บ้านสีขาว ประตูสีอิฐ และรั้วสีม่วง ตอนที่ 11 : คำสอนของพ่อ
|
|
ตอนที่ 11 นี้ จะว่าไปก็แทบไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่อินไปเรียนเชียงใหม่เลยนะคะ เพียงแต่อินอยากบอกให้ทุกคนรู้เท่านั้นล่ะค่ะว่า การที่เด็กคนหนึ่งต้องจากบ้านไปเรียนไกล สิ่งเดียวที่จะเป็นเกราะคุ้มตัวคุ้มใจไม่ให้เตลิดไปกับแสงสี สิ่งยั่วใจได้ก็คือ ความรัก และความไว้เนื้อเชื่อใจที่พ่อแม่มีให้กับลูกนั่นเองค่ะ อินก็ไม่ได้บอกว่าวิธีการสอนของพ่ออินเป็นสิ่งถูกต้องเสียทั้งหมด บางวิธีก็ออกจะเป็นดาบสองคมอยู่เหมือนกัน ก็ต้องใช้วิจารณญาณกันนิดล่ะค่ะ สำหรับตอนที่ 11 นี้
------------------------------------------
ตอนที่ 11 : คำสอนของคุณพ่อ
การที่อินต้องไปเรียนที่เชียงใหม่นี้ ถือเป็นการจากบ้านครั้งที่สองของอินนะคะ อินเคยไปอยู่เชียงใหม่มาพักหนึ่งตอนปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้น ม.6 เพื่อไปกวดวิชาตามแฟชั่นค่ะ ทั้งที่อินไม่มีความจำเป็นต้องไปเลย แต่เพราะความไม่อยากตกยุคน่ะค่ะ ก็เลยลองดู แล้วอินก็ค้นพบว่า การกวดวิชานั้นไม่มีผลอะไรเลย ถ้าเราตั้งใจเรียนในห้องเรียนมากพอ
การจากบ้านไปเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ย เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ทั้งคุณพ่อคุณลูกร้องไห้กันอยู่สองคน ในขณะที่คุณแม่มองอย่างไม่เข้าใจว่า สองพ่อลูกนี่จะอะไรกันนักหนา คุณพ่อของอินไม่เคยให้ลูกสาวเห็นน้ำตา ก็มีอันต้องมาเป็นคราวนี้ล่ะค่ะ เหตุผลที่คุณพ่อร้องไห้ก็คือ ท่านทนเห็นน้ำตาของอินไม่ได้ค่ะ ท่านบอกว่าท่านสงสาร และเพราะอินกับคุณพ่อสนิทกันมากถึงมากที่สุด จนวันสุดท้ายก่อนที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาล อินก็ยังไปไหนมาไหนกับคุณพ่ออยู่เลย ทั้งที่ตอนคุณพ่อเสีย อินก็เบญจเพสแล้วนะคะ แต่ยังตัวติดเป็นตังเมกับคุณพ่ออยู่
ถึงอินจะเป็นลูกสาวคนเดียวก็จริงนะคะ แต่ความที่คุณพ่อของอินคิดเสมอว่าลูกของพ่อจะต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน และคุณพ่อเองก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขอมีลูกคนเดียว อินว่าตอนที่คุณแม่อินท้องอินเนี่ย คงจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณพ่ออินคิดว่าอินต้องเป็นผู้ชายแน่ๆ เลย แน่นอนค่ะ เมื่ออินดันเป็นผู้หญิง คุณพ่อก็ต้องมีผิดหวังเล็กๆเป็นธรรมดา แต่คุณพ่อก็มีแอบดีใจเล็กๆนะคะ ที่ลูกสาวของพ่อเกิดในวันที่แข็งที่สุด คือวันเสาร์ห้านั่นเองค่ะ
ในสายตาของคุณพ่อนั้น อินเป็นไอ้ลูกชายของคุณพ่อเสมอค่ะ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เด็กผู้ชายพึงรู้ พึงทำได้ อินก็จะทำได้หมด กระทั่งของเล่นที่อินมี เชื่อไหมคะว่าอินมีแต่ของเล่นของเด็กผู้ชายล้วนๆ ที่อินโปรดปรานที่สุดก็จะมีดาบ ปืน แล้วก็หุ่นยนต์ค่ะ จะมีหลุดของเด็กผู้หญิงมาบ้างก็คือตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่มๆ เท่านั้นเองค่ะ ส่วนตุ๊กตาบาร์บี้อะไรทำนองนั้นอย่าเอามาใกล้อินเชียว อินจับหักคอ หักแขนขาทิ้งมาหลายตัวแล้วค่ะ ฟังดูออกจะโหดไปนิด แต่เป็นเรื่องจริงค่ะ ก็คนมันเกลียดนี่คะ จะทำอย่างไรได้ เรื่องนี้คุณแม่กับคุณยายออกจะเคืองๆคุณพ่ออยู่เหมือนกัน ค่าที่ทำให้อินห้าวจนเกินหญิงอย่างนี้ แต่ทั้งคุณแม่และคุณยายก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอินติดคุณพ่อมากกว่าใครเพื่อน วันดีคืนดี คุณพ่อก็ชวนอินชกมวยเล่นเสียอย่างนั้น (เรื่องกระโดดหนังยาง เล่นตุ๊กตากระดาษ แหะ แหะ อินเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ) ยิ่งตอนที่อินรุ่นๆ ขึ้นมานะคะ สองพ่อลูกจะเฮฮาสนุกสนานมากที่ได้วิพากษ์วิจารณ์สาวๆ ที่ผ่านสายตาไป จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจอะไรเลยว่า ทำไมอินถึงมีนิสัยผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอย่างนี้
ความที่อินสนิทกับคุณพ่อมากนี้เอง ทำให้ระหว่างอินและคุณพ่อไม่เคยมีความลับต่อกันเลย ผิดกับคุณแม่ที่อินไม่ค่อยพูดด้วยสักเท่าไหร่ แม้แต่เวลาที่อินโทรศัพท์กลับบ้าน อินก็จะขอพูดแต่กับคุณพ่อคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณพ่อจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอินค่ะ จนคุณแม่พูดเสมอเลยว่าอินน่ะเป็นลูกพ่อมีแต่เลือดพ่อทั้งตัวทั้งหัวใจ ไม่ได้เลือดแม่มาเลย งานผู้หญิงนี่อินไม่ค่อยถนัดหรอกค่ะ เคยนั่งร้อยมาลัยนะคะ แต่ผลที่ได้คือดอกไม้ช้ำเสียหมด แต่เรื่องงานช่างนี่ขอให้บอกค่ะ ถนัดนักแล (อินว่าอินต้องเกิดผิดเพศแน่เลยค่ะ)
ที่อินดื่มเหล้าเป็นก็เพราะคุณพ่อสอนนี่ล่ะค่ะ แต่ที่คุณพ่อยอมสอนเรื่องนี้ ทั้งที่ท่านเองไม่ใช่ผู้ชายที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่นี้ ไม่ใช่ว่าต้องการเห็นลูกสาวกลายเป็นลูกชายเต็มตัวหรอกนะคะ ตรงข้ามค่ะ คุณพ่อบอกว่าเรียนรู้ไว้บ้างก็ดี แต่ขอแค่อย่างเดียว ว่า อย่าดื่มจนเมาโดยเด็ดขาด ซึ่งอินก็รักษาสัญญานั้นเป็นอันดีค่ะ เวลาที่อินไปไหนและจำเป็นต้องดื่ม อินก็จะมีลิมิตของอินเอง (แต่ที่ว่าไม่เมาของคุณพ่อ และของอินในช่วงเวลานั้นคือไม่เกินสามแก้วนะคะ ซึ่งถ้าโดนเป่าแอลกอฮอล์ก็คงโดนซิวเหมือนกันล่ะค่ะ ค่าแอลกอฮอล์คงพุ่งพรวดทีเดียว ดีที่ตอนนั้นยังไม่มีแคมเปญเมาไม่ขับค่ะ เลยรอดตัวไป)
อ่านมาตั้งหลายตอนแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยนะคะว่าอินไม่ไปเที่ยวที่ไหนเลยหรือ ในเมื่ออินไปเรียนอยู่ไกลบ้านห่างอำนาจปกครองของพ่อแม่อย่างนี้ อินขอรับสารภาพแต่โดยดีค่ะ ว่าอินไม่ใช่คนชอบเที่ยวสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำที่วันไหนอินคึกอยากเที่ยวขึ้นมา อินก็ชอบแอบไปเที่ยวคนเดียวตามประสาของอิน คือเป็นความเคยชินของอินเสียแล้วล่ะค่ะ ที่ไม่ชอบให้มีคนคอยติดสอยห้อยตาม อาจเป็นเพราะอินเป็นลูกคนเดียว ก็เลยเคยชินที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเพียงคนเดียว ถ้าไปหลายคนอินจะรู้สึกอึดอัดที่ทำอะไรอย่างที่ใจคิดไม่ได้นั่นเองค่ะ
ในหมู่เพื่อนๆแล้ว อินรู้ตัวค่ะว่าอินมีอะไรที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาสักเท่าไหร่ เพื่อนอินโดยมากถ้ามีเวลาว่างก็มักจะไปเดินชอปปิ้งกันแถวเซ็นทรัลกาดสวนแก้วเป็นหลักค่ะ เพราะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่สุดแล้ว แต่สำหรับอินนั้นถ้าอินว่าง โดยมากอินก็จะขลุกอยู่แต่ที่หอ ไม่ก็หอสมุดเท่านั้นเองค่ะ เว้นแต่ว่าวันไหนที่อินครึ้มอกครึ้มใจจริงๆ ก็จะไปเดินห้างกับเขาบ้าง แต่เป็นการเดินห้างแบบที่ผู้ชายเดินนะคะ คือตรงแหนวไปที่ที่ต้องการจะไปเลย อย่างถ้าอินไปซื้อเมาท์ออร์แกนใหม่ อินก็จะเข้าแต่ร้านขายเครื่องดนตรีอย่างเดียว ไม่เจอของที่ต้องการก็กลับค่ะ ไอ้เรื่องที่จะเดินทอดน่องเอ้อระเหยอยู่ในห้างสามสี่ชั่วโมงนั้นไม่มีเสียล่ะ นอกจากว่าคราวนั้นอินจะไปเดินกับเพื่อน เรื่องเดินห้างนี้อินทำให้เพื่อนหลายคนเซ็งอินมาหลายคนแล้วค่ะ ค่าที่ชอบทำหน้าเบื่อเวลาที่ต้องเดินตามพวกเขาไปดูของแบบเดินครบทุกชั้นทุกแผนกในห้างน่ะค่ะ
เรื่องชอบทำหน้าเบื่อเวลาเดินตามเพื่อนสาวๆชอปปิ้งเนี่ย เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของอินจริงๆค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่ มช. นะคะ ช่วงหลังที่อินเรียนธรรมศาสตร์อินก็ยังติดนิสัยนี้อยู่ค่ะ จนอินต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ ด้วยการที่อินขอรออยู่ที่ร้านหนังสือ หรือไม่ก็ร้านซีดีจนกว่าคุณเธอทั้งหลายจะชอปเสร็จ เป็นอันจบเรื่องค่ะ เรื่องนี้ถ้าใครมาเดินห้างกับอินจะรู้ซึ้งดีทีเดียว
เรื่องเที่ยวกลางคืนของอินนั้น อินจำได้ว่ามีไม่กี่ครั้งเอง เท่าที่จำได้ไม่ถึง 10 ครั้งด้วยมังคะ แต่ทุกครั้งคุณพ่อก็รับรู้นะคะ และเป็นคนอนุญาตเองด้วย แล้วสองพ่อลูกก็พร้อมใจปิดเป็นความลับไม่ให้คุณแม่รู้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นงานเข้าทั้งพ่อทั้งลูกค่ะ เจตนาที่คุณพ่อยอมให้อินเที่ยวก็เพราะอยากให้อินได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และอย่างเคยค่ะ คุณพ่อขอคำสัญญาจากอินว่าจะไม่หลงใหลแสงสีเด็ดขาด แต่ถึงคุณพ่อไม่ขอ อินก็ไม่คิดจะกรายเข้าผับอีกเลยเหมือนกัน ครั้งแรกที่อินเข้าผับเพื่อฉลองเรียนจบนั้น แรกๆก็ตื่นเต้นนะคะ แต่พอเข้าไปไม่ถึง 10 นาที อินก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว ใจอินมันอยากจะออกมาข้างนอกอย่างเดียว ความสนุกความตื่นเต้นที่มีก่อนหน้านี้หายไปหมดเลยค่ะ เหลือแต่ความอึดอัดความรำคาญไปซะอย่างนั้น อาจเป็นเพราะอินไม่ถูกโรคกับกลิ่นบุหรี่ก็เป็นได้ มิหนำอินยังเป็นภูมิแพ้อีกต่างหาก เลยไปกันใหญ่เลย คืนนั้นอินอยู่จนผับเลิกค่ะ เพราะถ้าอินกลับออกมาคนเดียว เพื่อนอินก็จะพลอยหมดสนุกด้วย ก็เลยอยู่ไปแบบฝืนๆ อย่างนั้นล่ะค่ะ
การที่อินจะคิดจะตัดสินใจทำอะไรสักเรื่องนั้น คุณพ่อจะให้อิสระอินมากค่ะ มากจนกระทั่งดูเหมือนว่าท่านจะไม่ห่วงอินเลย แต่อินก็ไม่ได้นึกน้อยใจอะไรนะคะ กลับชอบเสียอีก และในความชอบนั้น อินก็จะมีความเกรงคุณพ่อแซมๆ อยู่ด้วย ยิ่งท่านให้อิสระอินมากเท่าไร แทนที่อินจะได้ใจเตลิดไปกันใหญ่กลับกลายเป็นว่า อินยิ่งกลับเข้ามาอยู่ในกฎเกณฑ์ของคุณพ่อโดยไม่รู้ตัว อินจะเข้าบ้านกี่โมงคุณพ่อไม่เคยว่า ไม่เคยโทรตามค่ะ (ซึ่งผิดกับคุณแม่ลิบลับ) เพียงแต่ขอให้บอกท่านก่อนเท่านั้นว่าจะไปที่ไหน ไปกับใคร เรื่องที่คุณพ่อยอมปล่อยอินขนาดนี้ อินเคยถามคุณพ่อนะคะว่าทำไมถึงยอม คุณพ่อตอบอินมาด้วยคำพูดที่ทำให้อินอึ้ง พูดไม่ออกอยู่นานเลยล่ะค่ะ คุณพ่อตอบอินว่าอย่างนี้ค่ะ
เพราะพ่อรู้ว่าอินจะไม่ทำให้ตัวเองเสียหายแน่ และที่สำคัญคือพ่อไว้ใจอินว่าจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวัง
ฟังประโยคนี้ก็เล่นเอาคนใจแข็งอย่างอินน้ำตาตกได้เหมือนกันนะคะ อินไม่คิดว่าคุณพ่อจะไว้ใจอินได้ขนาดนี้ ทั้งที่การที่อินจากบ้านไปอยู่ที่เชียงใหม่นั้น ทางที่จะทำให้อินเสียคนได้มีอยู่มาก แต่อินกลับไม่เตลิดไปในทางเส้นนั้น อินเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาเหนี่ยวใจอินไว้ได้ จนกระทั่งคุณพ่อพูดประโยคนี้ออกมา อินถึงรู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกของคุณพ่อที่ส่งผ่านมาให้นี้เอง ที่เป็นเหมือนเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทำให้อินครองตัวอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ความไว้ใจเชื่อใจของคนเรานี่มีอานุภาพแรงเหมือนกันนะคะ
คุณพ่ออินไม่เคยสอนให้อินอ่อนแอค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอินจะต้องแข็งกระด้างเช่นเดียวกัน คนเราก็ต้องมีเวลาที่อ่อนแอกันบ้างใช่ไหมล่ะคะ เรื่องอย่างนี้คุณพ่อท่านเข้าใจดีค่ะ อย่างวันไหนอินเข้าบ้านมาแล้วตรงดิ่งเข้าห้องปิดประตูเงียบเลยเนี่ย คุณพ่อก็จะเดาออกค่ะ ว่าไอ้ลูกชายของพ่อต้องแอบไปร้องไห้อย่างแน่นอน คือเวลาที่อินร้องไห้เนี่ย น้อยคนนักที่จะรู้ค่ะ ถ้าไม่เผอิญเห็นน้ำตาอินเสียก่อน เพราะอินเป็นคนร้องไห้ไม่มีเสียง แต่กับคุณพ่อเป็นข้อยกเว้นค่ะ คุณพ่อก็จะทอดเวลารอสักพักแล้วค่อยเข้าไปหาอินในห้องค่ะ ประโยคแรกที่คุณพ่อจะพูดกับอินก็คือ
ร้องไห้พอหรือยัง ถ้ายังก็เอาออกมาให้หมด แต่ถ้าพอแล้วก็เช็ดน้ำตาได้แล้ว หมดเวลาร้องไห้เสียที
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงจะค้านแล้วล่ะค่ะ ว่าอยู่ๆจะให้หมดเวลาร้องไห้ปุบปับได้ยังไง แต่อินต้องทำให้ได้ค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเจอสายตาเข้มๆของคุณพ่อจ้องมา คุณพ่ออินไม่เคยถามนะคะว่าทำไมต้องร้องไห้ เพราะรู้ค่ะว่าลูกพ่อนั้นถ้าไม่ถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีวันร้องไห้ออกมาหรอก ถ้าเจอสายตาเข้มๆ ของคุณพ่อแล้วอินยังไม่หยุดร้อง แล้วแถมมีเสียงสะอื้นหลุดออกมาอีกล่ะก็ คราวนี้คุณพ่ออินจะพูดอย่างนี้ค่ะ
พ่อไม่ชอบให้อินเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมได้แล้ว เอาแต่ร้องไห้แล้วน้ำตาช่วยให้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า
ฟังดูเหมือนคุณพ่อจะดุนะคะ แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพียงแต่นี่เป็นวิธีสอนของคุณพ่อเท่านั้นเองค่ะ ถึงอินจะหัวดื้อหัวแข็งยังไงกับใครก็ตามแต่ กับคุณพ่อแล้ว คือคนคนเดียวที่อินจะยอมให้โดยไม่มีข้อแม้ค่ะ คุณพ่อของอินท่านไม่ชอบให้ไอ้ลูกชายของพ่อเป็นคนเจ้าน้ำตา อะไรนิดก็ร้องอะไรหน่อยก็ร้อง แต่ถ้าอารมณ์มันพีคถึงขีดสุดจริงๆ ก็อย่าให้ใครได้เห็นน้ำตาเราได้เป็นอันขาด คุณพ่อสอนอินไว้อย่างนี้ค่ะ ถึงอย่างนั้นก็มีหลุดๆ ต่อหน้าเพื่อนบ้างเหมือนกันนะคะ เวลาที่อินทนไม่ไหวจริงๆ แต่อินจะใช้วิธีหันหน้าไปทางอื่นแล้วเช็ดน้ำตาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าพอจะออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ อินก็จะกลั้นน้ำตาตัวเองไว้จนกลับมาถึงห้องและปลอดคนจริงๆ ถึงร้องไห้ค่ะ มีอยู่ครั้งเดียวจริงๆ ที่อินหมดสภาพไม่สามารถทำตามที่คุณพ่อสอนได้ นั่นคือวันที่คุณพ่อเสียค่ะ อินปล่อยโฮจริงๆ ต่อหน้าเพื่อนอินที่รู้ข่าวและตามไปหาอินที่โรงพยาบาล คือเวลานั้นอินเข้มแข็งไม่ไหวจริงๆค่ะ แต่พอหลังจากนั้นชั่วโมงเดียว น้ำตาอินก็ไม่มีเหลืออีกเลย และอินก็ไม่ได้ร้องออกมาอีก เวลาอ่อนแอของอินหมดลงแล้วค่ะ นับจากชั่วโมงนั้นเป็นต้นมา อินมีหน้าที่ต้องเข้มแข็ง และอยู่เป็นหลักให้คุณแม่แทนที่คุณพ่ออย่างเดียวเท่านั้น
**** มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 17:51:57
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 17:46:38
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ส.ค. 52 17:44:08
|
|
|
|