Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา - บทที่ ๑/๗ - ถ้ำแห่งเงา  

เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

บทนำ - บทที่ ๑/๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8092297/W8092297.html
บทที่ ๑/๒-๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8102862/W8102862.html
บทที่ ๑/๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8118668/W8118668.html
บทที่ ๑/๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8136528/W8136528.html
บทที่ ๑/๖ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8145911/W8145911.html

* * * * *

คุณ Mnemosyne - ผมก็อ่านไดโอไนซัสเหมือนกันครับ ชื่อหลังๆ ที่ว่ามานั่งถอดแล้วยังงงเอง ^^a

คุณ scottie - ดีใจที่สนุกครับ ^^

* * * * *

๗. ถ้ำแห่งเงา


...ปรภพ...

...โทษทัณฑ์...

ในถ้ำที่พำนัก ข้าซุกตัวใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่มลื่น มันมอบความอุ่นสบายในทุกราตรี แม้นว่าอากาศเบื้องนอกจะเยียบเย็นเพียงไร กระนั้น คืนนี้ข้ากลับรู้สึกหนาวจับจิต ได้แต่ขยับกระสับกระส่ายไม่อาจข่มตาหลับ

...ข้าเป็นใครกันแน่...

...ข้าไม่ได้อยู่ในปรภพ ไม่รู้เลยว่าตนทำผิดต้องโทษทัณฑ์ใด ไยจึงมีคำว่า ‘ต้องห้าม’ ประทับบนใบหน้า...

...มีผู้ที่ถูกลงโทษโดยไม่รู้กระทั่งว่าตนมีความผิดใดด้วยหรือ..

ตอนที่ชายชุดดำสวมสร้อยประดับจี้ทองใหญ่นั้นมาช่วย เขาไม่ได้บอกว่าข้าถูกลงทัณฑ์ แต่บอกว่าถูกกักขัง เขาต้องรีบช่วยข้าออกไปก่อนคนผู้นั้นจะทราบ

แล้วก่อนเราพลัดกัน เขาก็เรียกคนผู้นั้นว่า...พระองค์

พระองค์เป็นผู้ใด...กษัตริย์...เทพ...หรือมารร้ายอันมีอิทธิฤทธิ์ แต่หากเป็นศัตรูของชายผู้มาช่วยข้า ไยเขาจึงยังเรียกคนผู้นั้นอย่างยำเกรงเช่นนี้

แล้วตัวข้าเองเล่า...เป็นสิ่งใดกันแน่

หากเป็นมนุษย์...คงฟื้นจากความตายไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนซิสิโฟสที่ฟื้นจากความตายทุกครั้งหลังถูกหินกลิ้งทับมิใช่หรือ

แต่หากเป็นวิญญาณ ไยจึงตายได้ แล้วไยมนุษย์อย่างเขา...อย่างชายอีกคนนั้น...จึงสัมผัสข้าได้ หรือเป็นเพราะพวกเขามีสัมผัสพิเศษ ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีจึงได้แลเลยผ่านไป และข้าก็ไม่อาจสัมผัสจับต้องพวกเขา

ทว่าหากเป็นเทพ...เหตุใดจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เทพควรมีอำนาจเหนือมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นใด ซ้ำ...ควรมีปัญญารู้ถ่องแท้กว่านี้มิใช่หรือ

ข้าไม่อาจได้ความกระจ่างใดมากขึ้นจากการครุ่นคิด สุดท้ายจึงได้แต่รอเวลาลืมเลือนทุกสิ่งชั่วคราวในห้วงนิทราเท่านั้น

* * * * *

“ข้าต้องทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“นี่เป็นบัญชาของพระองค์”

“...แต่ถึงอย่างไร...พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ”

“ใช่ว่าข้าไม่อยากให้มี แต่ครั้งนี้ มีแต่เจ้าต้องทำตามบัญชาของพระองค์เท่านั้น”

“.........”

“ข้าเข้าใจว่าการทดสอบครั้งนี้ทรมานใจเจ้ามาก แต่ทว่า... เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของเรา บางครั้งเราจำต้องสังหารผู้อื่น...

“ที่นี่คือดินแดนของเจ้า สิมูน เจ้าต้องพิสูจน์ให้พระองค์เห็นว่าเจ้าสามารถปกป้องสิ่งที่เป็นของเจ้าอย่างแท้จริงได้”

* * * * *

ข้าสะดุ้งตื่นเมื่อแสงแดดสว่างจ้าส่องเข้าปากถ้ำ ให้ตระหนักว่าคงนอนหลับนานกว่าที่คิด ทั้งที่รู้สึกเหมือนเผลองีบไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น

...ประหลาดแท้...

นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าฝัน แม้นมีเพียงความมืดและเสียงพูดคุยให้ยิ่งสงสัย

ผู้ที่ข้าสนทนาด้วยเป็นผู้ใด...

แล้ว พระองค์ นั้นบัญชาให้ข้าฆ่าผู้ใด...

ข้าไม่อาจจดจำรายละเอียดเหล่านี้ ทว่านี่คือการทดสอบ เหตุผลคือเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญ

สิ่งสำคัญนั้นคือดินแดนของข้า...สิ่งอันเป็นของข้าโดยแท้จริง

ดินแดนนั้น...หมายถึงทะเลทรายนี้หรือ หากนี่เป็นดินแดนของข้า เหตุใดข้าจึงกลายเป็นนักโทษถูกกักขังในดินแดนของตนแทนเล่า

ข้าเผลอนึกถึงชายประหลาดผู้นั้นขึ้นมา...สงสัยว่าเขาจะให้คำตอบได้หรือไม่ แต่แล้วข้าก็สั่นศีรษะ ข้าไล่เขาไปแล้ว ไยต้องไปตามพบเจอเขาอีก เขาเป็นคนต่างถิ่น เป็นคนแปลกหน้า เรื่องที่เขาเล่าขานก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่

...เขาคงไม่อาจช่วยข้าได้ดอก...

* * * * *

ทว่าคืนนี้ แผ่นหลังของร่างที่นั่งบนพื้นทราย...มือง่วนทำบางสิ่ง...ส่วนปากร้องเพลงเสียงหลงดังไปไกลทำให้ข้าไม่ทราบว่าจะรู้สึกอย่างไรดี

“กลับมาทำไมอีก”

เขาหันหน้ามา ข้าประหลาดใจเมื่อพบว่าวันนี้เขาโกนหนวดเคราเสียเกลี้ยงเกลา ให้เพิ่งสังเกตว่าอ่อนเยาว์กว่าที่คิดมากทีเดียว

“ก็เมื่อวานท่านบอกว่า ‘ไม่ต้องมาอีก’ แสดงว่าถึงไม่ต้องมาก็มาได้ ไม่ได้บอกว่า ‘ต้องไม่มาอีก’ สักหน่อยไม่ใช่หรือ”

“ไม่ต้องเล่นลิ้น เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรืออย่างไร” ข้ากระชับด้ามกริชที่ผ้าคาดเอวแน่น

“คนเราเกิดมาสักวันก็ต้องตาย ข้าเลยคิดว่าไม่ควรกลัว แต่ก็ไม่ควรอยากตายก่อนความตายมาเยือนจริงๆ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพยักพเยิดไปทางโขดหิน “ว่าแต่ธิดาแห่งวายุจะไม่ทรงประทับนั่งสักหน่อยหรือ”

ข้าแลตามสายตาของเขาครู่หนึ่งก็ตัดสินใจทำตาม มองเขากวาดกองทรายเป็นเนินรูปร่างพิลึกพิลั่นเช่นเมื่อคืนวาน

“เจ้ายังไม่ได้ตอบเลยว่ากลับมาที่นี่ทำไม”

เขาหันมาสบตากับข้า

“ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง”

“‘ตำนาน’ พวกนั้นอีกแล้วหรือ”

“หามิได้”

“เช่นนั้นเป็นเรื่องอันใด”

“ท่านอยากรู้เรื่องของคนที่คอยทำสิ่งหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไร้ประโยชน์มิใช่หรือ…คนที่เป็นมนุษย์และมิได้อยู่ในปรภพ”

“เจ้านึกออกแล้วหรือ!” ข้าเผลอตน รีบซักถามอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อระลึกได้ก็พยายามเอ่ยเสียงเรียบตามเดิม “หากจะเล่าก็ว่ามา”

เขายิ้มอีกครั้งแล้วยักไหล่

“กลางทะเลไกลโพ้นทางเหนือของแดนทะเลทราย มีเกาะแห่งหนึ่งชื่อเดโลส เดิมมันเป็นเพียงผืนดินไร้หลักล่องลอยบนผิวน้ำ เหมือนใบอินทผลัมแห้งบนผิวโอเอซิส ครั้นเทพกัญญาเลทอ ชายาองค์หนึ่งของเซอุสทรงครรภ์แก่ รับทุกขเวทนาใกล้ประสูติกาล เทพกัญญาเอราผู้เป็นอัครมเหสีของเซอุสขู่เข็ญมิให้ผืนดินใดๆ เป็นที่พึ่งพิงรับประสูติกาลของพระนาง มีเพียงเกาะน้อยเดโลสที่เต็มใจต้อนรับ เทพสมุทรโพเซย์ดอนจึงบันดาลให้มีเสาค้ำสี่ต้นงอกจากพื้นสมุทรมายึดเดโลสไว้กับที่”

ข้ากำลังจะแย้งว่านั่นเป็นตำนานอีกเรื่องมิใช่หรือ ก็พอดีเขาพูดเสียก่อนเหมือนรู้ทัน

“เรื่องที่ข้ากำลังจะเล่า เป็นเรื่องของผู้ที่ผูกพันกับเกาะแห่งนี้ ข้าจึงคิดว่าท่านพึงทราบที่มาของถิ่นกำเนิดเขาเสียก่อน

“หลายปีผ่านไป โอรสธิดาฝาแฝดของเลทอเติบโตขึ้น เกาะเดโลสกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพอพอลลอน โอรสของพระนางผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่าง สัจจะ และดุริยางค์ดนตรี มีมหาวิหารใหญ่แห่งเทพอพอลลอนอยู่บนเกาะ พร้อมด้วยระเบียงแห่งราชสีห์ หรือทางเดินขนาบข้างด้วยรูปปั้นราชสีห์ซึ่งมีผู้สร้างอุทิศให้พระองค์ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ และมีตลาดอันครึกครื้นมากมาย

“นักบวชผู้หนึ่งที่ดูแลมหาวิหารแห่งเทพอพอลลอนมีบุตรชายชื่ออามอน แปลว่า ‘ผู้ก่อสร้าง’ เขาตั้งชื่อนี้ให้บุตรชาย ด้วยหวังจะให้บุตรเป็นเหมือนผู้ก่อศรัทธาประหนึ่งวิหารแห่งองค์เทพเจ้า ในฐานะนักบวชผู้ดูแลมหาวิหารสืบไป

“อามอนไม่ได้เกิดบนเกาะเดโลส ด้วยมีธรรมเนียมว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะแปดเปื้อนด้วยชาตะหรือมรณะของมนุษย์มิได้เป็นอันขาด ทันทีที่มารดาของอามอนทราบว่าตนตั้งครรภ์ ครอบครัวของสามีก็จัดแจงให้นางขึ้นเรือกลับไปยังบ้านเกิดจนคลอดบุตร รอจนเด็กแข็งแรง ทั้งสองจึงได้กลับมาที่เดโลสอีกครั้ง

“อามอนได้รับการเลี้ยงดูเช่นนักบวชในอนาคต ได้ร่ำเรียนตำราพิธีกรรม และวรรณคดีโบราณเกี่ยวกับเทพเจ้า ทว่าสิ่งที่เขาชอบกลับเป็นอย่างหลัง แม้นบิดาจะพยายามกันเขาจากตำนานอันเป็นการลบหลู่เกียรติคุณของทวยเทพ อามอนก็ซอกซอนหาฟังหาอ่านเรื่องเหล่านั้นเองจนได้ สำหรับเด็กชาย ตำนานเป็นเรื่องสนุกสนาน ใช่เป็นการหมิ่นผู้ใด ทุกครั้งที่บิดาสืบทราบว่าเขาลักลอบอ่าน ‘เรื่องต้องห้าม’ และจะลงโทษ มารดาก็มักคอยพูดอ้อนวอนผ่อนผันแทนเสมอ

“...จนวันที่...นางนั่งเรือไปจากเกาะโดยไม่หวนกลับมา”

“ไปที่ใดหรือ” ข้าถาม พลันนึกถึงเจ้าแพะน้อย...พร้อมคำตอบอันไม่สู้ดีนัก

“ไปที่เกาะข้างเคียงชื่อเรเนเอีย ณ ที่นั่นนางนั่งเรืออีกลำหนึ่ง...เรือเล็กของคารอนผู้รับจ้างแจวข้ามลำนทีแห่งการโหยไห้อาเครอน ไปสู่ปรภพ

“ท่านคงจำได้ ข้าเคยบอกว่าเกาะเดโลสเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางจึงต้องไปสิ้นลมที่เกาะอื่นเหมือนตอนคลอดบุตร อามอนได้พบนางที่เดโลสอีกครั้งในรูปของโกศดินเผาบรรจุเถ้ากระดูก ตลอดวัยเด็กเขาไม่เคยยอมรับได้เลยว่านางตายแล้ว

“ตอนที่อาการของมารดาทรุดหนัก นางเคยสัญญาว่าเมื่อหายดีแล้วจะไปดูปราสาททรายของเขา แต่สัญญานั้นไม่มีวันเป็นจริง แม้อามอนจะหลบบิดาไปก่อปราสาททรายครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาผ่านไปจนบิดาสมรสใหม่ ผ่านไปจนเขามีน้องชายและน้องสาวต่างมารดา เขาก็ยังไม่เลิกก่อปราสาททราย”

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 11:28:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com