Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 7 : วิชาตระกูล Man กับ Prose Writing  

ตอนที่ 7 : วิชาตระกูล Man กับ Prose Writing


หลังจากที่อินเตลิดไปนอกเรื่องซะนาน คราวนี้วกกลับมาเข้าเรื่องเรียนกันอีกทีนะคะ อย่างที่อินเขียนเล่าไว้ในบทก่อนๆ ว่า คณะมนุษย์จะมีวิชาภาคบังคับที่ขึ้นต้นด้วยรหัส 050 อยู่ 7 วิชาด้วยกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ชื่อของวิชาพวกนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย Man เกือบทั้งนั้น นี่อินยังไม่นับวิชา Man & Art ที่ต้องข้ามไปเรียนที่คณะวิจิตรด้วยนะคะ


วิชาตระกูล Man ที่เฟรชชี่ปีหนึ่ง (รุ่นของอิน) จะต้องเจอกันในเทอมแรกก็คือ ไทยแห้งแล้ง วิชานี้อินทราบมาว่า เป็นวิชาพื้นฐานของอีกหลายๆคณะด้วย ชื่อเต็มๆ ของวิชานี่ก็คือ Usage of Thai Language หรือ การใช้ภาษาไทยนั่นเองค่ะ เฉพาะวิชานี้ เมเจอร์ของอินจะล็อกเซคชั่นพิเศษไว้ให้เด็กเมเจอร์โดยเฉพาะ เนื้อหาโดยภาพรวมของวิชานี้ ชื่อก็บอกอยู่โต้งๆ แล้วนะคะว่า เป็นการใช้ภาษาไทย ที่เซคชั่นอื่นเป็นอย่างไรนี่อินไม่แน่ใจค่ะ (แต่อินว่าไม่น่าจะต่างกันเท่าไรนะคะ เพราะวิชานี้ภาควิชาภาษาไทยเป็นผู้รับผิดชอบ) แต่ที่เซคชั่นของอินนี่จะเน้นเรื่องการเขียนมาก พูดง่ายๆก็คือ มีการเขียนเรียงความกันเกือบทุกคาบนั่นล่ะค่ะ (แล้วเรื่องเรียงความกับอินมันถูกโฉลกกันเสียที่ไหน กว่าจะเขียนจบ 1 หน้า เอ4 ได้นี่ อินแทบหืดจับ) เขียนตัวอักษรผิดก็ไม่ได้ เขียนไม่สวยก็จะถูกท่านอาจารย์ติติง สรุปแล้ว วิชานี้ เป็นวิชาที่ใครหลายๆคนค่อนข้างขยาดที่จะเรียนอยู่ไม่น้อยทีเดียว เมื่อผ่านพ้นไปได้ ก็โล่งแล้วล่ะค่ะทีนี้  


วิชาที่สองคือวิชาภาษาอังกฤษ ชื่อเต็มๆ ก็คือ Fundamental English 1 หรือที่พวกอินชอบย่อชื่อวิชาเป็นอิงค์ฟัน ชื่อเหมือนจะสนุกนะคะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอนด้วยล่ะค่ะ ว่าจะสอนได้สนุกแค่ไหน ถ้าสอนเครียดแล้วล่ะก็ เซคชั่นนั้นก็จะมีเด็กๆ โดดเรียนกันเป็นแถว


วิชาที่สาม คือวิชานี้ค่ะ Thai Society and Culture หรือ Thai Soc วิชาที่ก่อกำเนิดตำนานการล้มว้ากของเมเจอร์อินนั่นเอง


สามวิชานี้เป็นแค่เทอมแรกที่เข้ามาเรียนนะคะ ยังเหลืออยู่อีกหลายวิชา ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยมาให้เรียนจนกว่าจะจบปีสองเทอมแรกนั่นล่ะค่ะ



เมื่อเข้าสู่เทอมที่สอง ทีนี้ก็จะทยอยมาอีก 4 วิชา แล้ว ประกอบไปด้วย  Fundamental English 2 , Man & Modern World , Man & Art  และ Integrated Science  เห็นชื่อวิชาวิทยาศาสตร์โผล่มา คงจะงงๆ กันใช่ไหมคะว่ามันโผล่มาได้ยังไง วิชานี้ก็เป็นวิชาพื้นฐานบังคับเหมือนกันค่ะ ชื่อภาษาไทยก็คือ วิทยาศาสตร์บูรณาการ อินเรียนคณิตศาสตร์แย่ก็จริง แต่เรื่องวิทยาศาสตร์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย คะแนนสวยทุกครั้ง จนเพื่อนอินยังเคยค่อนอินเลยค่ะว่า เรียนเลขเกือบตก เรียนวิทย์เกือบได้เอ (อินได้บีบวกค่ะ) ทั้งที่คนส่วนใหญ่ถ้าเลขไม่ดี วิทย์ก็น่าจะไม่ดีตามไปด้วยใช่ไหมคะ แต่สำหรับอินเป็นข้อยกเว้นค่ะ


อิงค์ฟันนี่ อินไม่ขอพูดถึงดีกว่า เพราะพูดถึงทีไร แสลงใจทุกที อินข้ามมาที่วิชา Man & Art ดีกว่า วิชานี้ สาวมนุษย์อย่างอินจะดี๊ด๊ามาก เพราะได้ข้ามถิ่นไปเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ ที่ซึ่งมีหนุ่มผมยาวมาดเซอร์มารวมตัวกันเยอะมาก แต่ความฝันของสาวๆทั้งหลาย ก็ไม่ค่อยจะเป็นจริงนักหรอกค่ะ เพราะเวลาที่เราไปเรียนทีไร แทบจะไม่เคยป๊ะหน้าหนุ่มๆ พวกนั้นเลย เหมือนว่าพวกเขาจะรักนวลสงวนตัวอยู่แต่ในห้องสตูดิโอของพวกเขาอย่างนั้นล่ะ


วิชานี้จะเปิดแค่สองเซคชั่นเท่านั้นค่ะ เช้า 9 โมงครึ่งถึง 11 โมง กับตอนบ่าย 2 โมงครึ่งถึง 4 โมง ความจริงอินได้เรียนเซคบ่าย แต่ชอบลักไก่ไปเรียนเซคเช้า ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เพราะแดดบ่ายตอนฤดูหนาวนี่มันแรงบาดผิวอย่าบอกใครเลย ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ทุกวันอังคารกับวันพฤหัสเนี่ย อินมีเรียนวิชาเดียวก็คือวิชานี้ ถ้าอินไปเรียนตอนบ่าย ช่วงเช้าอินก็ไม่รู้จะทำอะไรรอ ตรงข้ามถ้าอินชิ่งไปเรียนช่วงเช้าซะ ทีนี้ช่วงบ่ายกิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงมันจะเดินเข้ามาหาอินเองค่ะ


Man & Art นี้ สิ่งที่เราจะต้องได้เรียนก็คือประวัติศาสตร์ศิลปะอย่างย่อ เอาแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้นเองค่ะ เพราะอาจารย์คณะวิจิตรท่านก็คงพอรู้ๆอยู่หรอกว่า เด็กต่างคณะพวกนี้เรียนไปพอสอบเสร็จมันก็ลืมหมดซะงั้น ไม่ค่อยมีใครเอาไปต่อยอดวักเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ว่าเราไม่ได้เรียนแต่ในทางทฤษฎีอย่างเดียวนะคะ อาจารย์ท่านยังสั่งงานภาคปฏิบัติให้เราทำด้วย งานชิ้นแรกๆ ไม่ยากค่ะ ท่านแค่ให้เราเขียนเส้นตามอำเภอใจโดยไม่ต้องยกมือให้เต็มหน้ากระดาษเอ4 อันนี้ง่ายค่ะ อินทำได้สบาย แต่ที่มหาโหดมหาหินสำหรับอินคืองานชิ้นที่สอง



งานชิ้นที่สองนี้อินทำไปเกือบร้องไห้ไปมาหลายตลบแล้ว อาจารย์ท่านให้วาดหน้าคนแบบกลับหัวค่ะ คือให้เราหาภาพต้นแบบใครก็ได้มาคนนึง เสร็จแล้วแทนที่เราจะเริ่มต้นวาดตั้งแต่ส่วนศีรษะลงไปอย่างปกติ อาจารย์ท่านก็ให้เราเริ่มวาดจากบริเวณคอไล่ขึ้นมาถึงศีรษะแทน คนที่วาดรูปเก่งๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่สำหรับอิน ซึ่งวาดรูปไม่เป็นเลยนี่ออกจะอาการน่าเป็นห่วง เสียกระดาษเอ4 ไปเกือบครึ่งรีมได้มั้งคะตอนนั้น อินทำสารพัดวิธี ทั้งตีสเกลวาดก็แล้ว เอารูปไปถ่ายเอกสารขยายให้เท่ากับขนาดกระดาษที่จะวาดแล้วก็ลอกลายเส้นก็แล้ว ไม่รอดสักวิธี สุดท้ายหลังจากที่ความพยายามอยู่ที่ไหน ความ...พยายามก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับเล้ย อินก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ และใช้วิธีลักไก่เอาตามเคย ด้วยการวานพี่ชายเพื่อนที่เรียนวิศวะอยู่ช่วยวาดรูปให้แทน ถึงรอดมาได้



ส่วนวิชา Man & Mo(dern World) เนี่ย เป็นหนึ่งในวิชาตระกูล Man 3 วิชาที่สามารถทำให้อินได้เลี้ยงสุนัข วิชานี้ถึงชื่อจะบอกว่าเป็นวิชามนุษย์กับโลกสมัยใหม่ก็ตาม  แต่อินว่ามันคงเป็นโลกสมัยใหม่ที่ออกจะล้ำยุคไปซักหน่อยล่ะมั้ง เพราะหาคนที่เข้าใจในวิชานี้ได้ยากเต็มที และเป็นวิชาเดียวทีห้องเรียนโล่งมาก...ก...ก เรื่องเดียวที่พวกอินพอจะจดจำกันได้ก็คือ คลื่นลูกที่สาม ฐานันดรที่สี่เท่านั้นเอง ที่เหลือ อย่าได้ถามเลยค่ะ แต่ละคนแทบจะปิดตายความทรงจำเกี่ยวกับวิชานี้กันไปหมดแล้ว



และแล้วก็มาถึงเทอมสุดท้ายที่เหล่าเราชาวบ้านสีขาวจะต้องมาเผชิญเคราะห์จากวิชาตระกูล Man กันแล้วนะคะ ทีนี้เราก็เหลือวิชาบังคับอยู่อีกสองวิชาเท่านั้นคือ Man & Communication และ Collect & Present Of Info



เอาวิชา Info ก่อนก็แล้วกันนะคะ วิชานี้โดยภาพรวมออกจะเป็นการสอนให้เรารู้จักคัดเลือกและนำเสนอข้อมูลที่หามาได้ออกสู่สาธารณชนให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างที่สุดนั่นเองค่ะ ความจริงวิชานี้เป็นวิชาที่น่าสนใจนะคะ ถ้าเพียงแต่วิธีการสอนจะไม่น่าเบื่อไปนิดนึง แน่นอนค่ะ ถ้าวิชาไหนออกมาแนวน่าเบื่ออย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาที่นักศึกษาอย่างอินจะสวมวิญญาณทหารโดดร่มหนีเป็นทิวแถว อาจารย์ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วยนะคะ แต่ห้องเรียนวิชานี้จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในวันที่ปิดคอร์สค่ะ นั่นเป็นเพราะว่า วันนั้นมีการบอกข้อสอบนั่นเอง ความที่ข้อสอบวิชานี้เป็นแบบปรนัยเสียครึ่งหนึ่ง และเป็นข้อสอบที่มีคำถามคำตอบอย่างเดียวกันมาทุกปี การได้มาซึ่งคำตอบจะเป็นเรื่องที่นักศึกษาทุกคนต้องการเป็นอย่างมาก เพราะนั่นจะช่วยให้เราใช้เวลากับการท่องหนังสือสอบน้อยลง และยิ่งเราจำคำตอบได้มากเท่าไร โอกาสที่จะได้ A ในวิชานี้ก็จะมากขึ้นด้วย แต่อินคงจำได้น้อยไปนิดหนึ่ง เลยได้มาแค่ B+ เท่านั้นเองค่ะ



มาถึงวิชา Man & Communication หรือที่พวกอินเรียกกันย่อๆว่า Man & Comm กันบ้าง วิชานี้ว่าด้วยเรื่องมนุษย์กับการสื่อสารค่ะ เป็นวิชาที่เบาๆ และสบายที่สุดในกลุ่มวิชาตระกูล Man พวกเราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ ไม่ต้องสอบไฟนอลด้วย แค่ส่งงานเดี่ยว และงานกลุ่มตามที่อาจารย์กำหนดให้ครบเท่านั้นเอง


ความที่คณะมนุษย์มีคนเยอะ ก็เลยจำเป็นต้องแบ่งเด็กที่เรียนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปเรียนกับอาจารย์ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าออกจะเขี้ยวพอสมควร และกลุ่มที่สองจะได้เรียนกับอาจารย์ผู้ชายที่สอนอยู่ภาควิชาภาษาฝรั่งเศสนะคะ อินโชคดีที่ได้อยู่กลุ่มหลังนี้ค่ะ อาจารย์ท่านนี้ท่านจะไม่ชอบเรียกชื่อจริงของนักศึกษาเท่าไร อาจเป็นเพราะจำยาก ท่านก็เลยสมัครใจที่จะเรียกชื่อเล่นของนักศึกษาเสียมากกว่า ตอนนั้นอินยังไม่ได้ลงเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาต่างประเทศที่สองกับท่าน ท่านก็จะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับอินเท่าไร งานกลุ่มก็ไม่เท่าไร แต่ชื่อของอินมาโดดเด่นก็ตอนที่อินทำรายงานเดี่ยวส่งนี่ล่ะค่ะ


อาจารย์ท่านจะกำหนดว่านักศึกษาต้องส่งงานเดี่ยว 1 ชิ้น เป็นการปล่อยฟรีทางความคิด นักศึกษาเลือกหัวข้อที่จะทำรายงานได้เอง ตอนนั้นอินไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ไหนกันแน่ อินถึงเลือกการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา โดยอาศัยนวนิยายเรื่อง “เรื่องของ จันดารา” จะว่าไปนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้โป๊เปลือยอะไรเหมือนกับในหนังหรอกนะคะ แต่ไหงออกมาเป็นหนังแล้วถึงแม่เจ้าโว้ยได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ


ตอนที่อินทำรายงานเรื่องนี้ อินต้องหลบๆซ่อนๆ พิมพ์งานหลังหกโมงเย็นค่ะ ไม่อย่างนั้นถ้าเพื่อนอินรู้ก่อนส่งงานล่ะก็ ไม่เป็นอันได้ทำงานดีแน่ เพราะแต่ละคนจะต้องมาแวะเวียนถามอยู่นั่นแล้ว ไม่รู้ว่าเพื่อนพวกนี้เขาเห็นอินเป็นเจ้าแม่อีโรติกกันไปแล้วหรือยังไง


และแล้วความลับก็แตกโพละ อินไม่คิดว่าอาจารย์ท่านจะเอางานของอินไปพูดชื่นชมหน้าห้องซะขนาดนั้น พอพูดงานของอินจบ ท่านก็กวาดตามองหาคนทำรายงานใหญ่เลย อินงี้แทบม้วนไปอยู่ใต้เก้าอี้ แต่เพื่อนเจ้ากรรมทั้งในเมเจอร์ และนอกเมเจอร์ที่รู้จักชื่อจริงของอินมาก่อนแล้วก็ภูมิใจนำเสนออินเหลือเกิน สุดท้ายอินก็ต้องจำยอมจำใจยกมือแสดงตัวว่าอยู่ที่ไหน ทีนี้ล่ะค่ะ สายตาของทุกๆคนในห้องก็เบนมาที่อินเป็นจุดเดียวกัน ก็จะไม่ให้อินอายได้อย่างไรล่ะคะ ในเมื่อนิยายเรื่องนี้ พวกผู้ชายเขายังไม่กล้าแตะให้เป็นที่ครหาเลย แล้วอินทรายุธคนนี้เป็นใครมาจากไหน แถมเป็นผู้หญิงเสียด้วย แล้วมานั่งวิเคราะห์วิจารณ์ซะขนาดนี้ หน้าอินแดงไม่แดงไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆคือมันร้อนมากๆ คาบนั้นทั้งคาบอินต้องคอยภาวนาให้มันจบลงเร็วๆ อินจะได้ชิ่งหนีกลับหอเสียที


คือ อาจจะสงสัยกันใช่ไหมคะว่า ทำไมอินถึงกล้าเสี่ยงทำเรื่องนี้ ทั้งที่ตัวอินเองแทนที่จะดีใจที่งานได้รับการกล่าวขวัญถึง กลับมานั่งหน้าแดงอยู่อย่างนี้ ต้องขอสารภาพค่ะว่า มันเกินความคาดหมาย อินไม่คิดว่าอาจารย์ท่านจะนำออกมาวิจารณ์งานหน้าห้องอย่างนี้ ตามความเข้าใจอินในเวลานั้นคือ ส่งงานเสร็จ อาจารย์ตรวจให้คะแนนแล้วส่งคืนมาเท่านั้นจบ แต่นี่สงสัยงานอินท่าจะไปสะดุดตาอาจารย์เข้าพอดีหรืออย่างไรไม่ทราบ ก็เลยออกมาอีหรอบนี้ ส่วนคะแนนของงานชิ้นนี้หรือคะ A+ ค่ะ แต่ต้องแลกกับความอายมาพอสมควรเลย


พอเลิกเรียน แทนที่เรื่องรายงานเจ้ากรรมจะจบแค่นั้นนะคะ เปล่าเลยค่ะ เพื่อนอินนั่นล่ะตัวดี ชอบแกล้งอินนักเชียว อินเดินลงบันไดมาแล้วเกือบจะถึงขั้นสุดท้ายแล้วด้วย เพื่อนอินตามออกมาทีหลัง เรียกอินงี้เสียงลั่นเชียว เล่นเอาอินสะดุ้งโหยงเกือบตกบันไดนั่นแน่ะ


“เฮ้ย! รอด้วย...ย ไอ้อิน ไอ้จัน ดารา”


***มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 15:31:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com