Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 1 : ก่อนจะเป็นลูกช้าง  

ตอนที่ 1 : ก่อนจะเป็นลูกช้าง


“เชื่อครูสิอินทรายุธ เธอต้องติดมนุษย์ไทยแน่ๆ”

นั่นเป็นประโยคที่อาจารย์ภาษาไทยของอินพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง หลังจากที่อาจารย์เดินผ่านมาเห็นตอนที่อินกำลังแปะคณะที่จะสอบโควตามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่าเอนท์เล็กค่ะ) และถามว่าอินเลือกคณะอะไรบ้าง


“อ๋อ! รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ แล้วก็มนุษย์ไทยค่ะ แต่นิติต้องเปลี่ยนเป็นมนุษย์อิงค์(English) แทน เพราะอาจารย์อ้อยว่านิติกับมนุษย์ไทยคะแนนมันใกล้กันเกินไปค่ะ”

จากคำตอบอันแสนยาวยืด และก็ไม่คิดอะไรของอิน นำพาให้เกิดประโยคข้างต้นตามมา อาจารย์ภาษาไทยท่านนั้นว่าไม่ว่าเปล่า ยังส่งยิ้มมาให้อินเสียอีก เป็นยิ้มที่อินเสียวสันหลังวาบยังไงบอกไม่ถูก อยากจะบอกอาจารย์เหลือเกินว่า หนูไม่อยากได้มนุษย์ไทยค่ะ แต่ก็กลัวว่าท่านจะเสียความมั่นใจไปเปล่าๆ


บอกตามตรงค่ะว่าอินยอมสละสิทธิสอบตรงครุศาสตร์จุฬา กับรับเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบของคณะศึกษาศาสตร์ มช. (แน่นอนว่าต้องเป็นวิชาเอกภาษาไทย ไม่อย่างนั้นเรื่องอะไรที่อินทรายุธคนนี้จะยอมเสียความฝันอันเลิศหรูที่จะได้เรียนต่อจุฬาไปเสียล่ะคะ ท่านผู้อ่าน) ก็เพราะว่าอินเกลียดภาษาไทย แล้วก็ไม่อยากเป็นครูด้วย ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจรังงอนอะไรอาชีพนี้หรอกนะคะ แต่เป็นเพราะกลัวกรรมจะตามสนองเอา ก็แหม....ตอนเรียนน่ะ อินเป็นเด็กแสบน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ


ความจริงมานั่งนึกๆ ดูแล้ว ก็ยังงงตัวเองมาจนถึงเดี๋ยวนี้ว่า เพราะอะไรหนอจากคนที่เรียกได้เต็มปากเลยล่ะว่างี่เง่าเรื่องภาษาไทยสุดฤทธิ์ตอนมัธยมต้น (โง่แค่ไหนหรือคะ ก็กระทั่งคำเป็นคำตาย คำมูล คำสันธาน และอีกสารพัดคำ คืออะไรยังไม่รู้เลยค่ะ เรียกว่าโง่มั้ยล่ะค่ะ) ได้เกรดภาษาไทยน่ารักน่าใคร่มาตลอดเนี่ย พอขึ้นมัธยมปลาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับกลายหน้ามือเป็นหลังมือได้ พูดไปจะหาว่าอินโอเวอร์ แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จากเกรดวิชาภาษาไทยไม่เกิน 2 กลายมาเป็นเกรด 3 และ 4 ที่เคยไม่เข้าใจอะไรสักอย่างกลับกลายเป็นรู้เรื่องหมดซะงั้น


การเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างต้องมีสาเหตุใช่ไหมคะ อินเองก็คิดอย่างนั้น พอลองมานั่งตั้งสติคิดดู อินก็มองเห็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารนี้ออก มันมีสองสาเหตุค่ะ


1. อินเคยเหยียบน้ำที่นองพื้นโรงอาหารจนล้ม หัวฟาดเข้ากับกำแพงพอดี๊ พอดี เล่นเอามึนไปหลายวัน (แต่เลือดไม่ออกนะคะ แสดงให้เห็นว่าอินหัวแข็งไม่เบา)


2. เช้าวันหนึ่งขณะที่เล่นบาสเกตบอล ลูกบาสมันลอยมาลงกลางหัวอินแม่นราวกับจับวาง (จะโทษใครก็ไม่ได้ค่ะ เพราะอินดันเหม่อเอง)


ทั้งสองสาเหตุล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ทั้งนั้นใช่ไหมคะ แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่แต่เรื่องภาษาไทยเท่านั้นนะคะที่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษาอังกฤษที่อินเคยทอปมาตลอดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกันค่ะ เปลี่ยนแบบสวนทางกันเสียด้วย ตอนนี้อินเลยคิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นอีกทีก็คงดี อินอยากได้สมองส่วนภาษาอังกฤษคืนมาจะแย่


ด้วยความที่อินกลัวนักกลัวหนาว่าจะติดมนุษย์ไทยเข้าจริงๆ ก่อนการสอบเอนท์เล็กคราวนี้ อินใช้วิธีที่ยอมเสี่ยงกับอนาคตทางการศึกษาของตัวเองเป็นอย่างมาก นั่นคือ.. ใช่แล้วค่ะ อินไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบเลยสักวิชาเดียว คิดตื้นๆ เอาว่าจะมุ่งหวังน้ำบ่อหน้าคือการเอนทรานส์ใหญ่ทั่วประเทศแค่อย่างเดียว


อืมม์..จะว่าไปก็ไม่ใช่อินคนเดียวที่เป็นอย่างนี้นะคะ ไม่รู้ว่าเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งหรือเปล่า ทั้งห้องก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกคนเลย แล้วเกือบทุกคนที่อินว่าก็เป็นตัวเก็งของสายศิลป์ที่บรรดาท่านอาจารย์ทั้งหลายคาดการณ์กันว่าต้องติดโควตาอย่างแน่นอน แล้วที่ยิ่งกว่าแน่นอนก็คือ อินเองก็ดั๊นติดอยู่ในโผซะด้วยสิคะ


อยากรู้กันไหมคะว่าบรรดาตัวเก็งทั้งหลายเขาไม่อ่านหนังสือสอบกัน แล้วเขาทำอะไรกันก่อนสอบ ในขณะที่เด็ก ม.6 คนอื่นๆ ทั้งสายวิทย์สายศิลป์ที่เหลืออีก 9 ห้องเขาตั้งอกตั้งใจกับการสอบคราวนี้จะแย่ (อุ๊! ลืมบอกไปค่ะว่าอินเรียนสายศิลป์-ภาษาฝรั่งเศส แล้วห้องที่อินอยู่ถือเป็นห้องคิงทางสายศิลป์เลยล่ะ)


กิจกรรมสุดฮอตประจำห้องของอินคือการนั่งอ่านนิยายกันค่ะ ไม่ใช่นิยายเล่มหนาๆ อย่างทมยันตี กิ่งฉัตร อะไรเทือกๆ นั้นหรอกนะคะ นิยายเล่ม 12 บาท ธรรมดานี่ล่ะค่ะ หรือยกระดับขึ้นมาหน่อยก็เป็นนิยายแปล ที่หน้าปกมีรูปชวนวาบหวามนั่นล่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่นิยายก็การ์ตูน ไม่การ์ตูนก็เล่นกระโดดหนังยาง เล่นตบแผละกันซะงั้น


ไหน อะไรนะคะ คิดว่าอินพิมพ์ผิดหรือคะ ไม่ผิดหรอกค่ะ นี่ล่ะกิจกรรมเด็ก ม.6 ห้องของอิน ก่อนการสอบเอนท์เล็กล่ะ เหมือนย้อนวัยสั่งลากันยังไงก็ไม่รู้เนอะ


ย้อนกลับมาที่เรื่องนิยายกันหน่อย อย่าหาว่าอินกับเพื่อนๆ ทะลึ่งกันเลยนะคะ อินคิดว่าต้องเคยอ่านหรือเคยผ่านตากันมาแล้วล่ะกับนิยายแปลแบบที่อินว่า คงนึกกันออกใช่ไหมคะว่านิยายแนวนี้น่ะ ต้องมีฉากบรรยายบทอัศจรรย์ชนิดถึงพริกถึงขิง แล้วก็เห็นภาพกันทีเดียว เพื่อนอินเขาเช่ามาค่ะ แล้วเวลาว่างที่เด็ก ม.6 อย่างเรามีเหลือเฟือ ซึ่งอาจารย์คงปรารถนาดีให้พวกเราได้อ่านหนังสือเตรียมสอบกัน ไม่ค่ะ ห้องอินมิใช่เช่นนั้นเลย


วันไหนที่มีนิยายแนวนี้มานะคะ แม้จะเล่มเดียวก็ตาม ทุกคนจะสุมหัวกันรออ่านมาก เปล่าค่ะเปล่า พวกเราไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องหรอกค่ะ ว่าชีคองค์นี้จะไปเจอเรื่องอะไรมา หนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่จะสนใจฉากอย่างว่าเป็นพิเศษ ถึงกับยอมเสียเงินเช่าเพื่ออ่านฉากนั้นโดยเฉพาะ แล้วก็พับมุมหน้านั้นส่งเวียนกันอ่านไปทั่วห้อง


อู๊ย...เรื่องที่จะอายเพื่อนผู้ชายหรือคะ ไม่มีหรอกค่ะ เพราะห้องอินมีผู้ชายแค่คนเดียว เป็นประชากรส่วนน้อยในห้อง แถมเพื่อนคนนี้ก็ยังเป็นเก้งกวางเสียอีก เพราะฉะนั้นสบายใจได้ค่ะ


แต่อะไรไม่เด็ดเท่านิยายเล่มละ 12 บาทที่อินว่า มีอยู่วันนึง ขณะที่เพื่อนอินอ่านเพลินๆ ไม่สนใจโลกอยู่นั้น ผอ. เดินมาข้างหลังเพื่อนอินค่ะ เล่นเอาแต่ละคนนิ่งเงียบจ้องมองทางเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย กลัวว่าเพื่อนคนนั้นจะโดน ผอ. ดุ เพราะท่านยืนเงียบอยู่ด้านหลังเพื่อนอินสักพัก พวกเราก็พยายามทำทุกวิถีทางให้เพื่อนรู้ตัว แต่ไม่ทันซะแล้ว ผอ. ทำหน้าเคร่งๆแล้วว่า


“อ้อ! สนิมหัวใจ สนุกมั้ยหนู”


ซีดค่ะซีด เพื่อนอินสะดุ้งเฮือก หันไปทำหน้าแหยๆ ส่งให้ ผอ. พูดไม่ออกบอกไม่ถูก


“ท่าทางจะสนุกนะ อ่านนิยายคลายเครียดก่อนสอบก็ดี จะได้ผ่อนคลาย”


พูดเท่านั้น ผอ. ก็เดินออกไปเลยพร้อมกับสีหน้าอมยิ้ม อินกับเพื่อนค่อยหายใจโล่งหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ถ้าเพื่อนคนนี้โดน พวกเราก็จะโดนกันหมด เพราะบนโต๊ะน่ะ มีนิยายอีกเป็นตั้งเลยค่ะที่เก็บซ่อนไม่ทัน


และแล้ว วันมหาวิปโยคของอินก็มาถึง


“ตุ่ง ตุง ตุง ตุ๊ง ประกาศ! นักเรียน ม. 6 ทุกคน ผลการสอบโควตามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกแล้ว ไปดุผลกันได้ที่ห้องโสตทัศนศึกษาได้ในเวลานี้ ตุ๊ง ตุง ตุง ตุ่ง”


เสียงประกาศจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนดังขึ้นตอนเช้าปลายฤดูหนาววันหนึ่ง (อย่าคิดนะคะว่าเสียงคนประกาศจะหวานเหมือนประชาสัมพันธ์ห้าง ตรงกันข้ามสิ้นดีค่ะ) พอสิ้นเสียงประกาศนั้นเท่านั้นล่ะ เด็ก ม. 6 ที่ได้ยินเสียงประกาศนั้นก็กรูกันมาที่ห้องโสตฯ โดยมิได้นัดหมาย อินเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น แต่พอเห็นหัวดำๆ ผมยาวๆ ออกันให้พรึ่บอยู่ในห้อง ก็ตัดใจเดินออกมา รอให้คนซาลงค่อยไปดูจะดีกว่า บอกตรงๆค่ะ ว่าตอนนั้นไม่หวังเอนท์ติดหรอกค่ะ


“เป็นยังไง อินทรายุธ ได้คณะอะไร”


เสียงของอาจารย์ท่านเดิมถามดังมาจากด้านหลัง เล่นเอาอินสะดุ้งโหยง ชักเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ การเจออาจารย์ท่านนี้เป็นประหนึ่งลางร้ายที่จะบอกว่าอินติดมนุษย์ไทยหรือเปล่านี่ (คิดไปโน่นเชียว) อินยิ้มหวานให้ท่านแทนคำตอบ แล้วบอกอย่างมั่นใจว่า


“ยังไม่ได้ดูผลเลยค่ะ แต่หนูคิดว่าคงไม่ติดแน่นอน”


“เหรอ แต่ครูว่ายังไงเธอก็ต้องติดมนุษย์ไทย ไม่เชื่อก็คอยดู”


หูย! อาจารย์ตอบมาด้วยเสียงที่มั่นใจกว่าอินอีกค่ะ ฟังแล้วหนาวยังไงชอบกล สาธุ! ขออย่าได้เอนท์ติดเลย เพี้ยง!


พัง พังไม่เป็นท่า คำภาวนาของอินไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ความจริงที่แสนเลวร้ายและอยากจะร้องไห้เกิดขึ้นมาจริงๆ สมคำของอาจารย์ท่านนั้น หลังจากที่อินคีย์ชื่อตัวเองใส่ลงไป แค่ไม่ถึงสามนาที หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ขึ้นมาเลยว่า


“ขอแสดงความยินดี น.ส. อินทรายุธ สามารถสอบเข้าศึกษาต่อได้ในคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย”


เอิ๊ก.....อินอยากเป็นลมเสียให้ได้ แต่ความหวังสุดท้ายของอินยังมีอยู่นะคะ ถึงแม้จะเป็นความหวังเล็กๆก็ตามที


ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่นิดนึง หลังจากรู้ผลอินก็วิ่งห้อจากห้องโสตฯ มาที่อาคาร ๑ ที่มีห้องพักครูภาษาไทยอยู่เพื่อรายงานผล ที่บันไดอินเจอนางในดวงใจเข้าพอดี๊พอดี (แต่อย่าถามเลยค่ะว่าเธอผู้นั้นเป็นใคร อินว่าป่านนี้เธอคงลืมอินแล้วล่ะ) ความคิดชั่วร้ายแวบขึ้นทันใดเลยค่ะ หวังมาตั้งนานว่าจะได้กอดเธอสั่งลาก่อนเรียนจบ แล้วก็สมปรารถนาจริงๆซะด้วย เมื่อเธอถามอินว่าสอบติดมั้ย อินว่าสอบติดแล้วก็วิ่งพรวดจากบันไดขั้นแรกมาตรงชานพักที่อยู่เหนือขึ้นไปประมาณเจ็ดขั้น สวมกอดเธอเข้าทันที ความที่เธอดีใจไปกับอินก็เลยไม่ทันคิดว่าถูกอินประทุษร้ายทางใจเข้าให้แล้ว ยอมให้อินกอดแต่โดยดี หุๆๆๆ


หลังจากที่อินเรียนให้อาจารย์ภาษาไทยทุกท่านทราบด้วยสีหน้าดีอกดีใจอย่างมากแล้ว (ช่างขัดกับความรู้สึกจริงๆ ในใจเหลือเกิน) ว่าอินติดคณะที่ท่านประสงค์จะให้อินได้ อินก็เดินลงมาโทรไปที่ทำงานคุณแม่เพื่อบอกผลสอบด้วยเสียงละห้อยละเหี่ย พร้อมกับตบท้ายไปว่า


“แม่ แต่อินอยากสละสิทธิ อินขอได้มั้ยแม่”


“ไม่ได้ ติดก็บุญแค่ไหนแล้ว แม่ไม่ยอมเด็ดขาด”


ประกาศิตคุณหญิงแม่พุ่งมาตามสายโทรศัพท์ทะลุทะลวงหูลูกสาวสุดที่รักเสียจนน้ำตาแทบไหล ความหวังที่มีน้อยนิดดับวูบทันที ลองแม่ว่าอย่างนี้ มีหรือที่อินจะกล้าหือ คุณพ่ออินหรือคะ หึ หึ ก็เหมือนกับทุกบ้านนั่นล่ะค่ะ (ในหนังสือเขาว่าคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ความเป็นจริงแล้วคุณแม่ต่างหากที่เป็นหัวหน้าครอบครัวตัวจริง) ทั้งที่รู้ดีว่าคำตอบอะไรจะพึงได้รับจากคุณพ่อ แต่ก็ยังอุตส่าห์โทรหาคุณพ่อแล้วพูดประโยคเดียวกับที่พูดกับคุณแม่เปี๊ยบ แต่พอคุณพ่อรู้ว่า ผบ. ทบ. ท่านว่าอย่างไร คุณพ่อก็บอกอินเสียงเรียบว่า


“แม่เขาว่ายังไง ก็ตามนั้นเถอะลูกเอ๋ย พ่อช่วยไม่ได้จริง จริ๊ง”


ค่ะ ช่วยไม่ได้จริงจริ๊ง ก็ผบ.ทบ. ท่านบัญชามาอย่างนั้นแล้ว ลูกบ้านคนไหนจะกล้าล่ะค่ะ เมื่อหมดสิ้นความหวัง อินก็ต้องยอมจำนนทำตามโดยไม่มีข้อแม้ แต่อินมันเป็นพวกหัวดื้อหัวแข็งเป็นที่หนึ่ง มีหรือที่จะยอมสิ้นความพยายามแต่เพียงแค่นี้ ตัวน่ะยอม แต่ใจอินไม่ยอมนี่นา


เมื่อการสอบสัมภาษณ์จบลง อินก็ได้เป็นลูกช้างเชือกใหม่เต็มตัวแล้วล่ะค่ะ แต่เป็นลูกช้างที่ดื้อต่อขอสับของควาญนะคะ แผนสะบัดควาญลงจากคอเริ่มต้นขึ้นแล้ว ยังไงอินก็ต้องหลุดออกจากห้องประตูสีอิฐนี่ให้ได้ ส่วนจะอยู่ในบ้านหลังเดิม หลังใหม่ หรือรั้วสีไหนก็ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ ขอให้เป็นอิสระได้ก็พอแล้ว




                          อินทรายุธ

แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 52 17:49:36

แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 52 17:48:10

แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 52 15:46:53

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 15:33:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com