Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ใต้ร่มแห่งรัก [1]  

ฝนเม็ดโตกลั่นตัวลงมาจากกลุ่มเมฆหม่นที่เคลื่อนตัวซ้อนทับกันบนนภากว้างแต่ลางเลือนด้วยแสงสว่างของจันทราในคืนข้างแรม

“เฮ้อ...” เสียงถอดทอนหายใจของชายร่างสูงที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ให้สายฝนชะโลมใบหน้าทำให้รู้ว่าเขายังพอมีสติอยู่ แม้จะเหลือน้อยก็ตามที
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขาเพิ่งเสียน้ำตากับการที่ถูกผู้หญิงบอกเลิก ด้วยเหตุผลสุดคลาสสิคที่ว่า... เขาดีเกินไป

การเพียรทำความดีเพื่อมอบให้คนที่เขารักเนี่ย มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุไฉนเรื่องราวมันกลับตาลปัตรมาเป็นแบบนี้
นี่เขาดีเกินไป หรือว่า ดีไม่พอกันแน่...

เม็ดฝนยังคงทิ้งตัวลงมาอย่างต่อเนื่องจนปริมาณน้ำบนท้องถนนเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากท่อระบายน้ำไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ส่งผลให้ยวดยานพาหนะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนแม้ว่าไฟเขียวจะสว่างจ้าแล้วก็ตาม  นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเดินต่อไปแทนที่จะก้าวขึ้นรถเมล์ที่มาจอดเทียบอยู่ข้างทาง

เสื้อเชิ้ตสีอ่อนเปียกน้ำฝนจนลู่แนบเนื้อหนังมังสาที่ปกคลุมด้วยเสื้อกล้ามสีขาวอีกชั้นหนึ่ง เขาเดินตากฝนมาเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะเข้าไปหลบฝนที่ชายคาตึกแถวหรือแม้กระทั่งที่นั่งพักตรงป้ายรถเมล์ซึ่งมีหลังคาคลุม

“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกคุณ” เสียงหวานเอ่ยนำขึ้นก่อนที่จะสาวเท้าก้าวให้ทันชายหนุ่มและยกแขนขึ้นสูงเพื่อที่จะกางร่มให้คนแปลกหน้าที่เดินตากฝนอยู่เพียงลำพัง

“ถึงผมไม่สบาย มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณนี่” นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเริ่มพูดจากวนอารมณ์ ปกติแล้วเขาไม่เคยแสดงท่าทางเย่อหยิ่งอย่างนี้มาก่อน แต่นับตั้งแต่วินาทีที่โดนผู้หญิงที่เขารักที่สุดบอกเลิกด้วยเหตุผลที่ว่าเขาดีเกินไป เขาเลยอยากจะลองเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนเลวดูบ้าง ด้วยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร

“มันก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับฉัน แต่พ่อแม่ของนายเขาก็คงต้องไม่สบายใจแน่ๆ ถ้านายไม่สบายน่ะ” หญิงสาวคิดเผื่อไปถึงบุพการีของหนุ่มแปลกหน้าจนเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา

“พ่อแม่ผมไปสบายตั้งนานแล้ว” เมื่อโดนสายตาคมกริบหันมาสบมอง ใบหน้าสวยคมก็ก้มลงต่ำอย่างรู้สึกผิดที่พูดจาสะกิดโดนแผลใจอีกฝ่ายเข้า

“ช่างเถอะ แล้วนี่จะกางร่มให้ผมอีกนานไหม ผมก็อายเป็นนะคุณ ให้ผู้หญิงมากางร่มให้เนี่ย” ว่าพลางเขยิบตัวออกห่างให้พ้นไปจากสิ่งที่มาครอบคลุมศีรษะกลม

แต่หญิงสาวก็ไม่ย่อท้อ เธอยังคงก้าวเดินตามติดชายหนุ่มราวกับมีพันธะผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อชายหนุ่มเหลียวมองเห็นเธอ ก็รีบเร่งจังหวะในการก้าวให้เร็วขึ้นเพื่อที่เธอจะได้ตามมาไม่ทัน แต่เธอก็ไล่กวดตามมาทันจนได้

“ทำไมคุณต้องตามผมด้วย” นัยน์ตาสีรัตติกาลจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เขาไม่ชอบให้ใครมาเดินตาม หรือมารังควานใจเขาแบบนี้

“แล้วทำไมคุณต้องหนีฉันด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ นี่คุณ ทำไมต้องตะคอกใส่หน้าผมด้วยเนี่ย” ดวงตาคู่โตถลึงมองด้วยความโกรธ มือหนากำหมัดแน่น หากว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายล่ะก็เขาอาจจะกระชากคอเสื้อและประเคนหมัดหนักไปบนหน้าแล้วก็ได้

“ก็แล้วคุณขึ้นเสียงก่อนทำไมล่ะ” เสียงหวานที่เริ่มเจือปนความกระด้างเถียงกลับไปอย่างไม่ลดราวาศอก จนชายหนุ่มเริ่มเหลืออดจึงผลักร่างบางจนล้มก้นกระแทกกับพื้นคอนกรีต

เสียงร้องโอดโอยดังกังวานจนคนแถวนั้นต่างหันมองและยืนซุบซิบนินทาผู้ชายที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ จนเขาผู้นั้นเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมาจึงยื่นมือออกไปตรงหน้าให้มือบางได้ยึดจับและดึงร่างเพรียวลมนั้นขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่จับจ้องนับสิบคู่

“เอ่อ... ไม่ทราบว่าจะยืนมองกันอีกนานไหมครับ” ชายหนุ่มยังคงปากดีตามเคย จึงโดนนิ้วเรียวบิดเข้าให้ที่สีข้าง ส่งผลให้ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด

“ทำไมคุณต้องไปว่าคนอื่นเขาด้วย”

“ก็แล้วทำไมคุณต้องบิดเนื้อผมด้วยล่ะ”

“คุณจะได้รู้ไงว่าความเจ็บ มันเป็นยังไง”

“วันนี้ผมเจ็บมาเยอะ ปวดมาเยอะแล้ว”

“นายเป็นสมจิตร จงจอหอเหรอ” นิ้วเรียวจรดตรงริมฝีปากทำท่าเลียนแบบนักชกเหรียญทองโอลิมปิก

“คุณเป็นอะไรมากไหมเนี่ย” ริมฝีปากหยักลึกยังคงปิดสนิทหลังพูดจบ ไม่มีรอยยิ้มมาบรรเทาความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอยู่นี้เลยสักนิด

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เป็นคนสวยเท่านั้นเอง” มือบางสะบัดผมที่เกาะรวมกันให้กระจายออกเหมือนนางแบบในโฆษณาแชมพู จนกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นไหมสีนิลลอยมาเตะจมูกของชายหนุ่ม ทำเอาเขาเคลิ้มไปชั่วขณะ

“สวยตายละ”

“แล้วนายล่ะ คิดว่าหล่อมากนักเหรอ”

“ผมหล่อกว่าคุณก็แล้วกัน” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวคล้อยตามในตอนแรก ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นคำพูดที่หลอกให้เธอไขว้เขว

“เอ่อ... ถูก... เฮ้ย!! ก็ฉันเป็นผู้หญิงนี่ ฉันจะหล่อเหมือนนายได้ไงเล่า” ท่าทางปั้นปึ่งของสาวร่างบาง เรียกรอยยิ้มให้มาปรากฎบนใบหน้าหล่อใสของชายหนุ่มได้ไม่น้อยเลย

สายฝนที่สาดซัดมากระทบผิวหนังพร้อมกับลมกลางคืนที่พัดกระโชกแรงทำเอาหญิงสาวเริ่มจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ ร่มราคาถูกนั้นพลิกหงายกลับเพราะโครงเหล็กไม่ค่อยดี ส่งผลให้ชุดทำงานของเธอเปียกชุ่มจนเห็นเรือนร่างส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน

“เข้าไปหลบฝนที่นั่นกัน” นิ้วชี้แกร่งชี้ไปยังสถานีตำรวจที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนตากฝนกันอยู่

“เขาไปหลบในโรงพักเนี่ยนะ”

“ถ้าไม่อยากหลบในโรงพัก แล้วจะยืนตัวเปียกล่อตะเข้อยู่ใต้ต้นไม้นี่รึไง เดี๋ยวคนที่เขาขับรถผ่านมา เขาก็คิดว่าคุณเป็นผีขนุนหรอก” คำพูดของหนุ่มร่างสูงที่เปรียบเปรยเธอเหมือนกับหญิงขายบริการพาลทำให้เธอเดือดดาลขึ้นอีกครั้ง จึงเงื้อมือแหวกอากาศไปปะทะกับหน้าเนียนของชายหนุ่มจนเกิดเสียงดังเพี้ยะ!!

“ทุเรศ!!” เธอสบถออกมาแล้วรีบจ้ำอ้าวเข้าไปในโรงพักเพื่อพักหลบฝนตามคำแนะนำของชายหนุ่มฝีปากกล้าโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดกับการกระทำของเธอแค่ไหน

มือหนาลูบแก้มที่รู้สึกชาๆ ซึ่งเป็นผลมาจากแรงปะทะของฝ่ามือบาง พลางครุ่นคิดตำหนิโชคชะตาที่นำพาให้เขามาพบกับเธอในวันที่แสนทุกข์ทรมาณของเขาพอดี

แม้ว่าเขาจะไม่อยากเจอเธอ แต่เขาก็ไม่อาจจะยืนตากฝนได้อีกต่อไป เพราะลมที่กระโชกแรงมากขึ้นทำให้เศษกิ่งไม้ เศษขยะ เศษอะไรต่อมิอะไรปลิวลอยตามลมมาโดนตัวเขาด้วย อีกทั้งเขาก็ยังกลัวว่ากิ่งไม้อาจจะหักลงมาเมื่อยามที่สายฟ้าฟาดลงมายังพื้นเบื้องล่าง

เขายกแขนขึ้นมาป้องหน้าแล้วก็วิ่งฝ่าลมฝนเข้าไปในสถานีตำรวจนครบาล แล้วก็เดินไปหลบยังใต้ถุนของอาคารที่มีหญิงสาวนางหนึ่งยืนตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่นั้นบางเสียเหลือเกิน จนชายหนุ่มต้องเอามือปิดตาไว้เมื่อเผลอมองทะลุเสื้อทำงานสีอ่อนจนไปเห็นชุดชั้นในสีเข้มเข้า

“อ่ะนี่ ใส่ซะ” มือหนายื่นเสื้อแจ็คเกตสีดำที่เขาพกติดไว้ในกระเป๋าทำงานเพื่อไว้ใส่ตอนที่อยู่ในห้องทำงานที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ส่งให้กับหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงชั่วโมง

“ขอบคุณนะ คุณ...” เธอเว้นช่วงไปเพราะยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย นั่นจึงทำให้ทั้งคู่ได้มาแนะนำตัวกันที่ใต้ถุนของโรงพัก

“ผมชื่อตฤณ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”

“ฉันชื่อทราย ยินดีที่ได้รู้จัก”

“อืม...” เพียงแค่เสียงครางรับในลำคอพยางค์เดียว ก็ทำให้หญิงสาวเสียงเครียดขึ้นมาอีก

“แค่อืม แค่เนี้ยเนี่ยนะ”

“แล้วจะเอาแค่ไหนล่ะ แม่คุณ นี่ผมไม่คิดบัญชีที่คุณทำร้ายผม ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“ก็นายว่าฉันก่อนหนิ”

“เอาล่ะๆ ผมว่าเราอยู่เงียบๆ กันดีกว่านะ ถ้าไม่อยากขึ้นไปนอนในห้องกรงโทษฐานส่งเสียงรบกวนการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน”

“ฉันอยู่เงียบๆ ก็ได้” มือบางกำร่มสีเขียวที่พับเก็บอยู่ในอุ้งมือแน่น จนอีกฝ่ายปรายตามองเธอถึงค่อยคลายออกและกำมันไว้อย่างหลวมๆ

“คุณอย่าบอกนะว่าคุณจะใช้ร่มคันนี้อีก”

“ก็มันยังใช้ได้”

“แน่ใจเหรอว่ามันยังใช้ได้”

คำพูดที่เหมือนท่าทายแบบนั้น ทำให้ทรายต้องพิสูจน์ด้วยการกางร่มออกอีกครั้ง แต่ครานี้มันไม่สามารถกางให้อยู่ให้สภาพดีอย่างเก่าได้ ไม่ว่าจะพยายามยังไง มันก็ยังง่อนแง่นอยู่ดี

“ผมว่าคุณทิ้งมันไปเถอะแล้วซื้อคันใหม่จะดีกว่า”

“ได้ไงกัน ร่มคันนี้แม่ฉันซื้อมาให้นะ ถึงมันจะพัง ฉันก็ไม่ทิ้งมันหรอก”

“งั้นเอางี้ เดี๋ยวผมเอาไปซ่อมให้คุณเอง”

“แล้วมันจะดีอย่างเดิมเร้อ...” น้ำเสียงที่ปรามาส ทำเอาชายหนุ่มหน้าบูด ก่อนจะเปล่งเสียงดังฟังชัดว่า...

“ได้ไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้!!”

มือแกร่งคว้าร่มสีเขียวใบตองมาจากมือหญิงสาวโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยินยอมหรือไม่ เพราะคนอย่างเขาไม่ชอบให้ใครมาดูถูก ฉะนั้นแล้ว เขาจะต้องทำสิ่งที่เขาได้ลั่นวาจาออกไปให้จงได้

จากคุณ : comicclubs
เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 15:35:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com