Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 3 : Vol.2 รับน้องมหาวิทยาลัยและรับน้องคณะ  

ตอนที่ 3 : Vol.2 รับน้องมหาวิทยาลัยและรับน้องคณะ


ปลายเดือนพฤษภาคม บรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายก็ต้องจากบ้านที่แสนจะอบอุ่นมาสู่บ้านหลังใหม่ในรั้วสีม่วงกันแล้ว เพราะทางมหาวิทยาลัยมีกฎว่า ให้ปีหนึ่งทุกคนต้องย้ายนิวาสถานมาอยู่ที่หอพัก ย้ายในที่นี้ไม่ใช่ย้ายมาแต่ตัว หัวใจ และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวเท่านั้นนะคะ แต่หมายความว่าต้องย้ายสำเนาทะเบียนบ้านเข้ามาด้วย มช.ก็เลยเป็นบ้านใหม่หลังอภิมหึมาสำหรับนักศึกษาเลยล่ะคะ อินเองก็ต้องย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่ มช. ตั้ง 3 ปีครึ่งแน่ะ  


ก่อนการเปิดเทอมประมาณ 2 วัน (ถ้าอินจำไม่ผิดนะคะ เพราะช่วงเวลานั้นของอินผ่านมาตั้งนานแล้ว) ทางมหาวิทยาลัยจะจัดกิจกรรมรับน้องรวมขึ้นที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย อินเองก็ร่วมอยู่ด้วย แต่บรรยากาศการรับน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดนั้นรางเลือนเต็มที เพราะอินเพิ่งจากบ้านเป็นครั้งแรก ก็เลยเกิดอาการโฮมซิค อารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ อ่อนไหวแค่ไหนเหรอคะ ก็ขนาดนั่งๆอยู่น้ำตาไหลออกมานั่นล่ะค่ะ ที่จำได้อย่างเดียวของการรับน้องรวมครั้งนั้นก็คือการมัดข้อมือรับขวัญเฟรชชี่ แต่ที่อินจำได้ดีคือการรับน้องของทางมหาวิทยาลัยครั้งที่สอง ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติอันเป็นเอกลักษณ์ที่มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่มี นั่นคือการรับน้องขึ้นดอยค่ะ


ก่อนวันรับน้องขึ้นดอยนะคะ แต่ละคณะก็จะจัดเตรียมการแสดงไว้ล่วงหน้าเป็นเดือนเลยล่ะค่ะ ที่คณะมนุษยศาสตร์ก็มีการแสดงเหมือนกัน อยากรู้ไหมคะว่าการแสดงอะไร ร้องเพลงประกอบการเต้นค่ะ เป็นเพลงที่มันมาก และมีท่าเต้นที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย โอ๊ะ! อย่าคิดไปไกลประมาณบริทนี่ย์ หรือไมเคิล หรือ เคป๊อบ เจป๊อบอะไรเทือกๆนั้น ค่ะ คิดกันใกล้ตัวเข้ามาอีกนิดนึง โอ๊ยโหย! ไม่ใช่ลูกทุ่งค่ะ เฮ้อ! อินว่าก่อนที่จะเดากันไปไกลถึงไหนต่อไหน อินเฉลยดีกว่า


เพลงรู้สึกสบายดีของเฉลียงค่ะ แล้วก็มีท่าเต้นประกอบด้วย อินชอบท่าตอนที่ว่า


“ปุยทุกปุยปุย จะสดสวยเพราะเราดู..”


ท่าประกอบตอนนี้นะคะ ยกมือขึ้นมาสองมือค่ะ ใช่แล้วค่ะ แล้วก็ทำมือเหมือนตอนหยิบขนมสายไหมนะคะ หยิบจากซ้ายไปขวาค่ะ นั่นแหละ น่ารักดีไหมคะท่านี้ อินว่าน่ารักดีออก ท่าสวยเจ๋งไม่มีใครเหมือนด้วย แล้วก็จะมีเพลงแปลงประจำคณะอีกเพลงหนึ่งด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีอยู่หรือเปล่านะ เพลงนั้นร้องว่าอย่างนี้ค่ะ


“ น้องเป็นสาว Human ยังบ่เคยมีแฟน บ้านอยู่แดนตีนเขา

น้องเป็นสาวปีหนึ่ง ได้แต่นอนคำนึง ยามตีหนึ่งหงอยเหงา

จะมีชายใดไผเด้ฮักเมา จะมีชายใดไผเด้ฮักเมา หมายปองข้าเจ้า แม้จะเอาก็ยอม


* น้องต้องการวิดยา ทั้งสังคมศึกษา ทั้ง Acc-Ba กับหมอ

 หรือเป็นหนุ่มซาดิสต์ ทั้งวิดวะ วิจิตร น้องจะบิดไปขอ

Econ มีแฟน Human ก็จะรอ Aggie มีแฟน Human  ก็ยังรอ ขอพี่ Dent คนหล่อเลิกกับแฟนไวๆ


**ใจดวงเดียวที่น้องมีอยู่ เปิดประตูแบ่งขายกันไป

โปรดอย่ามองว่าน้องไฮโซ ถึงจะโซก็โซแต่ท้อง”



แล้วก็กลับไปร้องตรงที่มีดอกจัน ซ้ำอีกรอบนะคะ ทำนองเพลงใช้เพลงสาวอีสานรอรักค่ะ ส่วนคำว่า Human ตรงท่อนแรกนั่น คณะอื่นชอบแปลงเป็นคำไทยแท้ๆ เลย ค่ะ ส่วนจะแปลงว่าอะไร ก็ลองเดาดูนะคะ ขืนอินบอกก็เสียภาพพจน์สาวคณะมนุษย์ผู้แสนไฮโซกันพอดี (ความจริงก็น่าแปลงหรอกค่ะ เพราะกี่คณะๆ แม่เล่นบอกว่าต้องการซะขนาดนั้น)


เมื่อวันขึ้นดอยใกล้จะมาถึง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่กันขึ้นดอย แต่ละคณะก็จะจัดเตรียมเป็นเสื้อผ้าฝ้ายติดดุมผ้าแบบจีนห้าเม็ด และสะดอยาวสีสันแตกต่างไปตามคณะ ที่คณะมนุษยศาสตร์ปีนั้น เป็นสะดอสีม่วง แล้วสกรีนอักษรล้านนาว่า “มนุษยศาสตร์” ไว้ที่ขาด้านซ้าย


วันขึ้นดอยนะคะ ไม่เพียงแต่เฟรชชี่ทุกคนจะต้องตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 เพื่ออาบน้ำแต่งตัว และรอเพื่อนๆ พี่ๆ มารับไปรวมกันอยู่ที่ลานหน้าศาลาธรรม อินชอบบูมเรียกน้องของแมสคอม (Mass Comm)มากเลย สมัยที่อินเรียนแมสคอมยังเป็นเพียงสาขาวิชาหนึ่งของคณะมนุษย์เท่านั้นค่ะ ยังไม่เป็นคณะเหมือนทุกวันนี้หรอก เมเจอร์นี้เขามีบูมสารพัดรูปแบบมาก จำกันไม่หวาดไหว มีบูมนี้แหละที่อินพอจะจำได้นิดๆ หน่อยๆ  เพราะมันออกจะทะลึ่งๆสักนิด เขาเรียกว่าแมสคอมกล้วยค่ะ ส่วนจะว่ายังไงนั้น เรื่องข้ามเมเจอร์อินเปิดเผยไม่ได้ค่ะ


เหล่าเฟรชชี่ถูกเรียกตัวมารวมพลตอน 6 โมงเช้า โดยมีขนมและนมมาล่อเท่านั้น ส่วนได้ออกเดินทางจริงก็ปาไป 7 โมงเช้าได้แล้วค่ะ ระหว่างรออินกับเพื่อนบางคนก็เลยนั่งหลับรอเสียเลย ตอนแรกที่ออกเดินกันนะคะ แต่ละคนสดชื่นแจ่มใสมาก ตอนไหว้ครูบาศรีวิชัยที่เชิงดอยก็ยังเฮฮากันอยู่ ทีนี้พอผ่านสองชั่วโมงแรกก็เริ่มหงอยล่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ มันเหนื่อย แต่พวกวิศวะกับเกษตรนี่นับถือจริงๆ วิ่งตั้งแต่หน้าม. ยันดอยสุเทพนั่นแน่ะ พ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะอึดอะไรกันขนาดนั้น ส่วนคณะมนุษย์น่ะหรือคะ เราถือคตินี้ค่ะ


“สาวสวยต้องเดินอวดโฉมกันนานๆ เดินไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย แต่ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักได้ทุกเวลา”


ไม่ใช่แค่คตินี้อย่างเดียวนะคะ ความที่คณะนี้มีอัตราประชากรทั้งหญิงแท้หญิงเทียมมากกว่าผู้ชายเรื่องรักสวยรักงามก็ต้องมีตลอด เวลาเดินขึ้นเขาเจอจุดชมวิวที่ไหนสวยหน่อยเป็นไม่ได้ ต้องแวะถ่ายรูปกันตลอด (อินก็แวะชมวิวค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปนะ อินชอบจดจำบรรยากาศเอาไว้มากกว่า) และเพราะอย่างนี้ไงคะ ที่ทำให้คณะมนุษย์ที่ออกเดินเป็นคณะแรก จึงขึ้นสู่ยอดดอยเป็นคณะสุดท้ายทุกที แต่หลังๆนี่ อินได้ยินว่าพัฒนาขึ้นเยอะเลย ไม่เป็นที่โหล่อีกแล้ว


สบายแค่ไหนลองนึกกันดูแล้วกัน ช่วงเที่ยงที่แวะกินข้าวกันนั้น พวกเรากินข้าวเสร็จปุ๊บแทนที่จะออกเดินเลย ไม่ค่ะ ต้องนั่งพักให้ข้าวเรียงเม็ดก่อนเกือบๆ สองชั่วโมงได้ เอ้อระเหยกันชนิดที่ว่าคณะวิจิตรศิลป์ที่เขาพักกินข้าวพร้อมเรา เดินขึ้นดอยกันไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้นั่นแน่ะ


ตอนเดินระยะทางช่วงสุดท้ายนะคะ เริ่มมีเสียงโอดครวญจากบรรดาสาวๆทั้งหลาย เป็นระยะๆ


“พี่...อีกไกลมั้ยง่ะ กว่าจะถึงเนี่ย”


“ไม่ไกลหรอกน้อง อีก 2 กิโลแม้ว(ส)เท่านั้นเอง”


สังเกตให้ดีนะคะ พี่เขาตอบว่าสองกิโลแม้ว(ส) มิใช่สองกิโลเมตร สิ้นคำตอบนั้นรุ่นน้องก็ครางฮือกันเป็นแถว ก็แหม กิโลแม้วน่ะ มันไกลกว่ากิโลเมตรเกือบเท่านึงได้ แถมระยะทางช่วงนี้เป็นทางขึ้นเขาตลอดเลย ต่อให้กำลังดีแค่ไหนก็ปวดเมื่อยขากันสุดๆแล้วล่ะค่ะ


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 52 17:04:15

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 17:02:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com