 |
ดูหนังดูละคร...แล้วย้อนดูตัว
|
|
การนั่งมองท้องฟ้าพัดพาเอาเมฆหมอกมากระหน่ำบรรยากาศให้มืดครึ้มไปทั่ว สูดไอดินกลิ่นฝนเข้าเต็มใจกับเย็นฉ่ำละอองน้ำที่หล่นพรำมาตลอดระยะเวลาเป็นเดือนๆนั้น ทำให้เราหวนคิดถึงหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุมีผล
เราเปิดเช้านี้ด้วย ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ แทนมื้อเช้า แม้จะยังไม่ใช่ช่วงออกพรรษา อีกทั้งเราเองไม่ใช่คนอีสานและไม่เคยได้ชมบั้งไฟพญานาคด้วยตัวเองเลยสักหน วันนี้...เราคิดว่าอยากจะได้ชมเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต จิระ มะลิกุลทำหนังเรื่องนี้ให้พวกเราดูตามสายตาของเขาในฐานะผู้กำกับ โดยส่วนตัวเราตีความได้ ๒ ประเด็นด้วยกัน หนึ่งนั้นคือความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตำนานโบราณทั้งหลาย และสอง...การศรัทธาในการทำความดีของมนุษย์ ในยุคสมัยที่มนุษยชนมีเพียงความเชื่อเรื่องผีและพุทธ ทุกอย่างทุกประการที่ปรารถนาให้ชาวบ้านกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรม จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องของบาปบุญคุณโทษ หากยังไม่เชื่อคำสั่งสอนเหล่านั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าหากฝ่าฝืน หากละเมิด ผลที่ได้รับก็คือ นรกหรือสวรรค์นั่นเอง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของเทวดา , สัตว์หรืออมนุษย์ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ก็ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในเรื่องการทำความดีอย่างชัดเจน
ความเชื่อเรื่องพญานาคที่มีมาช้านาน ถึงขนาดมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคอันผู้คนจะลบหลู่มิได้นั้น ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ ในนิยายปรัมปรา และบ้างก็ว่าปรากฏอยู่ตามเมืองต่างๆบนสองฝั่งแม่น้ำโขงด้วยซ้ำ พญานาคที่เราเชื่อว่าให้น้ำให้ฝนถึงกับต้องมีพิธีแห่บั้งไฟเพื่อการบวงสรวง พญานาคผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายน้ำที่ผู้คนไม่กล้าล่วงล้ำลบหลู่หรือทำการใดๆโดยไม่นึกขอบคุณในความกรุณาของสายน้ำที่ทำให้ผู้คนได้มีชีวิต
พญานาค คือ อมนุษย์ผู้สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้น แสดงให้เห็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ หนึ่ง ตามพุทธประวัติเรื่องที่นาคมาขอพระพุทธเจ้าออกบวชแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมิใช่มนุษย์ อาจตีความได้ว่า ด้วยการเป็นมนุษย์เท่านั้นดอกจึงจะมีบุญเพียงพอที่จะบวชเรียนศึกษาพระธรรมและบำเพ็ญบุญกุศลได้สูงสุดเท่าที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะพึงกระทำได้ จึงเป็นหน้าที่ของลูกชายที่จะบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ให้ได้ชื่นใจยามเห็นชายผ้าเหลือง สุขใจราวกับได้ขึ้นสวรรค์แล้วก็ไม่ปาน
และสองจากนิยายปรัมปราว่าด้วยการสร้างเมืองมหานครต่างๆในถิ่นอีสาน หรือการขุดลำน้ำโขงขึ้นนั้นก็ด้วยบุญญาบารมีของพญานาคโดยแท้ นี่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขง สายน้ำที่ผู้คนได้ดื่ม กินและใช้มาหลายชั่วอายุคน แม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลและไม่เคยเหือดแห้ง ชาวบ้านที่ต้องอาศัยธรรมชาติบันดาลทุกข์ บำรุงสุข ย่อมต้องรำลึกในบุญคุณของธรรมชาติที่ได้สร้างสายน้ำอันยิ่งใหญ่ไว้ยังประโยชน์แก่ตน พญานาคจึงเป็นตัวแทน เป็นสัญลักษณ์แห่งธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีปาฏิหาริย์ ผู้มีอำนาจบารมีและเป็นที่พึ่งพิงของชาวนา ชาวน้ำในแถบภาคอีสานมาโดยตลอด
ในยุคที่มนุษย์อย่างเราๆยังคงเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ด้วยความเชื่อถือยำเยง ความศรัทธาในบุญคุณของเทพเจ้า ของธรรมชาตินั้นเองที่ทำให้เราอาศัยพึ่งพาธรรมชาติด้วยความเคารพ การรู้ขอบเขตของธรรมชาติและผู้คน รู้จักการคืนสู่ธรรมชาติ รู้จักการปล่อยวางตามวิถีโลก รู้การประมาณตนและรู้จักพอ ก็มิใช่ด้วยความเชื่อเหล่านี้หรอกหรือที่ทำให้มนุษย์อยู่กับธรรมชาติอย่างเป็นสุขตามอัตภาพ เช่นว่า คนโบราณที่ได้บวชต้นไม้ และเพราะต้นไม้มีรุกขเทวดาอารักษ์ ดังนั้น เราไม่ควรตัดไม้ใหญ่เพื่อใช้งาน ชาวนากราบไหว้พระแม่โพสพด้วยรู้คุณข้าว ก็พลอยให้รู้คุณพืชพรรณธัญญาหารอื่นๆด้วยว่าได้ผลิดอกออกผลเพื่อให้คนเราได้มีอาหารกันหิว และมีร่างกายเติบโตขึ้นมาได้ ควรแก่การที่จะเคารพต่อพืชพรรณเหล่านั้นอย่างยิ่ง ป่าเขาล้วนมีเทพอารักษ์อันคนเราไม่ควรกระทำการใดที่จะทำลายทั้งสัตว์และพืชพรรณในป่านั้น วัดวาอารามที่อยู่ตามเขาสูงๆนั้นเป็นเขตอภัยทาน ดังนั้น จะไม่มีการล่าสัตว์ในเขตอารามสงฆ์ สัตว์ทั้งหลายจึงมีความสุขและได้สืบลูกสืบหลานต่อมา และด้วยการที่ชาวน้ำเคารพเซ่นไหว้เทวดาอารักษ์หรือพญานาค จึงทำให้สัตว์น้ำที่เขาจับนั้นเป็นไปเพียงเพื่อการยังชีพ น้อยพอที่จะทำให้ปลาหลากชนิดเหล่านั้นสืบเผ่าพันธุ์ไว้เป็นอาหารของชาวบ้านรุ่นต่อไปได้อีกนาน ไม่ใช่ล่าเพื่อการกีฬา เพื่อพร่าผลาญชีวิตผู้อื่น
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พ้นยุคพ้นสมัย สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า วิทยาศาสตร์ การไม่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ทำให้มนุษย์เราตัวใหญ่ขึ้นมาก เรารู้ทันธรรมชาติ เราอยู่เหนือธรรมชาติได้ บนฟ้าก็ไม่ได้มีแต่นก แต่ยังมีเครื่องบินของเราอีกด้วย ใต้น้ำใครว่ามีเมืองบาดาลหรือ? เราก็เอาเรือดำน้ำออกสำรวจเข้าสิ ไม่เห็นจะมีที่ไหนเลย บนดวงจันทร์ล่ะ ? ไหนว่ามียายกับตาตำข้าวอยู่ ก็มิสเตอร์นีล อาร์มสตรอง เขาไปเหยียบมาแล้ว ไม่เห็นจะมีสิ่งมีชีวิตที่ไหนจะอยู่เข้าไปได้เลย พระอาทิตย์ พระจันทร์ก็ไม่ได้มีเทวดานางฟ้าที่ไหนสิงสถิตสักหน่อย มันก็ไอ้แค่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งเท่านั้น คำพูดที่ว่าเทพเจ้าไม่มีจริง จินตนาการ งมงาย ไร้เหตุผล เริ่มปรากฏทั่วไป วิพากษ์ตำนานปรัมปรา หลักความเชื่อ หรือแม้แต่ตำราทางศาสนา ก็ล้วนด้วยความคิดเห็นแบบใหม่ เมื่อไม่เห็น จับต้องไม่ได้ก็คือการไม่มีอยู่จริง มนุษย์ต่างหากที่ยิ่งใหญ่
น้ำท่วมเราก็สร้างเขื่อนกั้นเข้าสิ น้ำแห้งเราก็กำหนดฟ้ากำหนดฝนได้เองไม่เห็นต้องง้อเทพเจ้าเลย ไฟไหม้ที่ไหนเราก็ใช้สารเคมีดับมันเข้าไป สัตว์แบบนี้เราไม่ต้องการ จะสูญพันธุ์ก็เรื่องของมัน แต่ถ้าอย่างไหนเราอยากได้เพิ่ม ก็ผสมเทียมเข้าสิ ไม่อยากได้ก็ฉีดยาให้ตายไป เราควบคุมได้อยู่แล้ว ผลผลิตการเกษตรได้ไม่เต็มที่ก็ฉีดยาเร่งเข้า พืชพรรณธรรมชาติไม่พอกับความต้องการอย่างโลภของเรา ก็ตัดต่อพันธุกรรมมาใหม่ก็ได้ ไหนล่ะ...รุกขเทวดา? ไหนล่ะ..พญานาค? ไหนล่ะ..พระเจ้า? ไม่มีจริงหรอก...ไม่เห็นกลัวเลยซักนิด มนุษย์นี่ต่างหาก คือ พระเจ้าตัวจริง เราจะสร้างหรือเราจะสั่งอะไรจากธรรมชาติก็ได้ทั้งสิ้น มีใครหน้าไหนเคยทำได้บ้างเล่านอกจากมนุษย์อย่างพวกเรา
แล้วเป็นอย่างไรเล่า ? ทุกวันนี้ เราเริ่มเห็นความวิปริตของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ โลกจะร้อน น้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะไหว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรุนแรง..อย่างคาดไม่ถึง เรามองว่าเป็นภัยพิบัติของมนุษยชาติ ต่างก็เดือดร้อนดิ้นรนให้พ้นจากความหายนะนี้ ทำไมถึงได้เดือดร้อนนักหนา ก็เพราะทำใจไม่ได้ที่เราจะไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งๆที่เราเคยเอาชนะธรรมชาติ เอาชนะสัตว์โลก เอาชนะกฏเกณฑ์ธรรมชาติหลายข้อหลากประการ แล้วครั้งนี้ทำไมทำไม่ได้? หรือเราต้องยอมแพ้ ? ไม่ได้...เราไม่เคยแพ้ มนุษย์ต้องเป็นผู้กุมชะตาของโลก!! นี่แหละมนุษย์...จากที่เคยอยู่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกับสายน้ำ ป่าเขา และท้องทะเลที่ตัวพึ่งพิงมาตั้งแต่เกิดจนตาย เลือกใช้ธรรมชาติและสัตว์ป่าเท่าที่จำเป็นก็กลับกลายหายสูญ พร้อมๆกับสิ่งที่มนุษย์เรียกเอาเองว่า วิทยาการก้าวหน้า ความรู้ใหม่ที่ทำให้มนุษย์หลงลำพองว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้แต่เทวดา นางฟ้า หรือสิ่งเหนืออำนาจมนุษย์ แล้วก็เพราะอย่างนี้...ถึงต้องลบล้างความเชื่อแบบเก่าไปเสียให้หมด โลกมีอยู่โลกเดียว มนุษย์นี่แหละ คือ สิ่งมีชีวิตเดียวที่ชาญฉลาดที่สุด นรก สวรรค์ไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครเคยเห็น เพราะฉะนั้นเมื่อนรกและสวรรค์ไม่มีอยู่จริงเสียแล้ว การทำการใดๆของเราก็ไม่ได้ส่งผลให้กับชาตินี้หรือชาติหน้า ไม่มีเทวทูตหรือยมบาลมาตัดสินโทษเราได้ บาปบุญคุณโทษอะไรก็ไม่ได้มีอยู่จริง จะกลัวไปทำไม? เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรก็ทำเถอะ อยากได้อะไรก็ไปเอามาเพราะเรามีอิสรเสรี ไม่ได้ต้องเกรงใคร นับถือแต่ตัวเอง หรือจะเรียกว่าตนเองเป็นใหญ่ก็ได้ หัวจิตหัวใจมีเพียงแต่ความต้องการ ความต้องการที่สนองแต่เพียงความอยากของตัวเองและพวกพ้อง เพียงเพราะคิดว่าคนเราต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม มีความสุขให้พอ กอบโกยให้มาก เพราะเกิดมาก็หนเดียวตายก็หนเดียว จะกลัวอะไร ?
อย่าทำอย่างนี้ โบราณเขาถือ เชื่อว่าใครหลายคนคงได้ยินคำนี้จากปากผู้ใหญ่ในบ้านเสียจนชิน พร้อมกับคำสั่งว่าให้แก้เคล็ดแบบนั้นแบบนี้ ความเชื่อเรื่องโชคราง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เด็กรุ่นใหม่มองว่างมงาย ไร้เหตุผล แต่คนรุ่นเก่าเชื่อได้อย่างสนิทใจ ปฏิบัติตามได้อย่างสบายใจ มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนโบราณจะสร้างความเชื่อเหล่านี้ขึ้นมาได้โดยไม่มีเหตุผลรองรับ ?
ในหลายครั้งเราอดคิดไม่ได้ว่า คนโบราณคงไม่ได้ใช้แค่จินตนาการมาสร้างความเชื่อ หรือจารีตปฏิบัติกันหรอก คงจะต้องมีการสังเกต วิเคราะห์ วิจัยกันมามากพอแล้ว เพียงแต่การที่จะอธิบายเหตุผลนั้นมันมีผลต่อการเชื่อฟังของผู้คนน้อยกว่าน้อย ดังนั้น การเล่าขานด้วยตำนานหรือนิยายปรัมปรา ดูเหมือนจะทำให้คนรุ่นหลังยอมถือปฏิบัติได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งมากกว่า ก็ควรจะเป็นไปเช่นนั้นมิใช่หรือ ? เราเชื่ออย่างแน่แท้ว่าปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษของเราคงไม่แต่งเรื่องโกหกเพื่อให้ลูกหลานกลายเป็นคนไร้ความคิดเป็นแน่ ไม่ต่างอะไรกับการสอนเรื่องการทำความดี หากมนุษย์หมดความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ หมดความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ หมดศรัทธาในคำสอนของศาสนาแล้วไซร้ มนุษยชาติจะเป็นไปอย่างไรต่อไปในอนาคต ? ความเห็นแก่ตัว การแก่งแย่งชิงดี ความอาฆาตพยาบาท ไม่ใช่หนทางสู่ความหายนะของมนุษย์หรอกหรือ ? แล้วอย่างนี้ถ้าเลือกได้แล้วละก็ คิดว่าจะเลือกเติบโตเวียนว่ายอยู่ในความเชื่อแบบโบราณหรือโตมากับความคิดวิทยาศาสตร์กันดีเล่า...มนุษย์ ?
รอยยิ้มของหลวงพ่อชราก่อนที่จะดำน้ำลงไปวางระเบิดบั้งไฟตามซอกหินใต้สายน้ำโขงที่ปกคลุมไปด้วยความมืดแห่งยามค่ำนั้น..สดใสยิ่งนัก รอยรำลึกถึงความเชื่อเรื่องพญานาคที่อยากดำรงไว้คู่กับพระศาสนานั้นเล่า ก็ทำให้บรรยากาศฟ้าฉ่ำฝนนั้นอบอุ่นอย่างนึกไม่ถึง สายตาอันมุ่งมั่นในศรัทธา..ในความเชื่อที่ทำให้ความกล้าหาญสว่างไสวอยู่ในจิตใจ หรือแม้แต่คำล่ำลาที่หลวงพ่อเขียนทิ้งท้ายไว้ให้คนที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้ซาบซึ้งใจว่า การมีชีวิตอยู่ด้วยความศรัทธาและดำรงไว้ซึ่งการทำแต่เพียงความดีนั้น ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและมีความสุขอิ่มเอิบใจไปจนแม้ลมหายใจสุดท้ายแห่งจิตวิญญาณเลยทีเดียว
แม้หลวงพ่อจะหมดลมไปพร้อมกับความหวังที่จะสืบต่อตำนานบั้งไฟพญานาค แต่จิระกลับแสดงให้เราเห็นว่าทุก ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ มหัศจรรย์แห่งสายน้ำโขงในคืนเดือนเพ็ญยังคงอยู่ แม้ศรัทธาในใจผู้คนจะถูกสั่นคลอน แต่ปรากฏการณ์แสงไฟพญานาคเหนือลำน้ำถิ่นอีสานนั้น...เป็นนิรันดร์
แม้โลกจะปฏิเสธความเชื่อบุร่ำบุราณทั้งหลาย แม้สังคมจะห่างไกลจากอ้อมกอดของธรรมชาติจนขาดกันไม่เหลือแม้เยื่อใย แม้มนุษย์จะหันหลังให้แก่คัมภีร์พระศาสนาด้วยมิจฉาทิฐิ แต่กระนั้น...เราก็ยังเชื่อเหลือเกินว่า ความศรัทธาในความดีนั้นควรแก่การดำรงอยู่อย่างมั่นคงในหัวใจมนุษยชาติอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็เป็นไปเพื่อความสุขสงบแห่งจิตใจไปตลอดกาลของการมีชีวิต...บนโลกใบนี้ เราย่อมดำเนินชีวิตไปตามวิถีธรรม..วิถีธรรมชาติ ก็ด้วยเชื่อคำของหลวงพ่อที่ว่า.....
เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ
จากคุณ |
:
สร้อยสยาม
|
เขียนเมื่อ |
:
วันภาษาไทยแห่งชาติ 02:10:43
|
|
|
|  |