Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แก้วนพเก้าตอนที่ 32 ประลอง + รวมภาพอิมเมจจากตัวละครจากเรื่องแก้วนพเก้า  

แวะมาบอกว่าตอนที่ 32 ออกแล้วจ้า พระเอกโตแล้วอย่าลืมติดตามกันนะคะ

http://www.dida.co.th/index.php?option=com_smf&Itemid=26&topic=275.msg7264#msg7264
----

แก้วนพเก้าตอนที่ 32 ประลอง

นับเวลา            คลาเคลื่อน                เลื่อนลับ
ทุกสิ่งสรรพ       หมุนเวียน                 เปลี่ยนผัน
ผ่านอดีต           ผ่านกาล                  ปัจจุบัน
ข้ามวัน             ข้ามเดือน                 เลือนรางปี

ฝากสายลม         ครวญหา                 พระน้องรัก
นึกตระหนัก         ความเหินห่าง           ลี้หลีกหนี
พี่ยังคง               ถวิลหา                    ทุกนาที
ไยมิมี                 สำเนียงเจ้า              แว่วผ่านลม


“ธีรวงศ์! นี่เจ้าจะลงมาได้รึยัง ใกล้พลบค่ำแล้วนะ”

เสียงขลุ่ยแก้วที่กำลังกังวานขับกล่อมสรรพสิ่งทั่วบริเวณให้เคลิบเคลิ้มหยุดชะงักลง ร่างที่เอนองค์อยู่เหนือคาคบอโศกใหญ่ที่ทอดใบพฤกษาโบกโบยตามสายวาโยยามสนธยา

ราชโอรสผู้ทรงสง่างามเบือนพักตร์ที่คมเข้มงดงามขึ้นมากตามกาลเวลา หากติดจะหวานราวอิสตรีด้วยได้รับถ่ายทอดมาจากพระมารดาลงมามองผู้ที่ยืนร้องเรียกอยู่เบื้องล่าง ดวงสุริยากำลังจะลาลับขอบฟ้า หลีกทางให้ดวงจันทราส่องสว่างแทนที่ รัศมีแสงเดือนกระจ่างจนเห็นเค้าโครงของอีกบุรุษหนึ่งที่งดงามไม่แพ้กัน ดวงเนตรจรัสด้วยความร่าเริงอยู่เป็นนิจ มิตรเพียงหนึ่งเดียวที่ร่วมเป็นร่วมตายกับตนมานานนับ 9 ปี

“เจ้าอู้นานเกินไปแล้วนะธีรวงศ์ พระอาจารย์ให้นำสมุนไพรนี่ไปให้ท่านก่อนพลบค่ำไม่ใช่เหรอ” คำเตือนจากโอรสมโนพัศทำให้ธีรวงศ์นึกถึงคำสั่งของพระดาบสขึ้นมาได้ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ที่ได้พักหลังจากการฝึกซ้อมศิลปศาสตร์ต่างๆ มักจะพาให้หวนนึกไปถึงผู้ที่รออยู่เบื้องหลัง...พระบิดา พระมารดา และพระอนุชา...

หากแต่นานเพียงใดแล้วนะ...ที่เขารู้สึกว่าสายลมที่พัดผ่านมา จืดจาง...ไร้ความหมายใดๆ ส่งมา...

“เรามีอะไรเจ้าดู มโนพัศ” ธีรวงศ์ไม่ไยดีกับคำกล่าวหาว่าละเลยหน้าที่ โจนลงมาจากคาคบอโศกอย่างคล่องแคล่ว หยิบผอบไม้จันท์ที่เจาะรูเป็นช่องกลมๆ ไว้ตรงกลางออกมาจากถุงย่าม

“อะไร?” มโนพัศถามอย่างไม่แน่ใจว่าสหายรักจะมีอะไรที่พิสดารให้ดูอีก

“นี่ไง มันสวยใช่ไหมล่ะ” เมื่อธีรวงศ์เปิดผอบออก ปีกสีทองอร่ามเหลือบเขียวมรกตของเจ้าแมลงปีกแข็งก็ขยับกระพืออย่างเกียจคร้าน ก่อนจะยอมละจากที่นอนอันแสนสบายบินวนคลอเคลียเจ้าของผอบไม้จันท์

“แมลงทับสีทอง...เจ้าไปจับมาจากไหนน่ะ” แมลงทับทองแม้จะพบหาได้ง่ายในทุกสถานที่ หาก ณ เทือกเขาอินทา สีทองจะเข้มกลืนกินสีมรกตจนแทบมองไม่เห็น

“มันบินมาเกาะที่ไหล่ของเรา ตอนที่เรากำลังเป่าขลุ่ยอยู่น่ะ” เจ้าแมลงทับทองราวกับรู้หน้าที่ เมื่ออวดโฉมให้มโนพัศได้เห็นแล้วก็บินกลับเข้าไปนอนในผอบจันท์ที่ธีรวงศ์วางใบพฤกษาไว้ให้เป็นอาหาร

“เราว่ามันคงชอบเจ้าเข้าแล้วล่ะ ธีรวงศ์...เจ้านี่มีเสน่ห์แม้แต่กับแมลงตัวน้อยๆ จริงๆ เลยนะ” มโนพัศกระเซ้า หากธีรวงศ์กลับลังเลใจ เจ้าแมลงปีกแข็งตัวนี้จะยอมติดสอยห้อยตามเขาไปตลอดได้อย่างไร

“ไม่หรอก เราว่ามันคงชอบเพลงของเรามากกว่า เดี๋ยวพอไม่ได้ยินเสียงขลุ่ยนานๆ เข้าก็คงจะไปเอง...ใช่ไหมล่ะ” ธีรวงศ์หันไปถามเจ้าแมลงสีทอง แทนคำตอบมันกลับกัดแทะพฤกษาหารเอร็ดอร่อยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจากไปง่ายๆ เรียกเสียงสรวลจากอีกฝ่าย

“เห็นทีเจ้าคงต้องเลี้ยงมันต่อไปแล้วล่ะ...อย่ามัวแต่ชื่นชมกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่เลย เอ้านี่ เราตักน้ำที่พระอาจารย์ต้องการสำหรับเตรียมเคี่ยวสมุนไพรคืนนี้มาแล้ว” มโนพัศว่าพลางแบ่งกระบอกไม้ไผ่สีคล้ำมาให้สามกระบอก มโนพัศเองก็ถือไว้จำนวนเท่ากัน ธีรวงศ์รับมา หากยังไม่ละความสนใจจากสัตว์เลี้ยงตัวใหม่แม้ว่ามโนพัศจะเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“อ้อ ธีรวงศ์! เราลืมบอกเจ้า...พระอาจารย์บอกว่าใครกลับถึงอาศรมทีหลังต้องคอยเฝ้าเคี่ยวยาทั้งคืน” ขนงเข้มยักทิ้งท้ายก่อนจะเร่งฝีเท้านำไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย! มโนพัศ...เจ้าอย่าโกงเราสิ” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเสียเปรียบ ธีรวงศ์ก็กระโจนข้ามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ตามอีกฝ่ายไปอย่างกระชั้นชิด

หนทางสู่อาศรมนั้นขรุขระและดาษไปด้วยไม้หนามยากที่จะข้ามผ่านไปได้อย่างรวดเร็วตามที่ต้องการ มโนพัศจึงเบนทิศลงมายังธารน้ำ หากเป็นน้ำเขาแน่ใจการฝึกฝนควบคุมและดึงพลังงานจากสิ่งรอบกายมาใช้ ผิวน้ำที่เคยนิ่งสงบ กลับปั่นป่วนเป็นระลอกคลื่นในทุกย่างก้าวของมโนพัศสัมผัสผิวน้ำ  

ธีรวงศ์หรือจะยินยอมให้อีกฝ่ายล่วงหน้าไปอย่างนิ่งดูดาย หากมโนพัศเชี่ยวชาญในการดึงพลังจากสายน้ำ เขาเองก็จะแล่นไปให้รวดเร็วพร้อมกับสายลมเช่นกัน เพียงแค่แตะปลายบาทไปบนอากาศ เพียงแค่มีสายลมห้อมล้อมรอบกาย ก็เหมือนร่างทั้งร่างจะโผนถลารุดหน้าไปไกล

“เจ้าต้องเคี่ยวหม้อยาทั้งคืนแน่ มโนพัศ!”

“เจ้าต่างหากล่ะ” ทั้งสองแข่งขันท้าทายสนุกสนาน พลางเร่งความเร็วของตนขึ้นขนานกันไป

ความเร็ว...การแข่งขันเช่นนี้...ธีรวงศ์ราวกับรู้สึกคุ้นเคย...ราวกับเคยแข่งขันกับใครบางคน...ท่ามกลางหมู่เมฆ แสงดาราราย...แต่มันกลับเลือนลางจนเลือนหายไปจากความทรงจำ

************************

เบื้องบนฟากฟ้าดาราพราย เทพธิดาผู้ทรงโฉมงดงามยิ่งกว่านางใดๆ ทอดมองผู้มีเชื้อสายขัตติยราชทั้งสองที่ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ หากความสง่างามก็มิได้ลดหมองลง ทว่ากลับยิ่งทรงสง่ามากขึ้นตามวัย

“การเฝ้าดูแลพระอังคารคงจะเป็นเรื่องที่น่าหนักใจมิใช่น้อยเลยนะ” สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นราวทักทาย นิศาเทวีย่อกายเคารพผู้ทรงศักดิ์แห่งสรวงสวรรค์ รัศมีสีเขียวเจิดจ้าเปล่งประกายสว่างไสว

“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ องค์อัมรินทร์”

“พระอังคารท่านไม่เคยเปลี่ยนเลย ยังชอบที่จะแข่งขันเหมือนเดิม...เป็นเพราะเราแท้ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องถึงกาลจุติ”

องค์อัมรินทร์ตรัสอย่างละอายพระทัย เมื่อทรงระลึกถึงเมื่อครั้งพระองค์และพระอังคารเมื่อครั้งยังดำรงความเป็นเทพประลองฤทธิ์แข่งขันกันไปให้ถึงยอดเขาสุเมรุ ทรงทอดเนตรบุรุษหนุ่มน้อยทั้งสองที่ยังคงแย้มยิ้มสดใสและยังมิได้แบกความทุกข์หนักใดๆ

“เรื่องนั้นมิใช่ความผิดของพระองค์เลยนี่เพคะ” แม้นางจะถือกำเนิดไม่ทันกาลนั้น แต่กฎแห่งสวรรค์ ผู้ทำผิดย่อมได้รับโทษ

“แต่ถ้าไม่เราคิดแข่งขันจะเอาแต่ชัยชนะ พระอังคารก็คงไม่ต้องโทษทัณฑ์ให้ไปเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้”

“พระแม่เจ้าอุมาเทวีตรัสว่ามันเป็นชะตาลิขิต ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว หม่อมฉันเชื่อว่าพระอังคารจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคและสังหารยักษ์ทาระกะได้สำเร็จแน่นอนเพคะ” นิศาเทวีกล่าวอย่างเชื่อมั่น

“เราคงทำได้เพียงคอยดูพระองค์อยู่ห่างๆ เท่านั้นสินะ”

************************

ธีรวงศ์และมโนพัศต่างมุ่งหน้ามาถึงยังอาศรมด้วยความเร็วที่ไม่มีใครยอมแพ้ใคร แต่การแข่งขันจบลงด้วยผลเสมอกัน!

“เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ อีกนิดเดียวเราก็จะได้เห็นเจ้านั่งเฝ้าหม้อต้มยาจนถึงเช้าแล้ว” ธีรวงศ์ทำเสียงเสียดายอย่างไม่จริงจัง การแข่งขันของทั้งคู่เปรียบประดุจการฝึกฝนที่พร้อมจะก้าวหน้าไปด้วยกัน

“เห็นทีเราคงต้องทำข้อตกลงกันใหม่แล้วล่ะว่าคืนนี้ใครจะเฝ้าหม้อยา” มโนพัศช่างเจ้าแผนการเช่นเดียวกับเจ้าปัญหาทุกครั้ง

“แล้วคราวนี้เจ้าจะแข่งอะไรเราอีกล่ะ” แต่ก่อนจะเริ่มการประลองขันต่อในรอบสองขึ้น ผู้ทรงศีลชราหุ้มกายด้วยหนังเสือก็ก้าวออกมาจากอาศรมพร้อมด้วยน้ำเสียงตำหนิ

“เล่นสนุกกันพอรึยัง พระโอรสทั้งสอง!”

ศิษย์ทั้งสองเปลี่ยนท่าทีจากร่าเริงเมื่อครู่เป็นสงบเสงี่ยมขึ้นทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นอาจารย์

“พระอาจารย์ศิษย์ ขออภัยขอรับ” ธีรวงศ์รีบกล่าวขออภัยอย่างรู้สึกผิดเมื่อได้ยินเสียงตำหนิจากพระอาจารย์  

“เป็นความผิดของศิษย์เอง ที่ชักชวนธีรวงศ์เล่นไม่รู้เวลา”

“พระโอรสมโนพัศ จงกลับไปฝึกฝนสมาธิของพระองค์เช่นเดิม ถ้าหากผ่านคืนนี้ไปได้ฝึกบำเพ็ญจิตให้นิ่งเป็นสมาธิของพระองค์ก็จะสำเร็จ และอย่าลืมที่อาตมาสั่งไว้ ห้ามวอกแวกและห้ามออกมาจากเส้นสีแดงที่อาตมากำหนดไว้...ส่วนพระโอรสธีรวงศ์เข้ามาหาอาตมาข้างใน” แล้วพระดาบสก็หายกลับเข้าไปในอาศรม

ธีรวงศ์พักตร์เผือดสี เห็นทีตนคงจะต้องถูกเทศนาหนักเพียงลำพังเสียแล้ว มโนพัศมองสหายรักอย่างเห็นใจแต่ตนเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจาก...

“ขอให้โชคดีนะ ธีรวงศ์” ...เป็นคำปลอบโยนที่สร้างกำลังใจได้ดีทีเดียว

 ธีรวงศ์ทรุดลงตรงหน้าพระดาบสซึ่งรออยู่ในท่วงท่าสงบนิ่ง ขัดสมาธิเพชรมั่นคง แสงรำไรจากประทีปที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำมันส่องสว่างให้เห็นเค้าโครงรูปที่เติบโตขึ้นตามกาลเวลา จากโอรสองค์น้อยที่มีเพียงความมุ่งมั่นและกล้าหาญ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัว ความองอาจฉายชัดไปทั่ววรกายทั้งดวงเนตรคมขับให้พักตร์ที่งดงามนั้นเพิ่มพูนด้วยสง่าราศี

 ผู้เป็นศิษย์สบเนตรพระอาจารย์แน่วแน่แม้จะเกรงขามในลักษณะของผู้ทรงศีล แววตาที่จริงจังเป็นนิจของท่านราวกับจะสามารถมองทะลุไปถึงจิตใจของตน

“มหาบพิตร พระองค์ยังจำได้หรือไม่ว่าทรงมาร่ำเรียนวิชากับอาตมานั้นด้วยเหตุผลใด”

“เอ่อ…ศิษย์มาเรียนกับพระอาจารย์เพราะต้องการฝึกฝนวิชาให้เก่งกล้าและไปนำไออุษณะกลับคืนบ้านเมืองขอรับ” ธีรวงศ์ตอบเหตุผลอันเป็นภาระหน้าที่สำคัญ ที่บางครั้ง...ก็ทรงเผลอลืมไป

“นั่นสินะ อาตมานึกว่าพระองค์ลืมภารกิจนี้แล้วเสียอีก”

คำกล่าวจากพระดาบสกระทบจิตใจธีรวงศ์นัก ใช่...ตนช่างเป็นขัตติยะที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง มัวแต่เล่นสนุกแข่งขันจนลืมภาระหน้าที่ที่สำคัญต่อชาติบ้านเมือง และเวลานี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดเวลาแห่งความหายนะของคีรีรัตน์นครแล้ว อีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น

คีรีจักร...พระอนุชาคงรอคอยการกลับไปของเขาอย่างเดียวดาย

“ศิษย์ขออภัยขอรับพระอาจารย์ ศิษย์ไม่สมควรเลยที่จะเกิดมาเป็นรัชทายาทแห่งคีรีรัตน์นคร จนกระทั่งป่านนี้ ศิษย์ก็ยังไม่สามารถจะฝึกวิชาให้ก้าวหน้า...”

“ความเก่งกล้าสามารถมิได้วัดจากการฝึกฝนต่อหน้าครูบาอาจารย์ หากอยู่ที่การเรียนรู้และประสบการณ์ของพระองค์ ถึงแม้เวลานี้พระองค์จะก้าวหน้าในยุทธศาสตร์ต่างๆ หรือไม่ แต่มันก็ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะต้องกระทำตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง”

“วันพรุ่ง...พระองค์จะต้องประลองฝีมือกับพระโอรสมโนพัศเพื่อเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนที่อาตมาจะปล่อยให้พระองค์เดินทางไปยังเทือกเขาอัศราเพื่อไปนำไออุษณะกลับคืนคีรีรัตน์นคร”

“เทือกเขาอัศรา!” ชื่อสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนปรากฏขึ้นจากปากคำของพระอาจารย์

“ตำนานแห่งไออุษณะถูกกล่าวขานและถูกลืมเลือนจนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ดังเช่นครั้งหนึ่งคีรีรัตน์นครเคยเป็นแหล่งแร่ลวนะ เป็นต้นกำเนิดของไออุษณะแห่งหนึ่ง แต่เมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนผันแหล่งต้นกำเนิดก็เปลี่ยนไป...เทือกเขาอัศรายังคงเป็นดินแดนลับแลยากแก่การค้นหามีเพียงจิตที่มั่นคงและไม่ย่อท้อเท่านั้นที่จะฝ่าฟันไปถึงดินแดนลับแลนั้นได้…พรุ่งนี้มหาบพิตรต้องพิสูจน์ให้อาตมาเห็นว่าพระองค์พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภยันตรายที่รออยู่ข้างหน้าในการเดินทางไปนำไออุษณะ”

“ศิษย์จะไม่ทำให้พระอาจารย์ผิดหวังขอรับ” ความยินดีที่จะได้กลับบ้านเมือง กลับไปหาผู้ที่รอคอยอยู่เบื้องหลังสร้างความมุมานะ ตลอดระยะเวลาเก้าปีที่พากเพียรพยายามฝึกฝนสรรพวิชาก็เพื่อภารกิจนี้เท่านั้น เขาจะต้องทำให้ได้

“อาตมาจะรอดูในวันพรุ่งนี้” พระดาบสแย้มริมฝีปากเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู

“ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอตัวไปปรุงยาสมุนไพรให้พระอาจารย์ก่อนนะขอรับ” ธีรวงศ์ก้มกราบลาก่อนจะค่อยๆถอยออกจากอาศรม

“ช้าก่อนพระโอรสธีรวงศ์…”

แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 12:35:13

แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 12:32:45

จากคุณ : บทเพลงปีศาจ
เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 52 11:02:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com