริงๆ แต่สมัยนี้วิชาจิตวิทยาเขาไม่ศึกษาแล้วละ เขาว่าเขาอยู่ทางสาขาวิทยาศาสตร์แล้ว เนื่องจากเขาศึกษา พฤติกรรม ซึ่ง สำหรับพฤติกรรมนี่พอจะควบคุมวัดปริมาณได้ จะได้ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ ส่วนจิตนั้นเอามา ชั่ง ตวง วัด ไม่ได้เลย ไม่เอาละ ดั้งนั้น อย่าไปถามเรื่องจิตกับพวกที่เรียนจิตวิทยาสมัยนี้เข้าก็แล้วกัน แต่เรื่อง อิด, อีโก้, ซุปเปอร์อีโก้ นั้นเป็นเรื่องของจิตวิทยาสมัยก่อนนะ คือนายแพทย์ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ท่านสร้างทฤษฎีเรื่องจิตไร้สำนึกขึ้น ท่านว่าในจิตของคนนั้นมีทั้งจิตรู้สำนึกกับจิตไร้สำนึก โดยเปรียบเทียบว่าจิตนั้นเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง (แบบที่เรือไททานิคแล่นไปชนจนอับปางนั่นแหละ) โดยจิตรู้สำนึกนั้นมีอยู่เหมือนส่วนที่ลอยเหนือน้ำมีประมาณหนึ่งในสิบ แต่จิตไร้สำนึกนั้นมีอยู่เก้าในสิบเหมือนส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ในน้ำ มองไม่เห็น ตามทฤษฎีนี้ก็หมายความว่า จิตไร้สำนึกก็เหมือนกับโกดังเก็บของในอดีตของคนทุกคนตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้น หากมีอะไรผิดปกติทางจิตเช่น เป็นโรคประสาทหรือโรคจิตก็อาจจะพยายามค้นเข้าไปในอดีตของผู้ป่วยเหมือนเข้าไปรื้อของในโกดังของจิตไร้สำนึกเพื่อหาสาเหตุของปัญหา แล้วจึงจะได้แก้ไขให้หายประสาทหรือหายบ้านั่นเอง อีทีนี้ในจิตนั้น ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ อิด เป็นธรรมชาติแรงขับที่ทำให้เราทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนกับสัตว์โลกทั่วไป คือหิวก็ต้องหากิน อยากสืบพันธุ์ก็ต้องเสาะแสวงหาคู่ ถ้าเกิดกลัวขึ้นมาก็สู้หรือหนี ซึ่งแรงขับเหล่านี้ก็เพื่อความอยู่รอดแท้ๆ เพราะมนุษย์เราก็คือสัตว์ชนิดหนึ่งนั่นเอง ส่วนที่สองคือ อีโก้ ซึ่งความจริงอีโก้นี่คือส่วนที่คิด ส่วนที่รับรู้และส่วนที่ประมาณสถานการณ์นั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือฝ่ายเสนาธิการนั่นแหละ สำหรับส่วนที่สามคือ ซุปเปอร์อีโก้ ก็คือส่วนที่ได้รับการปลูกฝังสั่งสอนจากพ่อแม่ ครู และศาสนา ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ประเภทที่ทำยากคือ การช่วยชีวิตคนอื่น เสียสละเพื่อส่วนรวม (ลุกให้ที่นั่งผู้หญิงท้องหรือคนแก่นั่งบนรถไฟฟ้า) ให้ทาน อะไรทำนองนี้แหละ ซึ่งของอย่างนี้ไม่สอนก็ไม่มีใครทำหรอก สรุปคือคนที่เป็นโรคประสาท โรคจิต (ต่างกันนะ คนเป็นโรคประสาทยังอยู่ในสังคมได้ แต่เครียดย้ำคิดย้ำทำเช่น กลัวจิ้งจก กลัวที่แคบ ล้างมือวันละ 500 ครั้ง ฯลฯ ทุกคนเป็นโรคประสาททุกคนแหละ มากน้อยต่างกันเท่านั้นเอง ส่วนโรคจิตนั้นคือบ้าไปเลย อยู่ในสังคมไม่ได้ เขาต้องสร้างโลกใหม่ของเขาอยู่เอง ส่วนของจิตที่เหนื่อยที่สุดคือ อีโก้ เพราะต้องคอยรั้งดึงทั้งอิดและซุปเปอร์อีโก้อยู่ตลอดเวลา เช่น หากหิวขึ้นมาไม่มีสตางค์ อิดก็จะสั่งให้แย่งหรือวิ่งราว ซึ่งอีโก้ต้องคอยดึงเอาไว้ว่า หากทำลงไปก็ติดคุกด้วยกันหมด นอกจากนี้อีโก้ยังต้องคิดหาวิธีแก้ไขความหิวด้วยวิธีอื่น เช่น ไปขอเขากินดีๆ หรือไปอาสาทำงานแลกข้าว เพราะถ้าไม่แก้ปัญหาให้อิด ก็จะมีเรื่องไม่มีที่สิ้นสุด หรือในกรณีที่ไปเจอคนตกน้ำ ซุปเปอร์อีโก้ก็สั่งให้โดดน้ำลงไปช่วย ซึ่งอีโก้ก็ต้องคอยรั้งเอาไว้ว่า ตัวเราเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น หากโดดลงไปช่วยก็จมน้ำตาย และอีโก้ต้องคิดหาวิธีช่วยเพื่อไม่ให้ซุปเปอร์อีโก้ดึงดันต่อไป เช่น โยนชูชีพให้หรือไปตามคนมาช่วยเป็นต้น อีโก้ต้องเหนื่อยที่สุดตลอดเวลา ดังนั้น เวลาที่อีโกได้พักผ่อนคือ ช่วงที่นอนหลับ ตอนนอนหลับนี่นะ เราจึงฝัน เวลาที่ฝันนี่เองที่เปิดโอกาสให้อิดกับซุปเปอร์อีโก้ ออกฤทธิ์ตามสบาย อยากจะปล้ำข่มขืนใครก็เชิญในฝัน หรืออยากจะเป็นฮีโร่เสียสละชีวิตเพื่อชาติก็เอาตามสบาย ดังนั้น ถ้าคนนอนไม่หลับนานๆ ก็เป็นบ้าเอาง่ายๆ เนื่องจากอีโก้รับงานไม่ไหวนั่นเอง นันทนาการ เช่น การดูหนังดูละครก็ดี เปิดโอกาสให้อีโก้ได้พักอีกเหมือนกัน อย่างดูหนังเรื่องบางระจันหรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือสุริโยไท ก็ทำให้ซุปเปอร์อีโก้สมหวัง อีโก้ก็ไม่เหนื่อยเพราะนั่งดูอยู่เฉยๆ หนังโป๊ประเภท XX อะไรนั่น ก็ทำให้อิดได้สมหวังเหมือนกัน หากฉายในโรงภาพยนตร์ใหญ่ๆ เพราะนั่งดูเฉยๆ ดังนั้น ในต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเขาจึงอนุญาตให้ฉายหนังอย่างนี้อย่างเปิดเผยได้ โดยกำหนดอายุคนที่จะเข้าดู เพราะบรรดาเด็กๆ นั้น อีโก้ยังไม่แข็งแรงแต่ร่างกายเข้มแข็ง อาจจะเป็นโทษได้ ที่เขียนมานี้ไม่ได้เป็นการชักชวนให้มีการอนุญาตให้ฉายหนัง X ในโรงภาพยนตร์ใหญ่ๆ หรอกนะ เพียงแต่ว่าฝรั่งเขายังเชื่อทฤษฎีของฟรอยด์กันอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทั้งๆ ตัวซิกมุนด์ ฟรอยด์ ตายไปตั้งแต่ พ.ศ.2482 โน่นแนะ หน้า 6 ซิกมันต์ ฟรอยด์ ได้อธิบายบุคลิกภาพของบุคคลด้วยทฤษฎีบุคลิกภาพของเขาที่เรียกว่าทฤษฎีความขัดแย้ง (conflict theory) เป็นทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้งของบุคลิกภาพทั้ง 3 แบบ แบบใดชนะก็จะแสดงบุคลิกภาพนั้นออกมาให้ปรากฏ โดยความผิดหรือจิตใจ ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ คือ อิด (id) อีโก้ (ego) และซุปเปอร์อีโก้ (super ego) จะเป็นตัวควบคุมบุคลิกภาพของคน - อิด (id) หมายถึง สันชาตญาณเป็นการทำอะไรโดยฉับพลันตามสัญชาตญาณโดยไม่เอากฎเกณฑ์ใด ๆ ของสังคมมาเป็นตัวกำหนดควบคุมและไม่สนใจใครเลย - อีโก้ (ego) หมายถึง ตัวฉันซึ่งเป็นตัวของตนเองที่ได้รับพัฒนาการมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว Ego มีทั้งบวกและลบ - ซุปเปอร์อีโก้ (super ego) นั้น หมายถึงศีลธรรมหรือสิ่งที่เป็นตัวที่คอยควบคุม id และ ego ไว้ เพื่อไม่ให้กระทำการใด ๆ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องผิดทำนองคลองธรรม ID ได้ทำร้ายอีโก และซุปเปอร์อีโกไป เขาอยากจะให้โลกเป็นดังใจที่เขาคิดเขาเลยทำร้ายเกือบทุกคน
จากคุณ |
:
ga
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.ค. 52 07:41:50
A:124.120.131.3 X: TicketID:224585
|
|
|
|  |