ความคิดเห็นที่ 1 |
|
*** มาอ่านกันต่อค่ะ
ก่อนที่พิธีการเชือดจะมาถึงนั้น พี่ๆ ก็จะบอกให้น้องเฟรชชี่ทั้งหลาย ร้องเพลงมหาวิทยลัยบ้าง เพลงประจำคณะบ้าง และที่ขาดไม่ได้คือเพลงประจำเมเจอร์กับบูมเมเจอร์นั่นเองค่ะ เพราะนะคะ เพลงเมเจอร์อินน่ะ เขาร้องอย่างนี้ค่ะ
"ดอกสักพรายพลิ้ว ณ ริมอ่างแก้ว
งามพรายแพรวล้อเล่นชลาธารใส
เปรียบปานพี่น้องเพื่อนรักเพียงใจ
สุดเกรียงไกรมนุษยศาสตร์สัมพันธ์
ฝากจิตสนิทไว้เหนียวแน่นคงมั่น
มารวมกันสรรสร้างสายธารความรู้
เอกลักษณ์ภาษาไทยให้เชิดชู
เคียงคู่อยู่ช้างชูคบเพลิง มช.
ส่วนบูมของเมเจอร์ สั้นๆ ง่ายๆ ค่ะ แต่อินออกจะลืมไปหน่อยแล้ว ไม่แน่ใจว่าตอนท้ายนี่มี วี้ดบูม อีกครั้งหรือเปล่า แต่เนื้อหาเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ
Weed !
Boom!
T- H H A - I
Proud of Thai
หลังจากที่รุ่นพี่กลุ่มนางฟ้าเห็นว่าน้องปี 1 มีท่าทีผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ทีนี้ก็จะสั่งให้พวกเราเดินจากที่ซุ้มไปที่ตึก HB 6 ค่ะ ส่วนจะเป็นชั้นไหนห้องไหน อินขอไม่บอกนะคะ
ห้องรับน้องถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะค่ะ พวกอินก็แค่เข้าไปนั่งประจำที่ตามรหัสของแต่ละคนเท่านั้น สักพักหนึ่ง สมุดเล่มบางๆ ปกสีแดงก็จะถูกวางจ่ายแจกไว้ตรงหน้าน้องๆ ในสมุดเล่มนั้นจะมีชื่อ ชื่อเล่น รหัสนักศึกษา ที่อยู่จริงตามทะเบียนบ้าน และที่อยู่ของหอพัก พร้อมเลขห้องแต่ละคนไว้เสร็จสรรพ ยังค่ะ ยังไม่หมดแค่นี้ อุปกรณ์สามอย่างที่รุ่นพี่พร้อมจะเล่นเราได้ทุกเมื่อ ถ้ามาห้องเชียร์แล้วมีไม่ครบนะคะ นอกจากชิปเมทปกแดงแล้ว ก็จะมีสายรัดข้อมือเป็นผ้าสีออกชมพูสะท้อนแสง ปักว่าอะไรไม่แน่ใจนะคะ แต่มีคำว่า ไทย ด้วยแน่ๆ คำหนึ่งค่ะ ส่วนสาเหตุที่อินจำไม่ได้เพราะอะไรนั้น อีกอึดใจใหญ่ๆ อินมีคำตอบให้ค่ะ กับป้ายชื่อคล้องคอเป็นรูปดอกไม้สีม่วง ตรงกลางเป็นวงกลมสีเหลืองเขียนชื่อเล่น กับรหัสของแต่ละคนไว้โดดเด่นนะคะ พอได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ (สำหรับรุ่นพี่) เสียงว้ากก็จะลอยลมมาเข้าหูน้องๆที่หนีไปไหนไม่ได้แล้วเป็นการข่มขวัญชั้นที่ 1 ตามมาด้วยรุ่นพี่ปี 3 และปี 4 ที่จะกรูกันเข้ามาในห้องเรียนแคบๆ พร้อมกับสั่งให้พวกเราก้มหน้า จากนั้นก็
ปิดประตู ปิดหน้าต่าง ปิดม่าน ปิดพัดลมให้หมด สบายกันเกินไปแล้ว
นี่ค่ะ ประโยคแรกที่น้องปี 1 จะได้ยิน ลองคิดสภาพห้องตามอินนะคะ ช่วงที่รับน้องนั่นเป็นช่วงต้นเดือนมิถุนายน ถึงอากาศข้างนอกจะไม่ได้ร้อนอะไรมากมายนัก แต่ถ้าเข้ามาอยู่ในห้องเรียนเล็กๆ แล้วปิดหน้าต่าง ปิดประตู ปิดพัดลม ไม่ให้อากาศได้ถ่ายเท กับจำนวนคนที่อัดอยู่ในห้องไม่น้อยกว่า 40 คน อากาศในห้องมันจะอบอ้าวขนาดไหน ประหนึ่งห้องซาวน่าน้อยๆ นั่นเลย งานนี้ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องเหงื่อหยดติ๋งลงพื้นห้องกันถ้วนทั่วเลยล่ะค่ะ
งานนี้ไม่เพียงแต่อินคนเดียวที่มีปัญหากับเรื่องการหายใจนะคะ ยังมีเพื่อนผู้ชายอินอีกคนที่อาการหนักกว่า เพื่อนคนนี้ความสูงก็ 195 ซม. สูงกว่าอิน 20 ซม. นั่นแน่ะ ไม่นานเกินรอเลย เพื่อนคนนี้ก็ต้องระเห็จออกไปหาพี่นางฟ้าทั้งหลายนอกห้อง อินเองก็อยากจะแกล้งเป็นลมตามไปเหมือนกัน แต่ไม่ยักกะเป็นเสียที (เออแฮะ แข็งแรงเกินไปก็มีผลเสียนะนี่)
เวลาในการว้ากครึ่งแรกจะเป็นไปนานเท่าไหร่นั้น อินไม่รู้หรอกค่ะ อาจจะเป็นแค่ครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงก็ได้ เพราะนาฬิกาอินอยู่กับพี่นุ้ย แต่ในความรู้สึกของอิน เหมือนกับว่ามันนานเป็นสามสี่ชั่วโมงเชียว หลังจากที่รุ่นพี่ว้ากเกอร์ทั้งหลายพออกพอใจในผลงานแล้ว บวกกับที่แต่ละคนต้องใช้แรงใช้เสียงเยอะในห้องซาวน่าน้อยๆ นั้น ก็ถึงคราวพักเบรกเสียที ช่วงนี้ล่ะค่ะ ที่อินรู้ซึ้งว่าสวรรค์-นรกเป็นอย่างไร รับน้องจังหวัดนั่นยังดีนะคะที่ทำกลางสนามโล่ง ไม่ได้อยู่ในห้องหับที่ปิดมิดเยี่ยงนี้ เฮ้อ...
รับน้องช่วงที่สอง ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากช่วงแรกเลยค่ะ ออกจะเครียดและโหดขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ กว่าจะปล่อยออกมาจากห้อง ตั้งแถวกันที่ลานหน้าตึก HB 6 แจกข้าวเย็นให้น้องๆเสร็จ ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่มได้ เพราะฉะนั้นการกลับหอของเรา จะไม่ใช่การเดินทอดน่องสบายอกสบายใจอย่างตอนขามาหรอกค่ะ ต้องวิ่งกันสุดชีวิตทีเดียว เพราะหอหญิงปิดสี่ทุ่มนี่คะ ถ้าเข้าหอไม่ได้ก็ต้องนอนตากยุงกันตรงนั้นล่ะค่ะ ครั้นจะเรียกให้คุณป้าแม่บ้านมาเปิดประตูให้ คะแนนสะสมที่จะทำให้อินได้อยู่หอในต่อไปก็ถูกตัดเสียเท่านั้นสิคะ
ยังค่ะ ยังไม่หมดเท่านี้ ในวันรุ่งขึ้นทันทีที่หอหญิงเปิดตรงเวลา 6 โมงเป๋ง ปี 1 เมเจอร์ไทยทุกคนก็จะต้องมารวมกันหน้าหอ 3 หญิง เพื่อรวมพล แล้วก็วิ่งไปให้ทั่วทุกหอ พร้อมกับแหกปากร้องคำนี้
มนุษย์ไทย มช.
ร้องไปจนกว่าจะวิ่งผ่านครบทุกหอนั่นล่ะค่ะ ใครที่อยู่หอในน่าจะได้ยินเสียงนี้กันนะคะ กว่าจะวิ่งเสร็จก็ตกราวๆ 7 โมงเช้าพอดี เหตุผลในการให้น้องๆวิ่งในตอนเช้า (ตามที่รุ่นพี่บอก) ก็คือเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการขึ้นดอยนั่นเองค่ะ เหตุผลเข้าท่าไหมล่ะคะ
เคราะห์ดีมากที่วันนั้นเป็นวันอังคาร อินมีเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง ก็กะว่าจะงีบต่อสักหน่อย แต่พอตะกายขึ้นห้อง ขึ้นเตียง (ลืมบอกไปค่ะว่าอินนอนเตียงบน) ได้ แทนที่จะหลับ กลับหลับไม่ลงซะงั้น ทั้งที่ง่วงแสนง่วง ปวดขาสุดฤทธิ์ (เพราะจู่ๆ ก็มาโหมแรงวิ่งเอาปุบปับ กล้ามเนื้อก็ต้องบาดเจ็บเป็นธรรมดาค่ะ กว่าจะหายก็ใช้เวลาหลายวันอยู่เหมือนกัน) สุดท้ายก็ต้องตะกายลงจากเตียง อาบน้ำเปลี่ยนชุดนักศึกษารอไปเรียนแทน
วันที่สองของการรับน้อง ก็ไม่ต่างอะไรกับวันแรกหรอกค่ะ เพียงแต่วันนี้รู้สึกว่ารุ่นพี่จะปล่อยพวกเราเร็วกว่าเดิมนิดนึง และสั่งให้พวกหนุ่มๆ เป็นคนไปซื้อข้าวเย็นส่งให้สาวๆ ให้ครบทุกหอ
ตรงเรื่องหนุ่มๆ ซื้อข้าวให้นี่มีเรื่องขำค่ะ ไม่รู้ว่าพวกนั้นคิดยังไง เห็นหน้าอินดูเป็นคนทานเผ็ดไม่เป็นหรืออย่างไรไม่รู้ พ่อเจ้าประคุณซื้อผัดไทมาส่งให้ พอแกะห่อออกดู อินปล่อยก๊ากเลยค่ะ เพราะหนุ่มๆเขาเล่นประโคมพริกป่นใส่มาซะ แล้วไม่มีน้ำตาลโรยมาเลยนะคะ กะว่าถ้าอินไม่กินเผ็ด ค่ำนั้นก็คงร้องห่มร้องไห้เพราะทานไม่ได้นั่นล่ะค่ะ แต่ใสเจียเสียใจ พวกนั้นหารู้ไม่ว่า อินไม่เคยเติมน้ำตาลลงในอาหารแม้แต่ช้อนเดียว แต่เรื่องพริก กับน้ำส้มนี่ถึงไหนถึงกัน สรุปแล้ว อินก็เปรมซิคะ ที่พวกเขาช่างรู้ใจ (โดยไม่ตั้งใจ) เสียขนาดนี้ พอรุ่งเช้าอีกวัน อินก็ขอบคุณบรรดาพ่อเจ้าประคุณด้วยสีหน้าแจ่มใสมาก...ก..ก จนพวกนั้นงงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะค่ะ
มิค ขอบใจนะ สำหรับผัดไทเมื่อคืน แต่คราวหลังถ้าจะให้ดี ขอพริกเพิ่มอีกซักช้อนนะ ที่ปรุงมาให้น่ะยังไม่ค่อยเผ็ดเลย
พ่อยอดชายนายมิคเอ๋อรับประทานเลยค่ะงานนี้ ยิ่งตอนกลางวันที่ปีหนึ่งต้องทานข้าวร่วมกันอีก แล้วบรรดาหนุ่มๆทั้งหลาย เห็นอินตักแต่พริกขี้หนูจากในถ้วยพริกน้ำปลา (ย้ำค่ะ ว่าเฉพาะพริก) มาใส่ในจานข้าวแล้วทานหน้าตาเฉย ก็ยอมแพ้กันเป็นแถว ไม่มีกรณีแกล้งอินอย่างนี้เกิดขึ้นอีกเลย
**** มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 10:48:57
แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 52 15:42:11
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ส.ค. 52 15:13:37
|
|
|
|