ลาวใต้ในความทรงจำ วันที่ 3 สิบโมงครึ่ง
|
|
ลาวใต้ในความทรงจำ วันที่ 3 สิบโมงครึ่ง
ฝั่งที่เราขึ้นดูเหมือนกับว่าจะมีการพยายามสร้างอะไรซักอย่างเพื่อให้ดูเหมือนกับเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่สร้างไม่เสร็จอย่างไรก็ไม่ทราบ ตอนนี้เลยดูเหมือนกับเป็นซากปรักหักพังเสื่อมโทรมมากกว่า
บนฝั่งมีท่ารถที่มีรถจอดเรียงรายกันอยู่พอสมควร เก่าบ้าง ใหม่บ้าง บางคันก็เล่นไม่ได้แล้ว รอเพื่อพาเราไปที่น้ำตกหลี่ผีอยู่หลายคัน คันเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มองไปมองมาที่ด้านหน้าของรถคันใหญ่เค้าทำโครงออกมาให้เป็นรูปหัวช้าง แต่มันผิดรูปพิกลดูๆ แล้วก็ตลกดี
รถคันใหญ่จะเป็นเหมือนรถพาเที่ยวตามสวนสัตว์บ้านเรา คือจะเป็นม้านั่งขวางตามตัวถังรถ เวลาเรานั่งจะหันหน้าไปทางด้านหน้า ส่วนคันเล็กจะเป็นเหมือนรถสองแถวที่ต้องนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ขาไปผมเลือกนั่งรถคันใหญ่ที่ช่วงด้านหน้าของตัวรถ ซึ่งหลังจากขากลับที่ผมกลับมาไม่ทันจนต้องนั่งรถคันเล็กกลับมา ทำให้ผมได้รับรู้ว่านั่งรถคันใหญ่มันดีอย่างนี้นี่เอง
คือรถคันใหญ่จะยกตัวสูงจากพื้นมากกว่ารถคันเล็กจึงทำให้ฝุ่นที่ตลบอบอวลตลอดทางเวลาวิ่งไม่ค่อยฟุ้งกลับเข้ามาในรถครับ ผิดกับรถคันเล็กที่ผมกลับมาเป็นอย่างยิ่ง
เอ่อ...กลับมาที่ขาไปก่อน...
พอคนขึ้นรถกับครบแล้ว ขบวนรถก็เริ่มทะยอยกันเคลื่อนตัวโดยทิ้งระยะห่างไว้พอสมควรเพื่อป้องกันฝุ่นจากคันหน้า ลักษณะถนนจะเป็นถนนลูกรังที่แห้งมากๆ ขนาดรถสองคันสวนกันได้พอดิบพอดีจริงๆ คือถ้ามีรถสวนทางมาอีกคันต้องเบี่ยงตัวหลบแล้วจอดนิ่งๆ ให้อีกคันสวนไป
สองข้างทางเป็นที่นาแห้งผาก ดินแตกระแหงเหลือเกิน บ้านเรือนไม้มุงจากชั้นเดียวยกใต้ถุนปลูกทิ้งช่วงค่อนข้างห่างกันมาก อากาศแบบนี้ทำให้ผมคิดว่าอาจจะละลายได้เลยทีเดียวถ้าลงไปเดิน
วิ่งได้สักพักรถก็พาเราเข้าไปวนแถวเขตชุมชน ที่นี่บ้านก็จะหนาตาหน่อย มองเห็นชาวต่างชาติแถบยุโรปปั่นจักรยานท่องเที่ยวกันหนาตาทีเดียว
สักพักเมื่อรถข้ามแม่น้ำสายเล็กๆ พวกเราก็สังเกตเห็นบ้านเรือนแถวนั้นเอารางรถไฟเก่าๆ ผุๆ มาทำเป็นรั้วบ้าน ซึ่งพวกเราคาดกันว่าก็น่าจะเป็นรางของหัวรถจักรไอน้ำที่โปรแกรมการท่องเที่ยวแนะนำนั่นเองครับ
อาจจะเป็นเพราะว่าที่ลาวนี่ยังไม่มีการจัดการเรื่องแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้อย่างจริงจังสักเท่าไหร่ ของหลายๆ อย่างก็เลยไม่ได้มีการเก็บอนุรักษ์เอาไว้
พอพ้นตรงนั้นไปหน่อยเดียว สิ่งที่อยู่ตรงขวามือก็ทำให้ผมถึงกับตะลึงประมาณว่าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
มันเป็นหัวรถจักรไอน้ำนั่นเองครับที่ตั้งอยู่ที่นั่น แต่ที่ตะลึงเพราะผมไม่คิดว่ามันจะเล็กขนาดนี้ แถมสภาพทรุดโทรมมากแล้วก็ตั้งเฉยๆ ตากแดดตากลมไว้อย่างนั้นอีกต่างหาก ประมาณว่าไม่ได้มีการจัดที่จัดทางหรือดูแลอะไรเลย
ตรงนี้บอกตรงๆ ว่าผิดหวังมาก ตอนแรกที่บอกว่าจะมาดูหัวรถจักรที่น้ำตกหลี่ผี ผมนึกว่าจะเป็นหัวรถจักรใหญ่ๆ ที่ตกลงไปในน้ำตกแล้วขวางลำอยู่ซะอีก (บังเอิญว่าไม่ได้ดูโบรชัวร์ครับ)
อีกซักพักรถก็จอดเพื่อให้พวกเราเดินต่อเข้าไปยังน้ำตก ตรงนี้ถ้าไม่นับที่อากาศร้อนสุดๆ กับฝุ่นที่ยังคงเยอะอยู่ก็นับว่าเดินได้ค่อนข้างสบายเพราะเป็นทางราบ
เราก็เดินชมไม้แห้งๆ ไปพลาง ดูของกินของขายรายทาง (ซึ่งมีไม่มาก) ไปพลางก็มาถึงบริเวณน้ำตกซึ่งมีของกินของขายมากมายเกินเหตุจนผมคิดว่าทำให้บรรยากาศเสียไปมากทีเดียว
บางคนก็เดินไปเก็บภาพน้ำตกกัน บางคนก็หาซื้อของกิน ส่วนผมรีบจ้ำอ้าวไปที่ห้องน้ำก่อนเลยครับ ต่อคิวพักหนึ่งผมก็ได้เข้า แต่ว่าเนื่องจากกระเป๋ากล้อง ตัวกล้อง และหมวกกับผ้าปิดจมูกที่อยู่เต็มตัวเต็มมือของผมนั่นล่ะครับ ทำให้พอผมพยายามจะรูดซิปกางเกงผมก็เลยทำผ้าปิดจมูกตกลงในส้วม
และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ในตอนขากลับถึงคำร่ำลือเรื่องฝุ่นของที่นี่ บอกตรงๆ ว่าเศร้ามากๆ ผมแทบจะสำลักฝุ่นตายเสียให้ได้เลยทีเดียว
จัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จผมก็เดินตามไปเก็บรูปที่น้ำตกบ้าง แต่นักท่องเที่ยวที่นี่เยอะพอสมควรทีเดียวทำให้ถ่ายตรงไหนก็ติดแต่คน แล้วอีกอย่างผมถ่ายรูปวันแรกเยอะเกินไปรึยังไงไม่ทราบทำให้ผมรู้สึกเอียนๆ แล้วก็ตื้อๆ ยังไงชอบกลเวลาจะกดถ่ายแต่ละใบ เหมือนมันนึกไม่ออกว่าจะถ่ายอะไร
ตัวน้ำตกที่นี่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเหมือนน้ำตกเท่าไหร่ครับ มันเป็นเหมือนลำน้ำที่น้ำไหลแรงๆ มากกว่า ไม่มีท่วงท่าชั้นเชิงเอาเสียเลยในความคิดผม (อันนี้ไม่ชอบเป็นการส่วนตัวครับ)
สองข้างของลำน้ำตกจะเป็นโขดหินซะส่วนใหญ่ครับ ทางไกด์ให้ข้อมูลว่าเป็นเพราะว่าเรามาในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูฝนน้ำก็เลยเหลือไม่มากอย่างที่เห็น ถ้ามาช่วงฤดูฝนน้ำจะเต็มไปหมดจนไม่เห็นเกาะแก่ง ไม่เห็นหินเลย แถมกระแสน้ำก็จะไหลแรงมากด้วย
ทางไกด์ให้ข้อมูลอีกว่า คำว่า "หลี่ผี" แปลตรงๆ ตัวว่า "จับผีหรือดักผี" ครับ (ไม่แน่ใจว่าผมจำผิดรึเปล่านะครับ คุ้นๆ ว่าหลี่เป็นเครื่องมือจับปลาหรืออะไรประมาณเนี้ยครับ แต่เอาเป็นว่าแปลได้ประมาณนั้นละกัน)
เค้าเล่าว่าสมัยก่อนที่ยังมีการรบกัน พอมีการตายเกิดขึ้นเค้าก็จะเอาศพมาโยนทิ้งที่ลำน้ำแห่งนี้ ศพก็จะลอยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาติดอยู่ที่นี่ เค้าก็เลยตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า "น้ำตกหลี่ผี" ครับ
เดินไปเดินมาแค่ครู่เดียวผมก็ไม่รู้ว่าจะดูอะไรต่อดี ก็เลยเก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย แต่พอหันกลับมาอีกทีก็พบว่าแถวนั้นแทบไม่มีคนอยู่แล้ว พอเห็นอย่างนั้นผมก็เลยจ้ำอ้าวออกมาทันทีครับ (เกือบจะคนสุดท้ายเลยที่เดินออกมา)
และก็นั่นล่ะครับที่ทำให้ผมต้องนั่งรถคันเล็กแถมอยู่ด้านหลังสุดอีกต่างหาก เวรกรรมแท้ๆ เชียว รถแล่นกลับมาตามทางเดิมด้วยความรู้สึกแตกต่างจากขาเข้าน้ำตกลิบลับ และเมื่อกลับมาถึงที่หมายพวกเราก็เดินกลับมายังจุดรอเรือ
ตรงนั้นก็มีของขายกันพอประมาณเหมือนกันทั้งผ้าถุง ของประดับบ้าน กาแฟ น้ำอัดลม แต่ที่เห็นว่าคนซื้อกันเยอะก็น่าจะเป็นมะยมดองครับ (ไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า แต่จากที่เห็นก็น่าจะเป็นมะยมดอง)
สำหรับผม ผมไม่ได้ซื้ออะไรกินหรอกครับโดยเฉพาะของดองในสถานที่ๆ ห้องน้ำไม่เอื้ออำนวยแบบนี้ เอามือลูบหัวลูบหน้าจนฝุ่นทรายที่ติดอยู่หลุดออกไปพักหนึ่งเรือก็เทียบท่าพอดีเมื่อประมาณเกือบๆ จะบ่ายโมง
วันที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8058581/W8058581.html
วันที่ 2 แปดโมงเช้า
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8067511/W8067511.html
วันที่ 2 สิบโมงครึ่ง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8078605/W8078605.html
วันที่ 2 เที่ยงครึ่ง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8090063/W8090063.html
วันที่ 2 สี่โมงครึ่ง (เย็น)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8101998/W8101998.html
วันที่ 3 เจ็ดโมงเช้า
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8217981/W8217981.html
รถโดยสารหัวช้าง
เมื่อพร้อมก็เริ่มเคลื่อนขบวน
จากคุณ |
:
KTHc
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ส.ค. 52 22:25:57
|
|
|
|