วันรำลึกถึงแม่
|
|
ฉากชีวิต
วันรำลึกถึงแม่
"เพทาย"
เมื่อผมอายุประมาณสี่ขวบ พอจำความได้นั้น แม่ของผมอายุประมาณ ๔๒ ปี เป็นครูโรงเรียนราษฎร์ เงินเดือนนิดเดียวแต่พออยู่ได้ เพราะมีผมกับน้องอายุขวบเดียวอีกคน ขณะนั้นแม่ได้แยกมาจากบ้านพ่อแล้ว ผมมีหน้าที่ไปรับเงินเดือนละ ๔ บาท ซึ่งญาติคนหนึ่งเป็นผู้พาไปรับที่บ้านสวนฝั่งธนบุรี
เราอยู่ที่บ้านคุณตาในตรอกข้างโรงเรียนนายร้อยทหารบก ถนนราชดำเนินนอก จนถึง พ.ศ.๒๔๘๔ ผมอายุ ๑๐ ขวบ ก็ถูกเวนคืนที่ดินย่านริมถนนราชดำเนินทั้งหมด ต้องมาอยู่ที่สวนอ้อยหน้าวชิรพยาบาล ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จัดเตรียมไว้ให้ ผมจึงมาเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดราชาธิวาส ในชั้น มัธยมปีที่ ๒
พอดีเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทหารญี่ปุ่นเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย ก่อนจะเดินทางไปรบทางด้านพม่า ข้าวของแพงขึ้น เงินเดือนของแม่น้อยเกินไปไม่พอค่าครองชีพ ต้องอดอยากหรือกู้หนี้ยืนสินญาติที่มีฐานะดีกว่า แบบที่ไม่มีกำหนดจะใช้คืนได้เมื่อไร แม้แต่น้องก็ต้องให้ญาติที่สงสารรับไปอุปการะเลี้ยงดู
สงครามนอกจากความอดอยากแล้ว ยังต้องมีความหวาดกลัวต่อภัยทางอากาศ ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดกรุงเทพ ทั้งกลางคืนและกลางวัน แถมใน พ.ศ.๒๔๘๕ เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ ในกรุงเทพไม่มีที่ใดไม่ถูกน้ำท่วม นอกจะสะพาน
จนถึง พ.ศ.๒๔๘๗ สงครามรุนแรงขึ้นโรงเรียนปิดทั่วกรุงเทพ ต้องอพยพหลบภัยไปอยู่นอกกรุงเทพ แม่ไม่มีรายได้เลย ข้าวของที่มีค่าก็ไม่มีจะขายกิน ต้องกลับมาอยู่สวนอ้อยตามเดิม และแม่ลงมือทำขนมถ้วยตะไล ให้ผมไปเร่ขาย พอมีกำไรซื้อข้าวปลาอาหารกินไปชั่ววัน ถ้าวันไหนขนมเหลือก็กินแทนข้าวได้
สงครามสงบลงใน พ.ศ.๒๔๘๙ แต่ความทุกข์ยากยังครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศไทย บ้านเมืองเสียหายจากการโจมตีทิ้งระเบิด ทหารจากชายแดนถูกปลดมากมาย ค่าครองชีพสูงขึ้นกว่ายามสงคราม
ผมได้กลับไปเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖ แม่ไม่ได้กลับไปเป็นครู เพราะป่วยเป็นวัณโรค สอนหนังสือเด็กไม่ได้ ก็คงทำขนมถ้วยให้ผมไปขายช่วงเช้า และไปเรียนช่วงบ่าย วันไหนยังขายไม่หมดผมก็ไม่ได้ไปโรงเรียน
เมื่อถึงเวลาสอบไล่ปลายปี ผมจึงสอบตกต้องเรียนซ้ำชั้น แต่ก็ไม่มีเงินก้อนที่จะเสียค่าเล่าเรียนปีละ ๔๐ บาท ต้องลาออก กะว่าจะขายขนมเลี้ยงชีพ
พอดีมีญาติที่เป็นทหารรู้เรื่อง จึงเอาไปทำงานเป็นลูกจ้างใช้แรงงาน พอมีเงินเดือน ซึ่งมากกว่าเงินเดือนครูของแม่ สองคนแม่ลูกจึงพอยังชีวิตอยู่ได้
แต่อาการโรคของแม่ก็กำเริบมากขึ้น เพราะไม่มีเงินซื้อยามารักษา เวลาไอมาก ๆ แม่จะนอนไม่ได้ ต้องฟุบกับโต๊ะตัวเตี้ย ๆ จนกระทั่งหลับคาโต๊ะนั้น ผมต้องดูแลทุกอย่าง ทั้งการกิน การเช็ดเนื้อตัว ล้างก้น เทกระโถนเสมหะ และอุจจาระปัสสาวะ
จนถึง พ.ศ.๒๔๙๕ ผมอายุครบ ๒๑ ปี ได้รับหมายเกณฑ์ทหาร ญาติจึงแนะนำให้ไปยื่นคำร้องขอผ่อนผันรักษามารดาป่วย และมีบุตรชายคนเดียว เจ้าหน้าที่มาสอบสวนที่บ้านแล้ว ก็ออกใบผ่อนผันให้หนึ่งปี
ผมจึงได้ขอลาราชการ ไปอุปสมบทที่วัดบุรณศิริมาตยาราม ในพรรษานั้น โดยความอุปถัมภ์ของญาติ ท่านที่รับน้องไปเลี้ยงดูอยู่ ระหว่างเป็นพระภิกษุได้พยายามมารับบาตรจากโยมแม่เป็นครั้งคราว พอใกล้จะออกพรรษาก็รับนิมนต์มาเทศน์โปรดโยมครั้งหนึ่ง แม่ยังนั่งพนมมือฟังเทศน์ ที่พระลูกชายเรียงความจากกระทู้ธรรมะ ตามที่ได้ศึกษาในระหว่างพรรษานั้นจนจบ อย่างเรียบร้อย ไม่มีอาการหอบหรือไอเลย
ถึงเดือนตุลาคมผมสึกหาลาเพศออกมาทำงานต่อ แม่ก็ป่วยหนักขึ้นต้องนั่งนอนอยู่กับที่ เพียงไม่ถึงสามเดือน ก็สิ้นใจในท่านั่งหมอบฟุบอยู่กับโต๊ะตัวนั้น เป็นอันสิ้นสุดชีวิตอันยากแค้นของแม่ เมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๕ อายุได้ ๕๘ ปี
ในวันนี้ผมยังจำภาพทั้งหมด ที่ได้เล่ามาอย่างย่นย่อนี้ได้ชัดเจน ผมจึงไม่มีความเสียดายหรือเสียใจ ที่ไม่ได้ทดแทนพระคุณแม่เหมือนบางคน ผมได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า ถ้าในชีวิตบั้นปลายของผม จะต้องเป็นวัณโรค ผมจะไม่ร้องอุทธรณ์กับใครอย่างเด็ดขาด
และผมก็ยังอยู่มาได้จนถึงวันนี้ วันที่มีอายุมากกว่าแม่ ยี่สิบปี และยังไม่มีโรคที่จะมาคุกคามเอาชีวิตผมเลย ส่วนแม่คงจะมีความสุขสบายดี
เพราะผมทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทุกวันตายของแม่ และต่อมาได้ถวายสังฆทานอุทิศให้ ในการทำบุญวันเกิดของผม ทุกปี.
############
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 52 07:49:32
|
|
|
|