Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แก้วเก้าเนาวรัตน์ : Sniper warrior - - chapter 1-4  

...

        ภาพเบื้องหน้าที่ทั้งสมหมายและเปลวเทียน รวมทั้งคนอื่นๆ เห็นอยู่ในขณะนี้คือ ตู้โบกี้รถไฟตู้หนึ่ง พลิกตะแคงติดอยู่กับเสาทางด่วนพิเศษที่อยู่กลางถนนในสภาพพังยับเยิน และมีรถยนต์อีกหลายคันที่คาดว่าห้ามล้อไม่ทัน จึงสวนอัดกระแทกเข้าไปในหลังคาของตู้โบกี้นั้นเป็นแถวยาว ในขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังนำรถเครนยกซากรถที่อัดจนแทบจะนึกสภาพเดิมของรถยนต์เหล่านั้นไม่ออก รถของสมหมายค่อยๆ เครื่องผ่านที่เกิดเหตุซึ่งเหลือเพียงช่องการจราจรเดียวไปอย่างช้าๆ จึงทำให้เปลวเทียนสามารถสังเกตการณ์ได้อย่างชัดเจน

        เปลวเทียนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าคนอื่น จึงทำให้เขาสามารถมองเห็นไปยังฝั่งตรงกันข้ามที่อยู่ไกลออกไป เขาสามารถมองเห็นพื้นถนนอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นรอยไถลจากตู้โบกี้จนทำให้พื้นถนนที่ลาดด้วยยางมะตอยแตกกระจายเสียหายเป็นร่องยาวและลึก มี่รถยนต์บางคันที่น่าจะหักหลบอย่างกะทันหันเพราะเห็นทางถูกตัดขาด จึงพุ่งเข้าไปชนกับต้นไม้ข้างทาง ส่วนรถยนต์บางคันด้านหน้ารถยนต์ถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนชิ้นส่วนกระจาย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างออกมาจับกลุ่มล้อมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นขนัด ลำบากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องกันคนออกห่างจากพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์อันวุ่นวาย

        หลังจากหลุดพ้นจากบริเวณนั้นมาได้ สภาพการจราจรก็กลับคืนสู่เหตุการณ์ปกติ สมหมายก็เริ่มเร่งความเร็วรถอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วไม่นานหลังจากนั้น สมหมายก็ขับรถจอดเทียบเข้าข้างทาง เขาเดินลงมาจากรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่ค่อยสูดีนัก

        “ไอ้เปลว ข้ามีเรื่องจะบอกเอ็ง”

        เด็กหนุ่มทำหน้าตาสงสัย แล้วเอ่ยถามขึ้น

        “มีอะไรอย่างนั้นรึลุงหมาย”

        ชายวัยกลางหัวเราะแหะแบบแบ่งรับแบ่งสู้

        “อย่าหาว่าข้าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะไอ้เปลว ที่จริงข้าก็อยากจะไปส่งเอ็งให้ถึงบ้านย่าของเอ็งนั่นเลยนะ แต่ว่า...ตอนนี้ข้าคงไปส่งเอ็งให้ถึงที่ไม่ได้เสียแล้ว” สมหมายพูดมาถึงตรงนี้เปลวเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าสมหมายนั้นมีเรื่องคับข้องใจอะไร ชายวัยกลางบอกต่อไป “เพราะข้าจะต้องรีบเอาผลไม้ไปส่งที่ร้านของเขาให้ทันเสียก่อนที่ร้านเขาจะปิด ไม่อย่างนั้นสงสัยเจ้าของร้านคงเอ็ดข้าเสียยกใหญ่เลยทีเดียว”

        เปลวเทียนยิ้มยิงฟันกว้าง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ

        “ไม่เป็นไรหรอกลุง...เดี๋ยวฉันไปต่อเองได้ ไม่ต้องห่วง”

        เปลวเทียนพูดจบก็กระโดดลงจากกระบะท้าย พร้อมกระเป๋าสัมภาระของตนเอง

        “เอ็งไปได้แน่นะ ข้าชักเริ่มไม่ไว้ใจเสียแล้วสิ” สมหมายถามขึ้น สีหน้าแสดงออกถึงความไม่มั่นใจในตัวของเด็กหนุ่มอย่างมาก “หรือเอาอย่างนี้ เอ็งก็นั่งรถไปส่งผลไม้กับข้าก่อน พอส่งเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าค่อยขับรถไปส่งเอ็ง”

        “โหย...ถ้าอย่างนั้นคงลำบากลุงหมายแน่เลย ฉันว่า ลุงไปส่งผลไม้ดีกว่า ส่วนจากตรงนี้ฉันไปเองได้ที่อยู่บ้านย่าของฉันก็มี” เปลวเทียนพูดพลางหยิบเศษกระดาษที่ถูกพับออกมาจากกระเป๋ากางเกงชุให้สมหมายดู “เชื่อใจฉันเถอะ”

        “ต้องขอโทษเอ็งจริงๆ เถอะว้า”

        เปลวเทียนก็โบกมือไปมาด้วยรอยยิ้ม สมหมายครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบธนบัตรใบละ 100 บาทจำนวน 2 ใบ ในกระเป๋าเสื้อของตนเองยื่นส่งไปให้กับเปลวเทียน

        “ให้ฉันทำไมรึ” เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัย

        “ข้าไม่ได้ส่งเอ็งถึงที่หมายตามที่รับปากแม่ของเอ็งไว้ ข้าก็แค่อยากจะคืนเงินบางส่วนที่แม่เอ็งจ้างข้าให้มาส่งเอ็งที่กรุงเทพ” เปลวเทียนได้ฟังดังนั้นก็รีบปฏิเสธลั่น
“ฉันรับไม่ได้หรอก นั่นมันเงินที่แม่ฉันให้ลุงไว้เติมน้ำมัน”
“เอาไปเถอะ รถข้ามันไม่ได้กินน้ำมันอะไรมากมาย แล้วอีกอย่าง อย่าให้ข้ารู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลยวะ เงินที่ไม่สมควรได้รับ ตายไปข้าจะตกนรกเปล่าๆ”

        เปลวเทียนพยายามปฏิเสธ แต่สมหมายก็พยายามคะยั้นคะยอจนในที่สุดเปลวเทียนก็จำใจต้องรับเงินนั้นมา หลังจากนั้นสมหมายก็ขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ

        “เดินทางดีๆ ละไอ้เปลว ถนนหนทางในกรุงเทพซับซ้อนจนดูน่ากลัวก็จริง แต่ไม่น่ากลัวเท่ากับคนในเมืองหรอกนะ”

        “ฉันรู้หรอกน่า...เมื่อคืนแม่ฉันก็กรอกหูเรื่องเดียวกับที่ลุงบอกทั้งคืนแล้ว” เปลวเทียนตอบยิ้มขำ

        “เออ...ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ โชคดีนะโว้ย”

        เปลวเทียนยกมือไหว้ตามธรรมเนียม สมหมายโบกมือรับไหว้ของเปลวเทียนก่อนที่จะเร่งเครื่องรถออกไป ในขณะนั้นที่อีกฝั่งหนึ่งของถนนก็มีรถพยาบาลหลายคันกำลังวิ่งผ่านหน้าของเปลวเทียนตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นบนถนนสายหลักก็แทบจะไม่มีรถคันใดวิ่งผ่านมา เปลวเทียนมองซ้ายที ขวาทีอย่างเคว้งคว้างหาทางไปต่อไม่ถูก การเดินทางมาเมืองหลวงครั้งแรกของเขาเริ่มเกิดอุปสรรคขึ้นเสียแล้ว แต่ก็ยังนับว่าเขาโชคดีอยู่บ้าง เพราะในขณะนั้นมีรถแท็กซี่คันหนึ่งกำลังเลี้ยวออกมาจากซอยเล็กๆ ซึ่งไม่ห่างจากที่เขายืนอยู่ ตรงหน้ากระจกที่มุมขวามีตัวอักษรไฟสีแดงว่า “ว่าง” เขาไม่รอช้ารีบโบกเรียกรถแท็กซี่คันนั้นทันที

        เปลวเทียนบอกจุดหมายปลายทางทันทีที่เปิดประตูด้านหลังออก คนขับแท็กซี่เป็นชายวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกแก๊ป เขาเอี้ยวคอมองลอดใต้ปีกหมวกเมื่อได้ยินถึงปลายทางที่เปลวเทียนบอก ชายคนนั้นพยักหน้าแทนคำตอบ เปลวเทียนจึงรีบขนกระเป๋าสัมภาระของตนเองขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นอย่างรวดเร็ว รถแท็กซี่คันใหม่เอี่ยมค่อยเครื่องที่ออกไป ทั้งความเงียบ และความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแตกต่างกับตอนนั้นติดท้ายกระบะมาโดยสิ้นเชิง คนขับแท็กซี่มองผ่านกระจกหลังมาที่เด็กหนุ่มและถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง

        “พึ่งมาจากต่างจังหวัดรึ...น้องชาย”

        “ครับ พึ่งลงรถได้สักครู่ที่ผ่านมานี่เอง” เปลวเทียนยิ้มยิงฟันตอบ

        “ดูท่าทางคงจะเดินทางมาทั้งวันเลยสิท่า”

        “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มอยู่เช่นนั้น

        “ว่าแต่...ซอยที่น้องชายจะไปนี่ นอกจากบ้านของ เจ้าคุณเทพินทร์สถิตวงศ์ แล้ว...ผมไม่เคยเห็นบ้านคนอื่นอีกนะ”

        “เอ๋...พี่ชายเคยผ่านด้วยรึครับ”

        “เคยสิ ผมเคยไปส่งคนที่อยู่บ้านหลังนั้นมาครั้งหนึ่ง เห็นแปลกดีเลยจำได้ ว่าแต่น้องชายเป็นญาติกับคนบ้านนั้นอย่างนั้นรึ”

        “ผมเป็นหลานห่างๆ นะครับ โชคดีจริงๆ ที่พี่ชายรู้จักทาง”

        “ช่าย...ช่างเป็นโชคดีจริงๆ”

        ประโยชน์สุดท้ายชายคนขับแท็กซี่พูดออกมาเบาๆ พร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มลึกลับขึ้นมา และแล้วการสนทนาของทั้งสองก็ยุติลงเพียงเท่านั้น รถแท็กซี่ยังคงแล่นไปตามเส้นทางบนถนนสายหลักของเมืองหลวง เปลวเทียนนั่งมองบรรยากาศภายนอก ที่มีทั้งแสงไฟหลากสีสันจากร้านค้ายามค่ำคืน ตึกแต่ละหลังก็สูงระฟ้าจนต้องแหงนมองคอแทบจะตั้งบ่า ราวกับเป็นเมืองหลวงที่ไม่มีวันหลับ แต่คนที่กำลังจะหลับอยู่ในขณะนี้คือเปลวเทียน เขาเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆ ทีวันนี้แทบจะทั้งวัน เขาเสียพลังงานในการนอนมากกว่าทำอย่างอื่นเสียอีก ในไม่ช้าเขาก็ผล็อยหลับฟุบกับกระเป๋าเดินทางของตนเองไป ชายคนขับรถแท็กซี่ปรับกระจกมองหลังกลับมาที่เดิมด้วยความพอใจที่เห็นเด็กหนุ่มหลับไปโดยไม่รู้เรื่องราวใดๆ รอยยิ้มที่มุมปากแบบเดียวกับที่ชายคนขับแท็กซี่ยิ้มในตอนแรก รวมกับสายตาที่มองฝากกระจกหลังไปที่เด็กหนุ่ม นอกจากความลึกลับแล้วก็ไม่สามารถสื่อความหมายใดๆ ได้อีก

+   +   +

        รถแท็กซี่คันใหม่เอี่ยมที่เปิดเพลงดังสนั่นไปทั้งคัน บรรทุกผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด กำลังขับลัดเลาะไปตามเส้นทางอันขรุขระที่ห่างไกลจากถนนสายหลัก ใครจะคิดว่าอาณาบริเวณของเมืองหลวงที่ควรจะมีแต่ความศิวิไลซ์ จะครอบคลุมพื้นที่บางแห่งที่ยังมีแต่ที่รกทึบไปด้วย และแล้วรถแท็กซี่คันนั้นก็เข้ามาจอดอยู่ที่หน้าบ้านร้างหลังหนึ่ง ชายคนขับแท็กซี่หันมองมาที่เบาะหลังก็ยังพบว่าเด็กหนุ่มคนที่เขารับมานั้นยังคงนอนหลับสนิท

        “ยังหลับอยู่อีกรึ ท่าทางจะเหนื่อยจริงๆ นะแกนี่ ทั้งๆ ที่ฉันให้ยาสลบไปนิดเดียวเอง ถ้าอย่างนั้นก็นอนหลับไปอีกสักครู่เถอะนะ รอฉันจัดการกับงานเสร็จแล้ว จะรีบกลับมาจัดการกับแกเป็นรายต่อไป”

        ชายคนขับพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงอันดังสนั่น หลังจากนั้นก็ดึงที่เปิดฝากระโปรงท้ายรถที่อยู่ใต้เบาะนั่งออก แล้วก็เปิดประตูเดินไปที่ท้ายรถ ระหว่างนั้นชายคนขับแท็กซี่ก็พูดพล่ามอะไรไปเรื่อยด้วยความบ้าคลั่งที่เริ่มปรากฏขึ้นทีละนิด เมื่อชายคนนั้นเปิดฝากระโปรงท้ายรถขึ้นมาก็พบกับชายอีกคนหนึ่ง รูปร่างผอมบาง แก้มตอบ เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าและกางเกงขายาวสีดำเหมื่อนกับชายคนขับแท็กซี่ นอนอยู่ในท้ายรถนั้น ทั้งมือและเท้าถูกมัดด้วยเชือก ส่วนที่ปากมีผ้าผืนหนึ่งมัดเอาไว้เพื่อไม่ให้สามารถพูดได้ ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ กำลังดิ้นไปมาเพื่อหาทางรอด แต่เมื่อพบกับคนที่จับตนเองมาใส่เอาไว้ในท้ายรถ สายตาของชายคนที่ถูกมัดมองจ้องไปยังชายคนขับแท็กซี่ด้วยความคับแค้นใจ

        “มามะ...อย่ามัวแต่นอน ออกมานี่”

        ชายคนขับแท็กซี่ไม่พูดเปล่าเขาจัดการกระชากคอเสื้อของชายที่ถูกมัดออกมาจากท้ายรถ ชายคนที่ถูกมัดไม่สามารถพยุงตัวได้จึงกลิ้งลงมานอนเอาหน้าวัดพื้นด้วยความเจ็บปวด ชายคนขับแท็กซี่ใช้เท้ายันที่ไหล่ด้านหนึ่งเพื่อให้คนที่ถูกมัดพลิกตัวหงายหน้าขึ้นมา ต่อจากนั้นชายคนขับแท็กซี่ก็ดึงปลายเชือกที่เหลือจากการมัดที่ขา ลากคนที่ถูกมัดเข้าไปในบ้านร้าง ชายคนขับแท็กซี่พูดพร่ำไปตลอดทางด้วยความสบายใจ

        “วันนี้ช่างโชคดีสำหรับฉันเหลือเกิน นอกจากจะได้รถแท็กซี่คันใหม่เอี่ยมแล้ว ยังจะได้แก้แค้นกับเจ้าเด็กที่เป็นญาติกับยัยคุณนายบ้านเทพินทร์สถิตบ้าอะไรนั่นอีกด้วย สงสัยสวรรค์คงเห็นใจฉันที่ถูกยัยคุณนายนั่นกลั่นแกล้ง คิดจะโกงฉันยังไม่พอ ยังคิดจะเอาฉันออกจากงานด้วย แต่ตอนนี้เป็นทีของฉันแล้ว อยากเห็นหน้ายัยคุณนายนั่นจริงๆ ว่าถ้ามันเห็นหลานของมันตายอยู่ในบ้านร้างนี่จะเป็นยังไงกันนะ พวกมันจะได้รู้เสียมั่งว่า อย่ามาเล่นกับ แสนศักดิ์คนนั้น”

        แสนศักดิ์ ลากชายคนที่ถูกมัดเข้ามาที่มุมห้องในบ้านร้าง ชายคนที่ถูกมัดนอนพลิกตะแคงหายใจยอย่างเหนื่อยหอบเสื้อด้านหนึ่งเริ่มขาดวิ่นเพราะไปเกี่ยวเข้ากับเศษหินจนผิวหนังเป็นรอยถลอก

        “ขอบใจนะสำหรับรถของแก...เดี๋ยวฉันจะช่วยเอาไปใช้ให้ รถมันคงชอบถ้าได้วิ่งไกลๆ ว่าแต่แกอยากให้รถของแกไปจอดชมทิวทัศน์ที่ไหนดีละ พม่าหรือลาวดี ช่วยกันคิดหน่อยสิ แล้วฉันจะมอบรางวัลให้ถ้าแกช่วยฉันคิด เอาเป็นอะไรดีละ เงินฉันไม่มีให้หรอกนะ เพราะโดนยัยคุณนายหน้าเลือดนั่นเอาไปหมดแล้ว หรือว่าแกอยากจะเป็นคนดัง” แสนศักดิ์พลิกหน้าชายคนที่ถูกมัดไปมา “ใช่ ดูจากลักษณะท่าทางของแกนี่เหมาะกับเป็นคนที่มีชื่อเสียงนะ เอาอย่างนี้สิฉันจะช่วยให้แกมีชื่อเสียงเป็นรางวัลให้แกเอาไหม ในฐานะเป็นผีเฝ้าบ้านร้างหลังนี้ รับรองว่าแกจะได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเป็นแน่แท้เชียว”

จากคุณ : Monkey {D} Gap
เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 52 21:24:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com