Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น : บูรพา  

“คนเรา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้ทำเพื่ออุดมการณ์สักครั้งก็คุ้มค่านักแล้ว”


ข้อความในหน้ากระดาษใบแรกของสมุดบันทึก ที่บรรจงดึงออกมาและค่อยๆ ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โปรยปลิวออกจากหน้าต่างรถไฟ จากต้นทางสุดชายแดนปลายด้ามขวานกลับสู่เมืองหลวงแห่งศิวิไลย์ คนนั่งตรงข้ามปรายตามอง หากก็ไม่กล่าวสิ่งใด


นั่นสินะ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครในเวลานี้ทั้งนั้น ไม่มีใครสบสายตากับใครหากไม่จำเป็น ทั้งที่ต่างก็อาศัยอยู่บนผืนดินแผ่นเดียวกัน... รถไฟแล่นไกลออกจากต้นทางจนเหลือเพียงเงาจางๆ ให้จารจดเป็นความทรงจำกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต กับสถานที่ๆ แม้อยากมา แต่หากไม่มีภารกิจหรือไม่มีธุระจำเป็นอื่นใดก็เลือกที่จะไม่มา ที่ๆ หนังสือพิมพ์ลงข่าวรายวันถึงการทำสงครามกองโจรในพื้นที่ อาชญากรรม วางระเบิด ดักยิง เผาทำลาย หรือแม้กระทั่งโจมตีซึ่งๆ หน้า กระทั่งฆ่าตัดคอ อันเป็นการกระทำที่อมหิตเกินกว่าจะเรียกมนุษย์

“คนเรา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้ทำเพื่ออุดมการณ์สักครั้งก็คุ้มค่านักแล้ว”


คำพูดของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งที่เอ่ยออกมาในวันที่ผมเรียนจบมีดาวดวงแรกประดับบ่า คำพูดที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลือกลงหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติภารกิจจังหวัดชายแดนแห่งนี้ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคนมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าแห่งยศศักดิ์ด้วยทางเลือกที่แตกต่างไป


ภารกิจของผม หน้าที่หลักคือการปฏิบัติการทางจิตวิทยาและการข่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายวิชาชีพอย่างยิ่งสำหรับเด็กอ่อนหัดอย่างผม หลังจากที่ผ่านการอบรมด้านการวิเคราะห์การก่อการร้าย เพราะแม้จะผ่านการฝึกในหลักสูตรอย่างหนักหน่วง มีเครื่องหมายเสือคาบดาบรับประกัน และปีกร่มติดหน้าอกอย่างภาคภูมิ เคยอยู่ในสถานการณ์จำลองของการก่อการร้าย การรบ การฝึกด้านจิตวิทยาและต่างๆ นาๆ เพื่อที่จะให้เป็น “รั้วของชาติ” โดยสมบูรณ์ แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะได้พบประสบการณ์จริง จนกระทั่งได้มาที่นี่ ชีวิตที่ทำให้ผมรู้คุณค่าของคำว่าชีวิต


ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับบรรยากาศขณะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ผมได้พบกับเด็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่กลางลานกว้างของหมู่บ้าน  เมื่อเห็นรถตู้สีขาววิ่งผ่าน พวกเขาพร้อมใจกันวิ่งเข้าหลบหลังต้นไม้ หรือล้มกลิ้งในท่าหมอบ ใช้มือทำเป็นปืนเล็งยิงมาที่รถตู้ ก่อนลุกขึ้นหัวเราะชอบใจ และเหตุการณ์ที่ผมจดจำขึ้นใจมาจนถึงวันนี้ และต่อมาไม่นานนักเมื่อคราวที่หัวหน้าหน่วยระดับสูงท่านหนึ่งถูกกดดันจากกลุ่มชาวบ้านให้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ลอบวางระเบิด มีเด็กเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งมาเตะก้นท่านแล้ววิ่งหนีไป นั่นสะท้อนให้เห็นถึงการปลูกฝังค่านิยมบางอย่างของคนบางกลุ่มในชุมชน ผมเริ่มหนักใจกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา


“เนื่องจากงานป้องกันและปราบปรามความไม่สงบเป็นงานระดับล่างที่จะสะท้อนถึงงานยุทธศาสตร์ กลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้การทำงานทางยุทธวิธีโดยกำหนดให้มีกลุ่มปฏิบัติการแทรกซึมอยู่ในหมู่บ้าน ดังนั้นเราจึงต้องสร้างบุคลากรยุทธศาสตร์ขึ้นเพื่อยกระดับการชิงไหวพริบทางยุทธวิธีและเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ก่อการร้าย โดยจัดให้มีการฝึกเพิ่มเติมเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและการตัดสินใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งในงานปฏิบัติข่าวลับขั้นต้นและฝึกเพิ่มเติมในหลักสูตรอื่นที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจจริง”


คำพูดของหัวหน้าหน่วย ตอกย้ำถึงเป้าหมายของการฝึกฝนอย่างหนักก่อนที่ทุกคนจะได้รับคำสั่งให้ลงพื้นที่จริง แววตาของเพื่อนร่วมรุ่นในการฝึกหลักสูตรพิเศษนี้คือแววตาแห่งความเชื่อมั่น แม้จะไม่แน่ใจว่าจะได้พบหน้ากันอีกหรือไม่ก็ตาม... ผมไม่เคยคำนึงถึงชีวิต เพราะเลือกแล้วที่จะพลีชีวิตเพื่อความสงบสุขของประเทศที่เกิดและบ้านเมืองที่เติบโต มันเป็นความมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ของคนเล็กๆ อีกหลายคน


“เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว จะตายทั้งทีก็ขอทำประโยชน์ให้ประเทศชาติก่อนสักครั้งเถอะว้า”

ชายหนุ่มที่มีนามเรียกขานว่า “บูรพา” พูดติดตลก ถึงแม้ลึกๆ แล้วเขาเองกรู้ดีว่ามันเป็นเพียงประโยคที่ใช้ปลอบใจตัวเองเท่านั้น เราสองคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เลือกมาด้วยเหตุผลเดียวกันและเราเป็นบั๊ดดี้ที่ต้องคอยดูแลกันและกันตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติภารกิจที่นี่ และเขานี่เองที่เป็นเจ้าของประโยคที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลือกมาลงที่นี่  

“คนเรา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้ทำเพื่ออุดมการณ์สักครั้งก็คุ้มค่านักแล้ว”

หกสัปดาห์ผ่านไปอย่างหวาดผวา แน่นอนว่าผมยังไม่ชินกับการนอนหลับๆ ตื่นๆ และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าผมมักจะถามตัวเองเสมอว่านี่คือความฝันหรือความจริง ผมยังมีชีวิตอยู่หรือนี่เป็นเพียงแค่วิญญาณที่ล่องลอยใกล้ๆ กับร่างที่ไร้สิ้นลมหายใจแล้วเท่านั้น

“ฮาโหล หม่ามี้เหรอคร้าบ ขอโทษนะครับหม่ามี้ที่โทฯ มาตอนดึกๆ พอดีว่าความคิดถึงมันกระโดดเตะก้านคอลูกน่ะครับ... คร้าบ ลูกก็คิดถึงหม่ามี้นะคร้าบ ต้องวางสายก่อนแล้วนะครับหม่ามี้ สัญญาว่าจะไม่ลืมสวดมนต์ก่อนนอน ฝันดีครับแล้วเจอกัน”

บูรพายิ้มให้กับโทรศัพท์ก่อนจะปิดเครื่อง แล้วก้มลงสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนเป็นกิจวัตร ผมเคยแอบยิ้มหลายครั้งที่เขาคุยกับแม่ แม้จะดูเป็นคนขี้เล่นแต่เขาเหมือนเป็นคนละคนในขณะทำงานเพราะบูรพาเป็นคนจริงจัง เอาใจใส่และมุ่งมั่นกับงาน โดยไม่เคยบ่น ไม่เคยท้อให้ใครเห็น บูรพาเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง นั่นรวมถึงผมด้วย

“สายฟ้าสี่หนึ่งเตรียมพร้อม สิบนาทีรวมหน้า บก.” วิทยุสื่อสารที่ดังเรียกมายังทีมของผม ทำให้พวกเราที่กำลังเคลิ้มหลับต้องรีบดีดตัวออกจากที่นอน ไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยภายในสิบนาที


“ห้อยหลวงพ่ออะไรอยู่หรือสิงห์ดำ...อ่ะ อย่าบอกนะว่าห้อยหลวงพ่อรอด”

สิงห์ดำเป็นนามเรียกขานของผมสำหรับภารกิจที่นี่

“ทำไมเหรอ”

“อ้าว ก็ถ้าโดนพวกนั้นยิงคิดว่าใครจะรอด”

“หลวงพ่อ”

“อ๊ะ ถูกต้อง” บูรพาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แม้จะเป็นวินาทีที่กำลังจะย่างเท้าออกไปเผชิญกับอันตรายที่รออยู่ข้างหน้าแต่บูรพาก็ไม่เคยทำให้ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมทีมต้องขวัญเสีย เขาเป็นนักให้กำลังใจที่ดีเยี่ยม และหากเมื่อเทียบกับบูรพาแล้วในเรื่องของกำลังใจ... ผมเทียบชั้นเขาไม่ได้แม้สักนิด

“คนเรา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้ทำเพื่ออุดมการณ์สักครั้งก็คุ้มค่านักแล้ว”

ประโยคสุดท้ายของบูรพาที่พูดกับผมขณะที่กระชับเสื้อเกราะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันไปตรวจกระสุนในรังเพลิง พร้อมพยักหน้าให้ทุกคนในทีมเตรียมพร้อม เขาเป็นหัวหน้าหมวดลาดตระเวณในเช้านี้ เช้าที่หากเป็นกรุงเทพฯ ก็คงเป็นเวลาที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข ไม่มีใครอยากตื่นนอนตอนตีสามถ้าไม่จำเป็น แต่เมื่อถูกฝึกให้เคยชินกับการกินนอนไม่เป็นเวลา พวกเราจึงไม่รู้สึกลำบากใจกับการต้องตื่นนอนเพื่อหน้าที่เท่าใดนัก

เราแบ่งออกเป็นสองทีม โดยมีบูรพาเป็นผู้นำทีมที่หนึ่ง และผมเป็นผู้นำทีมที่สองนัดหมายเวลาและสถานที่ก่อนจะแยกย้ายกันออกลาดตระเวณ ในความเงียบของกลางคืนสิ่งที่ทุกคนต้องพึงตระหนักอยู่เสมอคืออันตรายที่มักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่สำคัญคือต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาเผลอแม้สักนิดอาจจะโดนซุ่มยิง เหยียบกับระเบิด หรือถูกลากคอหายเข้าไปในป่า สมาธิและการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี แต่บ่อยครั้งที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตไม่ใช่ของเล่น แต่ต้องมาเดินลาดตระเวณล่อเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามซึ่งเชี่ยวชาญพื้นที่มากกว่าจัดการ “เก็บ” พวกเราเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าเราจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยกำลัง และอาวุธที่มีอยู่ ถึงแม้จะยืนอยู่บนพื้นฐานของการไม่เชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยึดมั่นอยู่เสมอคือ หน้าที่อยู่เหนืออื่นใด

แสงแรกของตะวันฉายขึ้นเหนือแนวต้นยาง หลายคนเหนื่อยล้า ทีมของบูรพายังมาไม่ถึงจุดนัดหมายก่อนรวมพลกลับเข้ารายงานตัว แต่ไม่ถึงสิบนาทีลูกน้องของบูรพาสองคนก็เดินปรี่เข้ามารายงานว่าคลาดกันกับบูรพาตรงเชิงเขาท้ายหมู่บ้านเมื่อยี่สิบนาทีก่อน ตอนนี้อีกสามคนในทีมกำลังตามหาตัวบูรพากันอยู่ ผมจึงวิทยุไปยังกองบัญชาการเพื่อรายงานและขอกำลังสนับสนุนในการตามหาตัวบูรพา เราได้กำลังเสริมเพิ่มขึ้น อาวุธป้องกันตัวมากขึ้น สร้างความอุ่นใจยิ่งขึ้นเมื่อหัวหน้าหน่วยได้ลงพื้นที่มาช่วยตามหาด้วยตัวเอง


ภารกิจที่ต้องตามหาคนและยังต้องระแวดระวังรอบๆ ข้างซึ่งอาจถูกลอบยิงได้ทุกเมื่อ เราอยู่ในที่สว่าง ผู้ก่อการร้ายอยู่ในที่มืด แน่นอนว่าหากเผลอเมื่อไหร่เราอาจจะกลายเป็นเหยื่อโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สี่ชั่วโมงถัดมาหลังจากที่เหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง ผมนั่งลงข้างน้ำตก ขณะที่วักน้ำเพื่อลูบหน้า สิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งแรกคือ ท่อนขาที่ยังอยู่ในกางเกงลายพราง สวมรองเท้าเรียบร้อย เชือกผูกรองเท้าเกี่ยวติดอยู่กับกิ่งไม้ที่ยืนออกมาในน้ำ ตามมาด้วยศีรษะที่ถูกตัดจากร่างด้วยมีดที่คมกริบ ติดอยู่ในซอกกิ่งไม้ที่หักขวางน้ำตก ผมแทบไม่อยากนึกถึงส่วนที่เหลือ
ผมอยากให้ภาพตรงหน้าเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ฝันร้ายที่พอตื่นเช้าขึ้นมาทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม น้พตาของผมมันไหลออกมาเป็นครั้งแรก

เราเก็บรวบรวม “บูรพา” ขึ้นมาได้ครบ ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีนักข่าว ไม่มีการทำข่าว ทุกอย่างถูกเก็บเงียบเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีผู้นำหมู่บ้านและคนของรัฐมาช่วยดูแลอำนวยความสะดวกบางอย่างให้ แต่หลายคนในหมู่บ้านมองมาอย่างเฉยเมย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาอาจจะรู้ หรืออาจจะไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้น้ำตกสายนั้นจะไหลผ่านท้ายหมู่บ้าน... ถึงแม้ผู้คนละแวกนั้นจะตื่นขึ้นมาเพื่อกรีดยางตอนตีสอง พวกเขาอาจจะไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไร

ภาพของเด็กเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่กลางลานกว้างของหมู่บ้าน  เมื่อเห็นรถตู้สีขาววิ่งผ่าน พวกเขาพร้อมใจกันวิ่งเข้าหลบหลังต้นไม้ หรือล้มกลิ้งในท่าหมอบ ใช้มือทำเป็นปืนเล็งยิงมาที่รถตู้ ก่อนลุกขึ้นหัวเราะชอบใจ ยังปรากฎชัดอยู่ในความทรงจำ...

“คนเรา เกิดมาชาติหนึ่ง ได้ทำเพื่ออุดมการณ์สักครั้งก็คุ้มค่านักแล้ว”

ข้อความในหน้ากระดาษใบแรกของสมุดบันทึก ที่บรรจงดึงออกมาและค่อยๆ ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โปรยปลิวออกจากหน้าต่างรถไฟ จากต้นทางสุดชายแดนปลายด้ามขวานกลับสู่เมืองหลวงแห่งศิวิไลย์.../

จากคุณ : ดาริกามณี
เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 52 12:13:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com