Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 5 และตอนที่ 6  

**** แวบมาทักทายกันก่อนค่ะ อินต้องขออภัยด้วยที่หายเงียบไปหลายวัน พอดีอินไข้ขึ้นค่ะ เพิ่งจะหายวันนี้เอง แต่อินไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 น้า ไม่ต้องตกใจค่ะ ^_^



ตอนที่ 5 : แผนสะบัดควาญที่ล้มเหลว กับเรื่องยุ่งๆของหัวใจ(หรือเปล่า)


หลังจากที่ผ่านด่านการรับน้องมาครบทุกด่านแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่บรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายต้องกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันเสียทีค่ะ แต่ไม่ใช่เฟรชชี่ที่ชื่ออินทรายุธหรอกนะคะ เพราะอินตั้งปณิธานไว้ในใจแล้วว่าอินจะทำทุกวิถีทางที่จะออกไปจากห้องประตูสีอิฐนี้ให้ได้


เทอมแรกนั้น แต่ละคนจะได้ลงเรียน 6 วิชาค่ะ เป็นวิชาบังคับเสีย 5 วิชา และเป็นวิชาเลือกอีก 1 วิชา วิชาบังคับที่รุ่นของอินต้องได้เรียนเหมือนกันมี 4 วิชาค่ะ คือ ภาษาอังกฤษ การใช้ภาษาไทย (วิชานี้เราแอบเรียกกันค่ะว่าวิชา ไทยแห้งแล้ง มาจากชื่อวิชาภาษาอังกฤษว่า Usage Of Thai Language ค่ะ) วิชาสถิติ (วิชานี้ต้องไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์นะคะ) และก็ Thai Soc วิชาที่เป็นต้นความคิดการล้มห้องเชียร์นั่นเองค่ะ


ส่วนวิชาบังคับอีกวิชาหนึ่งนั้น ต้องข้ามไปเรียนที่คณะสังคมค่ะ แหม...ไกลเหลือเกิน อยู่ตรงข้ามกับคณะมนุษย์แค่ถนนคั่นเองค่ะ มีหลากหลายวิชาให้เลือกสรร ทั้งสังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ กฎหมาย ภูมิศาสตร์ สุดแล้วแต่ว่าเราจะสนใจเรียนเรื่องอะไรนะคะ ของอินเลือกสังคมวิทยาค่ะ  


ที่เหลืออีกหนึ่งวิชา เป็นวิชาเลือกเสรี อันนี้ตามใจฉันแล้วล่ะค่ะ ว่าใครใคร่เรียนอะไร อินเลือกภาษาจีน เด็กปีหนึ่งเลือกภาษาจีน ทั้งที่วิชานี้เป็นวิชาที่พวกรุ่นพี่ปี 3 เขาลงเรียนกัน ออกจะห้าวหาญอยู่ไม่หยอกทีเดียว แต่ที่อินกล้า เพราะอินมีพื้นฐานมาหน่อยนึงนั่นล่ะค่ะ การเรียนก็เลยผ่านไปได้แบบสบายๆ ในขณะที่เพื่อนอินคนอื่นๆ ไม่มีใครเลือกเหมือนอินเลยสักคน เขาเลือกเรียกแมสคอมม์ บ้านและชุมชน อะไรเทือกๆ นี้ ที่มันจะได้คะแนนง่ายๆ กันนั่นล่ะค่ะ มานั่งนึกตอนนี้อินก็เสียดายอยู่ว่าทำถึงไม่เลือกเรียนบ้านและชุมชน ไม่งั้นคงไม่พลาดโอกาสงามๆ แน่ ส่วนโอกาสงามที่อินว่านั้นคืออะไร เดี๋ยวอินมีเฉลยทีหลังค่ะ


อันที่จริงวิชาสถิติเนี่ย ในหนังสือคู่มือลงทะเบียนเขาให้เมเจอร์อินเลือกเอาระหว่าง Math 100 Stat 100 กับ Comp 100 นะคะ แต่วิชาหลังนี่ดันไม่เปิดซะงั้น ส่วนแมทช์ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ทุกคนพร้อมใจตัดทิ้ง ก็เหลือแต่สถิติเท่านั้น อ๊ะ! อย่างนี้ก็เข้าทางอินสิคะ รู้ๆกันอยู่ว่าเด็กสายศิลป์กับเรื่องคำนวณน่ะไปด้วยกันได้ที่ไหน ตอนเรียนมัธยมอินก็ผ่านมาแบบร่อแร่เต็มที่ ดีที่ตอน ม.6 ห้องอินเขาสามัคคีกันลอก เลยผ่านมาได้แบบหวุดหวิดนั่นล่ะค่ะ ใครว่าเด็กห้องคิงไม่มีการลอกข้อสอบเห็นจะเข้าใจกันผิดแล้วล่ะค่ะ



พูดถึงเรื่องลอกข้อสอบตอน ม.6 นี่ คงไม่มีใครเกินห้องอินแล้วล่ะค่ะ พวกเราจะมีการแบ่งความรับผิดชอบให้แต่ละคนรับไปคนละวิชาสองวิชา ของอินได้ภาษาไทย กับประวัติศาสตร์ ค่าที่เจ้าหล่อนครองตำแหน่งทอปมาตลอด พี่คนหนึ่งกลับมาจาก AFS ที่อเมริกา รับวิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตก็เป็นของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ฝรั่งเศสก็เป็นอีกคนหนึ่ง ส่วนการลอกง่ายมากค่ะ ใช้แค่ยางลบก้อนเดียวเท่านั้นเอง เขียนคำตอบแล้วก็เวียนไปทั่วห้อง อาจารย์ก็จับไม่ได้ด้วย (หรือว่าจะจับได้ แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ)


แต่การเรียนระดับมหาวิทยาลัยนั้น การลอกข้อสอบแบบเด็กๆ ที่อินเคยทำมาก่อนนั้น ไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิงค่ะ เพราะข้อสอบเป็นแบบอัตนัยล้วนๆ ถ้ายังขืนรั้นจะลอกให้ได้ ก็เท่ากับรนหาที่แล้วล่ะค่ะ ความคิดใครจะเหมือนกันเป๊ะได้ทุกตัวอักษรขนาดนั้น แถมยังถูกปรับตกอีกต่างหาก แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าเสี่ยงล่ะค่ะ


ประจวบเหมาะกับในตอนนั้น ชีวิตอินเริ่มรู้จักความยุ่งเหยิงที่พาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเพศตรงข้ามเป็นครั้งแรก แล้วยังยึดถือกิจกรรมเป็นเรื่องเอก เรื่องเรียนเป็นเรื่องรองเข้าด้วย หลายสิ่งหลายอย่างก็เลยผสมกลมกลืนเข้าทางไปหมด เหมือนกับสวรรค์เปิดทางเป็นใจให้อย่างนั้นล่ะค่ะ แต่สารพัดเหตุผลที่อินจะอาศัยอ้างได้ว่าทำไมการเรียนของอินลดลงอย่างน่าใจหายนั้น อินว่าสาเหตุสำคัญก็คงเป็นเรื่องวุ่นๆ กับรุ่นพี่คนนั้นล่ะค่ะเป็นเรื่องหลักเลย


รุ่นพี่คนนั้น อินได้เอ่ยถึงมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนแล้วก็รุ่นพี่จังหวัดของอินเองค่ะ อินรู้จักเขาอย่างเป็นทางการจริงๆ ก็ตอนงานแสดงของจังหวัด พี่เขาเป็นเทรนเนอร์ฝึกสอนการแสดงให้ แต่ตอนนั้นอินก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาหรอกนะคะ ถึงเจอกันใน มช. อินก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่ดี ช่วงแรกๆที่เจอกัน พี่เขายังคุยยังเล่นกับอินอยู่เลย ออกจะเป็นพี่ชายที่น่ารักเทคแคร์ดูแลน้องเก่งเสียด้วย


มีอยู่ครั้งนึงค่ะ พี่เขาเห็นอินตัดผมซะสั้นเชียว เพราะก่อนนี้พี่เขาจะชินตากับอินในลุคของเด็กผู้หญิงผมยาวจรดเอวมากกว่า พอมาเห็นอินในลุคใหม่ สายตาพี่เขามีทั้งความประหลาดใจ (อาจเรียกได้เลยค่ะว่าช็อคไปประมาณ 15 วินาทีได้) ปนๆ กับความไม่ชอบใจยังไงก็ไม่รู้ พี่แกถามอินเสียงห้วนเลยนะคะ


“คิดยังไงตัดผม”


“ก็ ไม่มีอะไร ตัดแก้บนเท่านั้นเอง ทำไมเหรอ”


“พี่นึกว่าอินอกหัก”


หา...เอ่อ คนอย่างอินนี่หรือจะอกหัก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถึงอินจะไปอกหักกับใครมาอินก็ไม่มาลงกับผมของตัวเองหรอกค่ะ อุตส่าห์เลี้ยงมาซะยาวขนาดนั้นนี้ แต่เรื่องตัดแก้บนนั่นเป็นเรื่องจริงนะคะ อินบนไว้ว่าถ้าติด มช. อินจะยอมตัดผม แต่ตอนบน อินลืมบอกรายละเอียดว่าขอให้ติดรัฐศาสตร์ เรื่องมันก็เลยโอละพ่ออย่างนี้ล่ะค่ะ (แต่เรื่องที่อินตัดผมนี่ ไม่ใช่แค่พี่หนุ่มคนเดียวที่มีปฏิกิริยาอย่างนี้นะคะ จนอินมาเรียนธรรมศาสตร์แล้ว เพื่อนผู้ชายของอินก็มีท่าทีและพูดในทำนองนี้เหมือนกัน จะว่าผมอินสวยก็ไม่ใช่นะ แต่อินดูเหมือนเขาเสียดายกันอย่างไรก็ไม่รู้ จนป่านนี้อินยังหาคำตอบไม่ได้เลยค่ะ ว่าทำไม)  


“แล้วไปบนอะไรอย่างนั้น เสียดาย”


เอ๋...ชักยังไงๆ แล้วนะคะ ไอ้การที่อินตัดผมหรือไม่เนี่ย มันเกี่ยวอะไรกับพี่เขาด้วยล่ะเน้อ แต่ก็แค่คิดนะคะ อินไม่กล้าถาม ที่อินทำได้ก็มีแต่พูดกลั้วหัวเราะตอบกลับไปเท่านั้นเองค่ะว่า


“เดี๋ยวมันก็ยาวแล้ว ผมอินยาวเร็วจะตายไป ถ้าพี่หนุ่มจะหาว่าอินอกหักนะ ก็คงอกหักเพราะรักพี่นั่นแหละ”    


สาบานได้ค่ะว่าตอนที่พูดไปน่ะ อินไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเลย ไม่คิดด้วยว่าไอ้คำนี้น่ะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นๆ ในอีกสามอาทิตย์ถัดมา ข้างพี่หนุ่มเจอคำนี้ของอินเข้าไปก็วางหน้าไม่ถูก ขี่รถหนีไปซะงั้น


****มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 15:40:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com