บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 9 : ออกภาคสนาม
|
|
ตอนที่ 9 : ออกภาคสนาม
ใครที่เคยคิดว่าการเรียนภาษานั้น ต้องมีแต่ตัวหนังสือ และต้องเรียนแต่ภาคทฤษฎีเท่านั้น เห็นทีจะเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัดทีเดียวค่ะ อินเองก็เคยคิดอย่างนี้ตอนที่เรียนภาษาไทยใหม่ๆ ว่าชีวิตนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทยนี้ เห็นจะต้องหอบพจนานุกรม หอบตำราเรียนไวยากรณ์กันเป็นตั้งๆ แน่เลย แต่ผิดคาดค่ะ มาเรียนภาษาไทยก็ต้องมีออกภาคสนามกับเขาด้วย แถมไม่ได้ออกภาคสนามแต่ในเมืองเชียงใหม่นะคะ ต้องข้ามภูเขากันเป็นลูกทีเดียว เด็กหลังเขาของแท้ค่ะงานนี้
วิชาที่อินรู้แน่ๆ ตอนเรียนอยู่ปี 3 ว่าจะต้องมีเก็บข้อมูลก็คือวิชาคติชนวิทยา หรือในชื่อวิชาภาษาอังกฤษที่แสนจะไพเราะเพราะพริ้งว่า Folklore นะคะ แต่อินยังไม่ได้ลงเรียนวิชานี้พร้อมเพื่อนหรอกค่ะ เพราะอินต้องไล่เก็บวิชาภาษาต่างประเทศที่ 2 ซึ่งเป็นวิชาบังคับเลือกให้ครบสี่ตัวเสียก่อน ซึ่งตอนที่อินอยู่ปี 3 เทอมสองนั้น วิชาภาษาฝรั่งเศสที่อินลงเรียนนั้นก็เป็นตัวสุดท้ายพอดี แถมเวลายังมาชนเข้าเต็มๆกับวิชานี้อีก อินก็ต้องตัดใจเลือกวิชาใดวิชาหนึ่งระหว่างวิชาเมเจอร์กับฝรั่งเศส ซึ่งถ้าอินเลือกตัวเมเจอร์ การที่อินจะเรียนจบภายในเวลาสามปีครึ่ง ก็จะต้องผิดแผนทันที เพราะภาษาฝรั่งเศสนั่นจะเปิดแค่เทอมสองเทอมเดียว ในทางกลับกันถ้าอินเลือกฝรั่งเศส วิชา Folklore นี่ จะเป็นวิชาที่เปิดทั้งสองเทอม เพียงแต่ว่าอินจะไม่ได้เรียนกับเพื่อน แต่ไพล่ไปเรียนกับรุ่นน้องแทน หลังจากที่อินคิดสะระตะดีแล้ว อินก็ขอเลือกฝรั่งเศสไว้ก่อนล่ะค่ะงานนี้
ความจริงตอนที่อินลงทะเบียนเรียนระดับชั้นปีที่ 3 เทอมสองนี้ ทำให้อินทะเลาะกับอาจารย์ที่ภาควิชามารอบนึงแล้ว ค่าที่อินไม่สามารถลงทะเบียนวิชาของเมเจอร์ได้ คือ จะเรียกว่าทะเลาะก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เอาเป็นว่าเป็นความขัดแย้งที่อินไม่อาจจะยอมตัดใจปล่อยวางได้ก็แล้วกัน
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันนั้นเป็นวันที่ 6 ตุลาคม 2543 (ดูนะคะ ขนาดวันที่ยังจำแม่นขนาดนี้ แปลว่างานนี้อินแค้นฝังหุ่นของจริงเลยล่ะ) ซึ่งเป็นวันที่ผลการลงทะเบียนเทอมสองออกมาแล้ว และหลังจากนี้นักศึกษาก็จะต้องยุ่งๆ อยู่กับเรื่อง Add-Drop กันพอสมควรเลย ผลลงทะเบียนของอินนั้น อินลงไป 7 วิชา 21 หน่วยกิตเต็มอัตราศึกค่ะ แต่ได้มาแค่ 6 วิชา วิชาที่ไม่ได้ก็คือ Poetry Writing หรือวิชาการเขียนร้อยกรอง (ปัจจุบันวิชานี้ถูกยุบ และเปลี่ยนชื่อไปเป็นชื่ออื่นแล้วนะคะ)
จริงอยู่ค่ะว่าวิชานี้เป็นวิชาของปี 4 และเป็นวิชาเอกเลือก แต่จากการที่อินไล่ถามรุ่นพี่ปี 4 มาหลายคนแล้ว ทุกคนยืนยันตรงกันว่า ปีสามก็เรียนได้ ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะมีวิชาเมเจอร์ของปีสี่หลายวิชาเลย ที่อินเริ่มลงมาตั้งแต่เรียนปีสองเทอมสอง ซึ่งส่วนใหญ่อาจารย์ที่ภาควิชาก็จะหยวนๆ ให้กันอยู่แล้ว เพราะทุกปีก็มีนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทยขอทำเรื่องจบสามปีครึ่งกันพอสมควร
ทันทีที่อินทราบผลการลงทะเบียน อินก็ต้องวิ่งขึ้นไปบนภาควิชาเพื่อพบกับอาจารย์ผู้สอนวิชาร้อยกรองนี้ เพื่อขอ Add วิชานะคะ แต่ท่านไม่ให้ อ้างคำเดียวว่าเป็นวิชาของปีสี่ ให้แต่ปีสี่เรียนเท่านั้น อินอยู่ปีสามจะลงได้ยังไง ถ้าเอาตามคำพูดของท่านก็ถูกอยู่ แต่ถ้าใครมาเห็นวิชาที่อินลงแต่ละวิชารับรองไม่คิดอย่างนี้แน่ค่ะ เพราะอินเก็บวิชาของปีสามเกือบครบแล้ว เหลืออยู่ก็แต่ Folklore ที่อินว่าวิชาเดียวเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือ วิชาปีสามอินเก็บเรียบหมดแล้วนั่นเองค่ะ ที่อินจะลงได้ก็เหลือแต่วิชาปีสี่เท่านั้น วิชาอื่นอินก็ไม่เห็นมีปัญหาเท่าวิชานี้นะคะ
ผลการเจรจาก็คือ อินยืนกระต่ายขาเดียวจะลงให้ได้ และอาจารย์ท่านก็ยืนยัน นั่งยัน (เผลอๆ อาจจะยันอินโครมออกมานอกห้องด้วย ถ้าทำได้) ไม่ให้อินลงเช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ท่านอ้างมาข้างต้น แต่แค่นี้คงไม่ทำให้อินแค้นฝังหุ่นได้หรอกค่ะ ถ้าหากว่ามันจะไม่มีเหตุหนึ่งเกิดขึ้น
มาถึงตรงนี้แล้ว กรุณาย้อนกลับไปอ่านเหตุผลของท่านอาจารย์ดูอีกครั้งนะคะ ท่านบอกว่า ให้เฉพาะปีสี่ลงเท่านั้น ใช่ไหมคะ แต่เมื่ออินไปเช็ครายชื่อคนที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้จากทางอินเทอร์เนต รายชื่อนักศึกษาขึ้นหราเลยค่ะ จริง มีชื่อพี่ปีสี่ลงเรียนยาวเชียว แต่มีสองชื่อที่โดดขึ้นมา เป็นชื่อของนักศึกษาชั้นปีที่สาม คณะศึกษาศาสตร์ เอกวิชาภาษาไทย ควันออกหูอินสิคะงานนี้ อินแล่นขึ้นไปบนภาควิชาอินอีกครั้ง พร้อมกับเรื่องที่อินไปเจอมา ทายสิคะว่าอาจารย์ท่านนี้ ท่านพูดว่าอย่างไร
อ้าว..เหรอ มีหลงมาด้วย
ค่ะ สั้นเท่านี้เองจริงๆ เรื่องอินของขึ้นงานนี้เป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ปีสี่เลยล่ะค่ะ เพราะอินมีพี่ปีสี่กลุ่มหนึ่งที่ออกจะซี้กันอยู่เรียนฝรั่งเศสกับอินด้วย ไม่ว่าใครได้ยินเหตุผลของอาจารย์ท่านนี้ต่างก็แสดงความแปลกใจทั้งนั้นว่าทำไมถึงลงไม่ได้ และเหตุผลที่ท่านให้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลยสักนิดเดียว ซ้ำร้ายเจ้าปีสามคนที่ได้นั่นก็เป็นเพื่อนอินเองเสียด้วย มันสองคนก็ยังลอยหน้าเรียนได้หน้าตาเฉย คราวนั้นอินแค้นจนร้องไห้เลยนะคะ ถึงขั้นสาบานกับตัวเองเลยว่าถึงฉันจะจบสามปีครึ่ง ฉันก็ต้องกลับมานั่งเรียนวิชานี้ มานั่งเสนอหน้าเรียนให้จงได้ อินว่าร้องไห้เพราะแค้นนี่ น่ากลัวกว่าร้องไห้เพราะเสียใจนะคะ เพราะถ้าเราเสียใจ น้ำตามันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าความแค้นนี่ มันยิ่งทำให้เราแค้นหนักขึ้นกว่าเก่าอีกค่ะ อินจำได้ว่าเทอมนั้นทั้งเทอมบวกกับตอนปีสี่เทอมแรกอีกนิดหนึ่ง อินไม่ยอมมองหน้าอาจารย์ท่านนั้นเลย อาจารย์ท่านอื่นๆ ก็คงพอรู้เรื่องบ้าง เพราะตอนที่อินเรียนวิจัย อาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษางานของอิน จะพยายามบอกให้อินไปปรึกษางานกับอาจารย์ท่านนี้ให้ได้ อินก็ไปค่ะ แต่ไปแบบแกนๆ นะคะ 1 นาทีจบ ออกมาเลย (อินลืมบอกไปค่ะว่า ที่ภาควิชาภาษาไทยนี้ ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์นั้น นอกจากจะเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันตามธรรมดาแล้ว ท่านยังวางตัวเป็นพ่อแม่พี่น้อง เป็นเครือญาติให้เราอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าในภาควิชานี้มีอะไรที่ผิดปกติแม้แต่เพียงนิดเดียว ก็จะเป็นที่รู้กันทั้งภาควิชาทันทีเลย)
อ้าว! ออกทะเลไปอีกแล้ว แหะ แหะ ขอโทษด้วยค่ะ พูดเรื่องนี้ทีไรเป็นของขึ้นทุกที คราวนี้วกกลับมาที่เดิมนะคะ
อย่างที่อินว่าไว้ตั้งแต่ต้นนะคะ ว่าอินเข้าใจมาตลอดว่าวิชาที่ต้องออกภาคสนามเก็บข้อมูลเนี่ย มีแต่ Folklore ปรากฏว่าอินเข้าใจผิดทั้งเพค่ะ ที่ไหนได้ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่ต้องออกภาคสนาม คือวิชาภาษาไทยถิ่นค่ะ
วิชานี้ไม่เพียงแต่เราจะต้องเรียนภาษาไทยถิ่นเหนือเท่านั้นนะคะ แต่เรายังต้องเรียนภาษาไทยถิ่นใต้ ถิ่นอีสาน ไล่ไปจนถึงภาษาตระกูลไททีเดียวค่ะ เพียงแต่ภาษาตระกูลไทนี้เราจะไม่ลงลึกมากนัก เพราะเดี๋ยวจะไปซ้ำซ้อนกับวิชา ภาษาและอักขระตระกูลไท หรือ TAI Alphabet ซึ่งเปิดเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหากนะคะ
การเรียนภาษาไทถิ่นนั้น ถ้าเราเรียนแต่ในเชิงทฤษฎีที่อาศัยตำรา วิทยานิพนธ์ทั้งหลายเป็นเกณฑ์ สิ่งที่เราจะรู้และมีพื้นฐานแน่นก็คือเรื่องของการถ่ายเสียงพูดเป็นสัทอักษร การเรียงลำดับคำ เรื่องคำศัพท์ต่างๆ แต่ที่เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยก็คือสำเนียงและวิธีการพูดที่แท้จริงของภาษานั้น เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลประการสำคัญที่เราจำเป็นจะต้องออกภาคสนามเก็บข้อมูลทางภาษาค่ะ
รุ่นของอินตอนนั้น อาจารย์ท่านให้ไปเก็บข้อมูลภาษาไทลื้อที่ อ. แม่อายค่ะ แต่ท่านไม่ยอมให้พวกเราไปกันเองหรอกค่ะ เพราะหนึ่ง มันไกล และสอง ขืนให้ไปเองมีหวังจะได้เที่ยวมากกว่าได้งานน่ะสิคะ เพราะระหว่างทางที่จะไปต้องผ่านไร่ส้มตั้งหลายไร่ ขืนไปกันเองไม่มีใครคุม ท่าจะได้แปลงร่างไปเป็นคนงานเก็บส้มกันเป็นแถวแน่ๆเลยค่ะ
อาจารย์ท่านคงคิดทางหนีทีไล่เรียบร้อยดีแล้ว ก็เลยจัดแจงเช่าเหมารถทัวร์มาขนนักศึกษาที่ลงเรียนวิชานี้ทั้งหมด ออกไปทำการสำรวจเก็บข้อมูลที่ อ. แม่อาย งานนี้อาหารที่พักเสร็จสรรพค่ะ อาจารย์ท่านเตรียมสถานที่พักไว้รอแล้ว ที่วัดท่าตอนค่ะ
ใช่ค่ะ ฟังไม่ผิดหรอก พวกอินนอนวัดกันจริงๆค่ะ ตอนหน้าหนาวเสียด้วย (จำได้ว่าก่อนวันสิ้นปีค่ะ) แต่ถึงจะบอกว่านอนวัด เอาเข้าจริงก็น้องๆ โรงแรมเลยนะคะ เครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทั้งน้ำอุ่น ทีวี กระติกน้ำร้อน ฯลฯ ครบเครื่องค่ะ ที่อินไปออกภาคสนามครั้งที่สองยังหรูไม่เท่านี้เลย แถมเจอเรื่องสยองกลับมาอีกต่างหาก
วันออกเดินทางนั้น อาจารย์นัดพวกอินที่หน้าคณะค่ะ เพื่อขึ้นรถตอนเจ็ดโมงเช้า แต่กว่าจะรวมพลกันพร้อมและได้ออกเดินทางจริงก็ปาไปราวๆ 7 โมงครึ่งได้ค่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะที่ช้าน่ะ สาวๆ ของเราลงเรียนวิชานี้เยอะค่ะ แล้วแต่ละคนกว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่อง กว่าจะลากกระเป๋าออกจากหอได้ก็ต้องใช้เวลากันพอสมควร แต่ไม่ใช่อินนะคะ อินบอกแล้วว่าอินเป็นพวกขาลุย ยีนส์ตัวเดียว แถมผ้าใบอีกคู่เท่านั้นก็ถึงไหนถึงกันค่ะ ก็แหม...ไปเก็บข้อมูลกันแค่หนึ่งคืนสองวัน จะเอาอะไรไปกันนักกันหนาล่ะค่ะ เพื่อนอินลากกระเป๋าไปสองใบเป็นอย่างต่ำ แต่ของอินเป้ใบเดียวก็เรียบร้อยแล้ว
****มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ส.ค. 52 16:46:11
|
|
|
|