ความคิดเห็นที่ 1 |
แล้วตอนนี้เขายังก่อปราสาททรายอยู่อีกหรือเปล่า
ชายเบื้องหน้าสั่นศีรษะ
เลิกไปแล้วเมื่อแปดปีก่อน อามอนทะเลาะกับบิดาอย่างรุนแรงเพราะไม่อยากเป็นนักบวช เลยถูกตัดพ่อลูก ระหกระเหเร่ร่อนตัวคนเดียวจนทุกวันนี้
เจ้าคืออามอนหรือ ข้าฉุกคิดขึ้นมา
เขาพยักหน้า
นึกว่าท่านจะไม่รู้เสียอีก
แล้วเรื่องทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าถามเสียงขุ่น เจ้าแค่ตั้งใจก่อปราสาททรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบเด็กๆ เพราะยอมรับไม่ได้ว่าแม่ของตัวตายไปแล้ว ไม่ได้ถูกบังคับให้ก่อ ตอนไม่ต้องการอยู่ที่เดโลส เจ้าก็ออกจากที่นั่นได้
ไม่เหมือนข้า...ไม่เหมือนคนที่ถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตเหมือนเดิมในแต่ละวันอันไร้ที่สิ้นสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เหมือนคนที่ออกไปจากที่นี่ไม่ได้...แม้จะอยากหนีไปเพียงไรแท้ๆ
ใช่ ข้าเลือกก่อปราสาททรายด้วยความเขลาของตนเอง แต่ท่านไม่ได้เลือกอยู่เพียงลำพังด้วยตนเองเหมือนกันหรือ
ข้าชะงัก ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ทันเขาพูดต่อ
สิมูน...เด็กน้อยผู้ลืมเลือนทุกสิ่งจนไม่ทราบว่าตนเป็นใคร ได้แต่วนเวียนอยู่ในทะเลทรายใกล้เมืองแห่งสายลม จับต้องมองเห็นหรือสัมผัสใครไม่ได้ ในเมื่อพบคนที่รู้ว่าท่านมีตัวตนอยู่ตรงนี้แล้ว...ท่านก็ยังคิดเมินเฉย เลือกปิดขังตนเองในทะเลทราย รอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามเดิมหรือ
ข้าเบิกตากว้าง
นี่เจ้า...
ชายผู้มีนามว่าอามอนยักไหล่
ข้าไม่ทราบเรื่องของท่าน และไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่มานานเท่าใด เพียงเดาจากสิ่งที่เอนลิลเคยบอกข้า ปะติดปะต่อกับคำถามของท่านเมื่อคืนเท่านั้น
ข้าเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
แล้วอย่างไร ถึงเจ้าจะรู้ว่าข้ามีตัวตน มาพบปะพูดคุยกับข้าทุกวัน เจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดกาล สักวันหนึ่งหากไม่ออกเดินทางก็คงตายจากไป แล้วข้าก็เหลืออยู่เพียงลำพังเหมือนที่เป็นมา
...เหมือนตอนที่เสียเจ้าแพะน้อยไป...เหมือนตอนที่ชายสวมจี้ทองผู้นั้นทิ้งข้าไว้...เขาจะอยู่กับข้าอีกสักกี่ปี...ไม่ว่านานเท่าไรก็เท่ากับไม่กี่วินาทีในวงจรอันไร้จุดสิ้นสุด...เพียงเท่านั้นเอง...
...ถ้าอย่างนี้ สู้ไม่ต้องรู้จักหรือพบกันอีกดีกว่า...
ข้าเองก็ทราบว่าอย่างนั้นไม่ดีแน่ เขารับ ดังนั้น...ข้าจึงคิดจะช่วยท่าน
ช่วย...อย่างไรกัน ข้าตั้งคำถาม โคลงศีรษะอย่างอัดอั้น เจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้ดอก...
ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร เขายังยืนกราน พยายามสบตากับข้าอย่างแน่วแน่ ข้าพูดจริง ข้าอยากช่วยท่าน และจะช่วยถึงที่สุด ขึ้นอยู่กับท่านว่าต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ท่านเคยได้ยินไหม ทรายเม็ดเดียวกระจ้อยร่อยแทบมองไม่เห็น ไร้ประโยชน์หรือความสำคัญ แต่ทรายหลายเม็ดรวมกันกลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่...ทรงพลังอำนาจกุมชีวิตผู้คน ต่อให้มิใช่ทะเลทรายที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ผู้คนยังนำทรายมาก่อสร้างเป็นมหาวิหารหรือประภาคารสูงเสียดฟ้า สิ่งอันยิ่งใหญ่ถือกำเนิดจากเศษธุลีได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม
หากตัวคนเดียวก็ไร้พลัง อาจอยู่ในโลกนี้หรือแก้ปัญหาของตนไม่ได้ จึงต้องช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกัน ตอนนี้เรามีกันสองคน...อาจฟังดูเหมือนไม่มาก แต่ที่จริงแล้วก็มากกว่าตัวคนเดียวสองเท่า...ไม่จริงหรือ
แล้วเจ้าพาข้าไปจากที่นี่ได้หรือ! ข้าตวาดใส่เขา เคืองยิ่งนักที่เขาไม่เข้าใจ คำพูดของข้าเริ่มหลั่งไหลราวน้ำบ่า...ไม่นานก็นำพาทำนบน้ำตาให้ทลาย
ข้าเล่าให้เขาฟังจนสิ้น...ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องการให้เขารู้เพื่ออะไร ทุกความทรงจำของตน ความทรงจำแรก...สอง...สาม...ไปจนถึงความทรงจำที่พันที่หมื่น ทั้งเรื่องของเจ้าแพะน้อยที่ตายจากและชายที่ถูกพัดพาโดยพายุทราย บางทีเขาอาจตาย บางทีเขาอาจเพียงแค่กลัวหรือล้มเลิกความคิด แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร...ข้าก็ยังถูกขังอยู่ที่นี่ต่อไป...มีตนเองเพียงลำพังต่อไป...
...ลางที...ข้าคงต้องการให้เขารู้ว่าความทุกข์ของข้าไม่ใช่สิ่งที่เขาอาจประสบหรือนึกฝัน...เข้าใจแล้วจะได้ปล่อยข้าไว้เช่นนี้...เลิกยุ่งเกี่ยวกันเสียที...
...ข้าไม่อยากถูกหลอกให้ดีใจ...เพียงเพื่อลิ้มรสขมขื่นเนิ่นนานของการสูญเสียและความอ้างว้างอีก...
แต่หากไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง ท่านก็ต้องอยู่เช่นนี้ตลอดไป คิดว่าอย่างนั้นมีความสุขหรือ อามอนกลับถามเรียบๆ เมื่อข้าตัดสินใจไม่พูดต่อ เขาเห็นน้ำตาของข้า แต่ก็ไม่ปลอบโยนหรือแตะต้องตัว
...อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องพบความทุกข์ยิ่งกว่านี้ ข้าบอก
ชายหนุ่มถอนใจยาว นั่งขีดเขียนพื้นทรายเป็นรูปบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
ข้ามีเรื่องจะเล่า
ข้าไม่อยากฟัง ข้าตอบทันที
เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องที่ข้าเคยอ่าน และคงเข้าใจไม่ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการสื่อ แต่ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านต้องฟัง...เป็นเรื่องที่มีความจริงแฝงอยู่ อามอนยังพูดต่อ มันคือเรื่องของถ้ำกับนักโทษ
ถ้ำกับนักโทษ ข้าทวนคำอย่างสงสัย คำสองคำนั้นราวกับมีอำนาจสะกด...บ่งบอกตัวตนทั้งหมดของข้า หมายความว่าอย่างไร
สมมติว่า...มีนักโทษกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำตั้งแต่เกิด แขนขาถูกตรึงไว้กับที่ มีเครื่องรัดศีรษะให้มองได้เพียงเบื้องหน้า ส่วนเบื้องหลังพวกเขามีกองไฟส่องแสงสลัว เหนือกองไฟมีทางซึ่งผู้คนเดินไปมา แบกสิ่งของและสัตว์ต่างๆ พวกนักโทษเห็นเพียงเงาของสิ่งเหล่านั้นบนผนังถ้ำ ไม่เคยเห็นสิ่งที่แท้จริง จึงได้เข้าใจว่าเงาที่เห็นคือ ความจริง
ข้าไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตนอย่างไร จึงบอกไปว่าข้าไม่ได้ถูกล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำตั้งแต่เกิด ทว่าออกไปจากถ้ำได้และไม่เคยเห็นเงาแบบนั้น ข้าไม่เคยเข้าใจผิดว่าเงาคือความจริง ข้าเห็นความจริงอยู่ตรงหน้าชัดแจ้งแท้ๆ ว่าตนถูกกักขังไร้ทางออก...คงเป็นหลายสิบหรือร้อยปีได้แล้ว
ทั้งหมดหรือ เขาเพียงย้อนถามสั้นๆ เมื่อข้าพูดจบ ยังผลให้ข้าชะงัก เท่าที่ข้าเข้าใจ ผู้เขียนเรื่องถ้ำบอกว่าที่แท้โลกทั้งใบของเราก็คือถ้ำ พวกเราคือนักโทษเหล่านั้น สิ่งที่เราเห็นและสัมผัสทุกวันนี้เป็นมายา...เป็นเพียงเงาของสรรพสิ่งที่แท้จริง แต่พวกเราล้วนนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง เพราะไม่เคยเห็นความจริงที่แท้มาก่อน แต่...ข้าก็ไม่ทราบว่าความจริงที่แท้เป็นอย่างไร ช่างเถิด สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องของถ้ำยังมีต่อ
หากมีนักโทษคนหนึ่งเป็นอิสระและออกไปนอกถ้ำ เห็นสิ่งที่แตกต่างจากเงาเหมือนเคย...โดยเฉพาะแสงตะวันซึ่งสว่างกว่ากองไฟในถ้ำหลายร้อยเท่า เขาจะเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเห็นมาตลอดไม่ใช่ความจริง เขาย่อมอยากให้นักโทษอื่นๆ ได้รู้ จึงกลับลงไปเล่าเรื่องโลกที่แท้จริงให้ฟัง แต่พวกนั้นกลับหาว่าเขาเหลวไหลไร้สาระ ปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีใครเชื่อ กลับอยากขับไล่เขาไป หากหลุดจากโซ่ตรวนก็คงจะตรงเข้าไปสังหารเขาในบัดนั้นเสียด้วยซ้ำ...ไม่ใช่ด้วยความโกรธเคือง แต่ด้วยความกลัวว่า ความจริง ที่พวกเขาเห็นมาชั่วชีวิตจะพังทลายลง
เจ้าต้องการบอกอะไรกันแน่ ข้าตั้งคำถาม
โลกของท่านเหมือนถ้ำนั้น ยังมีสิ่งที่ท่านไม่เคยรู้เคยเห็นมากมายเหลือเกิน ท่านกลัวการออกไป...ข้าไม่ปฏิเสธความจริงของท่าน ข้าคงไม่อาจสัมผัสโลกในถ้ำของท่านเหมือนที่ท่านสัมผัส แต่ท่านก็ไม่เคยเห็นโลกในถ้ำของข้าเช่นกัน
ตอนนี้...ข้าพยายามออกจากถ้ำของข้า ออกเดินทางไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะพบ ความจริง ข้าพบว่าเรื่องที่ชนชาติของข้าเล่าถึงชนชาติอื่นๆ ต่างจากที่พวกเขาเล่าเกี่ยวกับตนเอง ข้าไม่ทราบว่าเรื่องของผู้ใดคือความจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงมีหรือไม่ แต่หากรวมเรื่องที่เราสองรู้เข้าด้วยกัน พวกเราอาจช่วยกันและกันได้
เขาเล่าให้ข้าฟังบ้าง เกี่ยวกับความฝันถึงลูกแพะ...พายุทราย...และหญิงที่มีผมดำขลับยาวสยายกลางพายุ
ข้ามีผมยาวสีดำจริง...แม้นเขาจะไม่เคยเห็นผมที่ข้าเกล้ามัดไว้ใต้ผ้าคลุมสีขาว ทว่า...หญิงส่วนมากที่นี่ก็มีผมดำเป็นธรรมดา เขาอาจกุเรื่องมาหลอกข้าอยู่ก็ได้มิใช่หรือ ทว่าไม่ทันได้แย้ง เขาก็โน้มน้าวอีกครั้ง
ข้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา รู้ว่าตนเองไม่มีอำนาจพอจะพาท่านออกไป อามอนพูด แต่ยังมีสิ่งอื่นที่ข้าทำได้ ข้าเคยอ่านและจดตำนานต่างๆ ไว้มากมาย อาจมีเรื่องที่ช่วยท่านได้ในนั้น และข้าจะลองสอบถามผู้อื่นดู เผื่อมีใครทราบเรื่องของท่าน จากนั้นเราก็ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา ข้าทราบตำนานของเอลลิเนสเป็นหลัก แต่คิดว่าเรื่องของท่านคล้ายกับตำนานที่ข้าเคยได้ยิน เหมือนคำสาปแห่งการลืมเลือน...หรือการลงทัณฑ์กักขัง พระองค์ที่ชายคนนั้นพูดถึงอาจเป็นผู้กระทำ
...พระองค์... ข้าพึมพำตามความคิดที่แวบขึ้นมา เอ่ยเพียงนั้นยังรู้สึกเย็นเยือกจับจิต กระนั้นก็ตัดสินใจเล่าความฝันเมื่อคืนวาน
การทดสอบ...ปกป้องดินแดน...บัญชาจากพระองค์ อามอนทวนคำอย่างครุ่นคิดเมื่อข้าเล่าจบ น่าจะใช่เหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์ใด
ข้าเคยอ่านบันทึก...ว่ากองทัพจากเปอร์เซียถูกพายุทรายพัดหายสาบสูญขณะรุกรานดินแดนในทะเลทราย เอนลิลเองก็เคยพูดเรื่องนี้ หากท่านเป็นเทพกัญญาแห่งสายลมทะเลทรายจริง ท่านน่าจะมีอำนาจทำเช่นนั้น และที่นี่ก็เป็นดินแดนของท่าน
อำนาจหรือ แล้วทำไมข้าในตอนนี้ถึงได้...
ถูกกักขังในดินแดนของตน...ดูเหมือนเขาจะเข้าใจโดยที่ข้าไม่ต้องเอ่ย
เป็นไปได้ไหมว่าท่านถูกพระองค์ลิดรอนหรือริบอำนาจ ในเมื่อพระองค์ที่ท่านว่าน่าจะเป็นผู้กักขังท่านไว้ที่นี่
...อาจเป็นได้ ข้ารับ แล้วชายชุดดำผู้นั้นเล่า
ตอนนี้ข้ายังไม่ทราบอะไรมาก แต่เขาน่าจะมีอำนาจหรือฐานะสูงกว่าท่าน และเป็นผู้รับบัญชาจากพระองค์กระมัง ชายจากเดโลสพูดช้าๆ เขาพยายามมาช่วยท่านไม่ให้พระองค์รู้ตัว แสดงว่าคงหวังดีต่อท่าน แต่ไม่ทราบว่าหากช่วยไม่สำเร็จแล้ว...พระองค์จะทำเช่นไรกับเขาบ้าง
เขาหันไปมองฟ้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมาทางข้า
ตอนนี้ นั่นคงเป็นทั้งหมดที่ข้าช่วยได้ แต่หากท่านต้องการให้ช่วยมากกว่านี้...ก็ได้โปรดกลับมาพบกันอีกเถอะ อย่าปิดตนเองอยู่เพียงลำพังอีกเลย สิมูน
ข้าก้มหน้าลงมองผืนทรายใต้เท้า นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของอามอน...เม็ดทรายเพียงเม็ดเดียวไร้อำนาจ แต่หลายเม็ดรวมกันกลับยิ่งใหญ่ทรงพลัง ข้าอยากหวังอิสระ...แต่ขณะเดียวกันก็กลัวเหลือเกินว่าจะไม่พบ ไม่อยากมีความหวังเพียงเพื่อสิ้นหวังเช่นนั้น ไม่อยากยึดติดกับเม็ดทรายเม็ดเดียว...เพียงเพื่อเห็นมันถูกพัดปลิวพ้นมือต่อหน้าต่อตา
ทว่า...หากไม่หวังและปล่อยเวลาให้ล่วงผ่านไปเหมือนทุกครั้ง...ก็อาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้วใช่ไหม แม้เป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดเดียว...ข้าก็ควรไขว่คว้าไว้ใช่ไหม
ตกลง ข้ากลั้นใจพยักหน้า ข้าจะลองดู
เช่นนั้นก็พบกันที่นี่ พรุ่งนี้ตอนบ่าย อามอนบอก ข้าจะนำบันทึกของข้ามาดู แล้วหารือกัน
ข้าพยักหน้ารับ มองแผ่นหลังของเขาเคลื่อนห่างออกไปกับทุกย่างก้าว แต่ไม่อาจห้ามตนเองให้ถามด้วยความสงสัย
ไยเจ้าจึงช่วยข้า
ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาอย่างสงสัย
ข้า...อาจไม่ใช่หญิงในฝันที่เจ้าตามหาก็ได้ ข้าขยายความ หรือถึงเป็นคนเดียวกัน...ข้าก็จำเจ้าหรือสิ่งที่ข้าเป็นในตอนนั้นไม่ได้ ข้า...อาจให้คำตอบอะไรเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
เรื่องที่ข้าอยากทราบเกี่ยวกับท่านหรือฝันนั้น...คือผลพลอยได้ของข้า อามอนตอบช้าๆ ...ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แต่ถึงท่านจะไม่ใช่หญิงคนนั้น...ข้าก็ยังคิดช่วยท่านอยู่ดี ข้าอาจไม่เข้าใจความหนักหนาของความทุกข์ท่าน แต่ข้ารู้ดี...ว่าการได้แต่ทำสิ่งไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทรมานเพียงไร
ข้าไม่ทราบว่าเขาพูดจริงเพียงไร แต่ครั้นมองเขาเดินจากไปจนลับสายตาก็พบว่าตนเองอยากเชื่อมั่นเช่นนั้น...ว่ามีใครสักคนที่เห็นและเข้าใจความทุกข์ของข้า ใครสักคนที่จะพาข้าออกไปจากถ้ำซึ่งมีเพียงเงาสลัวนี้...
* * * * *
| จากคุณ |
:
Anithin
|
| เขียนเมื่อ |
:
5 ส.ค. 52 11:28:49
|
|
|
|